สรุป Live: ใกล้สิ้นปีแล้ว ลงทุนยังไงดี
พบกันทุกวันพุธต้นเดือนกับ Live จาก Jitta Wealth ประจำเดือนพฤศจิกายน 2567 โดยคุณเผ่า ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ CEO และคุณอ้อ พรทิพย์ กองชุน CGO ของ Jitta Wealth ที่มาพูดคุยเรื่องการเงินการลงทุน ซึ่งรอบนี้จะมาพูดคุยเกี่ยวกับผลตอบแทนในไตรมาสที่ 3 นี้ ประเทศไหนปัง ต้องลงทุนบ้าง เราสรุปมาให้คุณแล้ว
หากคุณสนใจอยากรับชม Live ของเราแบบสดๆ ในโอกาสต่อไปติดตามเราได้ที่ Facebook หรือ Youtube ของ Jitta Wealth ได้เลย
ดูวิดีโอย้อนหลัง
ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นต้องพบเจออะไรบ้าง
เริ่มแรกภาพใหญ่สุดที่หลายๆ คนก็รอมานานคือ ในที่สุดสหรัฐฯ ก็เริ่มปรับลดดอกเบี้ยเรียบร้อยแล้ว ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะลดลงไปอีก ผลของการเริ่มลดดอกเบี้ยก็ทำให้ดัชนี S&P 500 ตอนนี้ All TIme High อยู่ในปัจจุบัน
เมื่อสหรัฐฯ ปรับลดดอกเบี้ยเรียบร้อยก็ต่อเนื่องมาที่เหตุการณ์ต่อมาคือ Black Monday ในช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลง ภายใน 1 วัน ดัชนี Topix ของญี่ปุ่นปรับลดไปกว่า -12.2%
แต่หลังจากเกิดเหตุการณ์ Black Monday ตลาดหุ้นต่างๆ ก็ปรับตัวอย่างรวดเร็วในระยะเวลาเพียงไม่กี่วันเท่านั้น
เรื่องต่อมาที่เรียกได้ว่าเป็นบทพิสูจน์นักลงทุนหุ้นจีนสาย VI ในปีนี้พอสมควร เพราะตั้งแต่สิ้นปีที่แล้วถึงช่วงต้นปีนี้ ไม่ว่าจะสำนักไหนก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าหุ้นจีนถูกมาก
แต่หลังจากที่จีนกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ตลาดหุ้นจีนก็ขึ้นสูงไปเรื่อยๆ จนเดือนมิถุนายนตลาดหุ้นจีนก็ร่วงลงไปเรื่อยๆ อีกครั้ง และกลับขึ้นมาอีกครั้งหลังจากที่จีนออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ การกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการพยุงอสังหาริมทรัพย์ หุ้นบางตัวขึ้นมาหลายสิบเปอร์เซ็นต์
เรื่องราวของหุ้นจีนนำมาสู่เหตุการณ์ต่อมาคือการเลือกตั้งสหรัฐฯ ซึ่งหลายคนก็เริ่มกังวลแล้วว่าจะกระทบกับหุ้นจีนหรือไม่ จากที่ผลการเลือกตั้งค่อนข้างออกมาชัดเจนแล้วว่า Trump จะได้เป็นประธานาธิบดีคนต่อไปของสหรัฐฯ จะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ ไปดูกันต่อได้เลย
Trump กลับมา จะเกิดอะไรขึ้นกับตลาดหุ้นบ้าง?
ไม่ว่าใครจะได้เป็นประธานาธิบดีคนต่อไปของสหรัฐฯ แต่เป้าหมายใหญ่ที่สุดของประธานาธิบดีทุกคนคือทำให้เศรษฐกิจอเมริกาเติบโต ยังคงเป็นมหาอำนาจของโลก ทำให้ถ้ามองในระยะยาวใครจะได้ก็อาจจะไม่ได้แตกต่างกันมาก
ถ้าคุณเป็นนักเกร็งกำไรก็อาจจะต้องมาพิจารณาในแต่ละนโยบายของพรรคที่ได้ เพราะนโยบายแตกต่างกันก็จะเอื้อกับธุรกิจหรืออุตสาหกรรมที่แตกต่างกัน
เราลองมาดูภาพรวมของการเติบโตของเศรษฐกิจอเมริกากันสักหน่อยดีกว่า
ผลตอบแทนดัชนี S&P 500 ในช่วงการเลือกตั้ง ตั้งแต่ปี 2547 – 2559 จากทั้งหมด 23 ครั้ง กว่า 19 ครั้งที่ผลตอบแทนจะเป็นบวก หรือคิดเป็น 83% ของทั้งหมดเลยทีเดียว
โดยปีที่ได้ประธานาธิบดีมาจาก Republican ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีจะอยู่ที่ +15.30% ได้ประธานาธิบดีจาก Democrat ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีจะอยู่ที่ +7.60%
และไม่ว่าพรรคไหนชนะ ผลตอบแทนในปีหลังการเลือกตั้งผลตอบแทนส่วนใหญ่ของดัชนีก็เป็นบวกเสมอ (เว้นปี 2544 ที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจ)
ในส่วนของนโยบายของ Trump ที่จะกระทบเศรษฐกิจ อันที่น่าสนใจคือ การลดภาษีรายได้นิติบุคคล เป้าหมายแรกคือการลดให้เหลือ 20% และอาจจะลดลงเรื่อยๆ ให้เหลือ 15% ถ้านโยบายนี้เกิดขึ้นได้จริง จะส่งผลบวกกับตลาดหุ้น เพราะต้นทุนบริษัทจดทะเบียนต่างๆ ก็จะลดไปด้วย การลดภาษีนิติบุคคลก็เท่ากับ บริษัทไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติมเลย แต่กำไรก็มากขึ้นแล้ว ทำให้บริษัทเหล่านั้นมีโอกาสที่จะขยายการผลิต มีการจ้างงานมากขึ้น
ซึ่งหลายคนก็เชื่อว่า Trump น่าจะผลักดันนโยบายนี้ เพราะตอนที่เขาดำรงตำแหน่งในครั้งก่อนเขาก็ทำสำเร็จมาแล้ว
Trump ชนะ หุ้นจีนจะกระทบไหม
น่าจะมี แต่มีน้อยลง จีนเตรียมการเรื่องนี้มาแล้วระดับหนึ่ง ลดการพึ่งพิงสหรัฐฯ สนับสนุนให้คนในประเทศบริโภคสินค้าภายในประเทศ
แต่ถ้าถามว่า กำไรต่อหุ้น หรือ Earning Per Share (EPS) จะลดลงหรือไม่ ถ้าบางอุตสาหกรรมที่การส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ ยังเยอะอยู่ก็มีโอกาสกระทบบ้าง ยกตัวอย่างเช่นอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ก็โดนสหรัฐฯ กันออกไป แต่สุดท้ายบริษัทเหล่านี้ก็กระจายสินค้าไปที่ประเทศอื่นๆ มากขึ้นด้วย
โดยรวมคงตอบได้ว่ากระทบ แต่ไม่ได้กระทบมากอย่างที่คิด เพราะจีนเตรียมการมาแล้ว
จีนเตรียมรับมืออย่างไรบ้าง
จีนเองได้บอกไว้ชัดเจนพอสมควรว่า ถ้า Trump ได้เป็นประธานาธิบดีก็เตรียมพิจารณาอัดฉีดเงินเข้าระบบเศรษฐกิจเพิ่ม ทั้งที่เตรียมเอาไว้แล้วกว่า 10 ล้านล้านหยวน
จุดที่ Fed เริ่มลดดอกเบี้ย เป็นจุดที่จีนเริ่มรู้แล้วว่านโยบายทางการเงินของสหรัฐฯ จะเป็นแบบไหน จีนเองก็ได้เตรียมกระสุนเม็ดเงินจำนวนมาไว้เตรียมต่อสู้ รวมไปถึงอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นต้นตอของวิกฤติรอบนี้ของจีนเองก็เริ่มคลี่คลาย
ส่วนตัวคุณเผ่ามองว่าจีนมีวิธีการแก้ปัญหาเศรษฐกิจต่างจากสหรัฐฯ จีนค่อยๆ แก้ปัญหา ยกตัวอย่างเช่นวิกฤติอสังหาริมทรัพย์นี้ รัฐบาลจีนเองก็ไม่ได้เข้าไปอุ้มก่อน ปล่อยให้ตัวการค่อยๆ ล้มไป แล้วภาครัฐถึงเข้ามาช่วย ช้อนซื้อกลับมาและเอาไปขายต่อคนในประเทศได้ในราคาถูก ทุกคนก็จะมีบ้านในราคาที่ถูกลงเป็นต้น อีกเรื่องคือรัฐบาลจีนอัดฉีดต่อเนื่องแบบยาวๆ ด้วย
ยังไม่นับรวมการพิจารณาอนุมัติงบใหม่ครั้งใหญ่กว่า 10 ล้านล้านหยวน ระหว่างจากการประชุมคณะกรรมการสภาประชาชนแห่งชาติที่กำลังเกิดขึ้นในวันที่ 4-8 พฤศจิกายนนี้
ทำให้โดยภาพใหญ่แล้ว สุดท้ายหุ้นจีนก็จะฟื้นตัวขึ้นมาได้
หุ้นจีนยังซื้อได้อยู่ไหม
จีนยังเป็นตลาดที่น่าลงทุนอยู่ GDP ของจีนยังคงเติบโตอยู่ นักลงทุนจำนวนหนึ่งคาดหวังว่าวันหนึ่งจะโตแซงสหรัฐฯ ด้วย ที่สำคัญอีกข้อหนึ่งคือ ราคายังถูกอยู่
Market Prediction ของ Jitta Wealth เปรียบเทียบอัตราส่วนจำนวนหุ้นถูกต่อหุ้นแพง (P/E) จากหุ้นที่ดีที่สุดของตลาดหุ้นจีนพบว่า จำนวนหุ้นถูกต่อจำนวนหุ้นแพงอยู่ที่ 44:6 คิดเป็นอัตราส่วนหุ้นถูกมากกว่าหุ้นแพงอยู่ที่ 7.33 เท่า (ข้อมูล ณ สิ้นเดือนกันยายน 2567)
เรียกได้ว่าเป็นตลาดหุ้นที่ยังมีหุ้นถูกอีกเยอะ
เราอาจจะตอบไม่ได้ว่าอีก 5 ปี จีนหรือสหรัฐฯ จะขึ้นเป็นอันดับหนึ่ง แต่เรารู้ว่า ไม่ว่าประเทศไหนก็คงไว้ไม่เกินอันดับ 2 ถ้าเอาง่ายๆ เลยก็คือ ลงทุน 2 ประเทศครึ่งๆ ได้ ไม่ว่าใครจะขึ้นเราก็ได้ผลประโยชน์
ผลตอบแทนทุกนโยบายของ Jitta Wealth ปี 2567 เป็นยังไง
Global ETF ลงทุนในสินทรัพย์ทั่วโลก ลงทุนใน ETF หุ้นและพันธบัตร นำมาจัดพอร์ตกระจายความเสี่ยงเพื่อให้ได้ผลตอบแทนดีที่สุดในความเสี่ยงที่ต่ำที่สุด
มี 3 แผนด้วยกันคือ แผนเติบโต ผลตอบแทนคาดหวัง 8% ต่อปี แผนสมดุล ผลตอบแทนคาดหวัง 6% ต่อปี และแผนพอเพียง ผลตอบแทนคาดหวัง 4% ต่อปี
ผลตอบแทนเฉลี่ยตั้งแต่ต้นปี 2567 ถึงปัจจุบัน ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2567 หักค่าธรรมเนียมต่างๆ แล้ว แผนที่ทำผลตอบแทนเฉลี่ยได้ดีที่สุดคือ แผนเติบโต +12.24% ซึ่งเป็นตัวเลขการเติบโตในปีที่ค่าเงินบาทแข็งค่าอยู่ช่วงหนึ่งเลยด้วย ตามมาด้วยแผนสมดุล +8.05% และแผนพอเพียง +3.3%
Thematic ลงทุนใน ETF ธีมเมกะเทรนด์แห่งอนาคต แบ่งออกเป็น 2 แผนด้วยกันคือ Thematic DIY ให้คุณได้ Mix & Match ได้มากถึง 5 ธีมในพอร์ตเดียว และ Thematic Optimize วิเคราะห์คัดเลือกธีมลงทุนเข้าพอร์ตของคุณด้วย AI โดยทั้ง 2 แผนลงทุน เราดูและปรับพอร์ตให้อัตโนมัติ
ผลตอบแทนเฉลี่ยตั้งแต่ต้นปี 2567 ถึงปัจจุบัน ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2567 หักค่าธรรมเนียมต่างๆ แล้ว Thematic Optimize ทำได้อยู่ที่ +13.55% และ Thematic DIY +7.36% (เฉลี่ยจากทุกพอร์ตที่นักลงทุนเลือกธีมลงทุนเอง)
ซึ่งถ้าไปดูภาพรวมผลตอบแทนทั้ง 27 ธีม ที่ Jitta Wealth คัดเลือกมาให้นักลงทุนได้เลือกกัน จะพบว่า ผลตอบแทน YTD ส่วนใหญ่เป็นบวก
Jitta Ranking การลงทุนในหุ้นรายตัวของแต่ละตลาด วิเคราะห์คัดเลือกหุ้นดีราคาถูกด้วย AI เพื่อเป้าหมายผลตอบแทนระยะยาวที่สูงกว่าดัชนีตลาด ปรับพอร์ตให้อัตโนมัติทุก 3 เดือน มีให้คุณเลือกด้วยกัน 7 นโยบายลงทุน
ผลตอบแทนเฉลี่ย Jitta Ranking ตั้งแต่ต้นปี 2567 ถึงปัจจุบัน ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2567
เรียงจากผลตอบแทนสูงสุดไปต่ำสุด
- Jitta Ranking หุ้นเทคโนโลยีจีน +20.93%
- Jitta Ranking หุ้นสหรัฐฯ +17.20%
- Jitta Ranking หุ้นเวียดนาม +15.45%
- Jitta Ranking หุ้นจีน +8.6%
- Jitta Ranking หุ้นฮ่องกง +6.24%
- Jitta Ranking หุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ +5.17%
- Jitta Ranking หุ้นสุขภาพสหรัฐฯ +4.18%
- Jitta Ranking หุ้นไทย -12.84%
- Jitta Ranking หุ้นญี่ปุ่น -12.97%
พอร์ตหุ้นติดลบ ทำยังไงได้บ้าง?
หากใครที่มีพอร์ตหุ้นไทยที่ผลตอบแทนขาดทุนแต่ก็ยังไม่อยากขายตอนที่ขาดทุน
สิ่งที่คุณทำได้คือ ถือพอร์ตหุ้นไทยอยู่แต่ก็มองหาโอกาสในการลงทุนหุ้นต่างประเทศเพิ่มเข้ามา โดยอาจจะค่อยๆ เริ่มที่ละน้อย ค่อย DCA เข้าพอร์ตการลงทุนหุ้นต่างประเทศ เช่นการไป DCA พอร์ต Global ETF หรือ Jitta Ranking ประเทศอื่น เพื่อให้สัดส่วนเงินลงทุนของคุณไม่ได้อยู่แค่กับหุ้นไทยเพียงอย่างเดียว
หรือถ้าคุณไม่อยากค่อยๆ เพิ่มสัดส่วนการลงทุนต่างประเทศในสินทรัพย์โดยรวม ก็ให้แบ่งสัดส่วนจากพอ์ตหุ้นไทย เช่นขายครึ่งหนึ่งและนำเงินนั้นมากระจายความเสี่ยงในหุ้นต่างประเทศ
ทั้ง 2 วิธีคือการกระจายความเสี่ยงให้พอร์ตของคุณ
ในส่วนของหุ้นญี่ปุ่นได้รับผลกระทบเรื่องค่าเงินค่อนข้างเยอะ แต่เศรษฐกิจญี่ปุ่นยังเติบโตได้อยู่ หรืออาจจะเริ่มกระจายความเสี่ยงไปที่หุ้นจีนบ้างก็ได้
DCA ช่วยเร่งพอร์ตให้โตจริงไหม?
ในภาพคือผลตอบแทนเปรียบเทียบระหว่างผลตอบแทน (MWR) ของพอร์ตจริง Global ETF แผนเติบโต ที่ DCA มากที่สุด 50 ครั้ง (ไม่รวมการลงทุนครั้งแรก) และ พอร์ตที่ลงทุนเพียงครั้งเดียว
ผลตอบแทนตลอดระยะเวลาประมาณ 4 ปีมีความแตกต่างกัน พอร์ตที่ DCA +46.50% ส่วนพอร์ตที่ลงทุนครั้งเดียว +43.41%
หลายคนอาจจะมองว่าความต่างไม่ได้เยอะ แต่ถ้าเราดูดีๆ พอร์ตมีขึ้นมีลง พอร์ตที่ DCA เคยขึ้นไปแตะสูงสุดถึง +65.68% ซึ่งถ้าพูดถึงจำนวนเงินก็สามารถสังเกตได้จากกราฟ เพราะถ้าคุณ DCA ก็เหมือนมีการสะสมเงินเข้าไปในพอร์ต ผลตอบแทนก็ทบต้นเข้าไปอีก คุณสามารถสร้างเงินน้อยๆ ให้เป็นเงินล้านได้
ถ้าใครฟังมาทั้งหมดแล้ว สนใจอยากเริ่มลงทุน มือใหม่ที่กำลังตัดสินใจอยู่อาจจะได้คำตอบแล้ว ก็สามารถเริ่มต้นลงทุนได้เลย หรืออยากสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ 02-460-8888 หรือ Line @JittaWealth ในช่วงเวลาทำการได้เลย
อ่านรีวิวพอร์ตลงทุน Jitta Wealth ของนักลงทุนอีกมากมายได้ที่ Facebook และ เว็บไซต์ของเรา
ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับนโยบาย Jitta RankingThematicGlobal ETF และ Jitta Money ผลตอบแทนในอดีต ไม่สามารถการันตีผลตอบแทนในอนาคต การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจนโยบายการลงทุน เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน การลงทุนต่างประเทศอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน