Skip to content - ข้ามไปที่เนื้อหา
Blog

ผลตอบแทนจริงทุกนโยบายของ Jitta Wealth ปี 2566


จบไปอีก 1 ปี กับปีที่ตลาดหุ้นทั่วโลกพาให้ใจได้ว้าวุ่นกันตลอดทั้งปี แต่ก็มีตลาดหุ้นหลายตลาดที่เร่งฝีเท้าวิ่งจนทำกำไรปิดปีไปได้อย่างสวยงาม และสร้างความประหลาดใจให้กับนักลงทุนไปพร้อมๆ กัน

เป็นประจำทุกต้นปีที่ Jitta Wealth จะได้มาทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นในตลาดหุ้นตลอดทั้งปี ผลตอบแทนดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลก และผลตอบแทนทุกนโยบายของ Jitta Wealth ว่าเป็นอย่างไรบ้าง

หรือให้คุณได้มาลองทบทวนตัวเองไปพร้อมๆ กันว่าปีที่ผ่านมาการลงทุนของคุณเป็นอย่างไร เพื่อเตรียมพร้อมพิชิตเป้าหมายที่ดีขึ้น เติบโตขึ้นในปีนี้ 

หากคุณสนใจอยากรับชม Live เปิดผลตอบแทนทุกนโยบาย Jitta Wealth พร้อมแผนลงทุนพิชิตทุกภาวะตลาดสามารถรับชมวีดีโอย้อนหลังได้ที่นี่ 

ดูวิดีโอย้อนหลัง

หากคุณสนใจอยากรับชม Live ของเราแบบสดๆ ในโอกาสต่อไปติดตามเราได้ที่ Facebook หรือ Youtube ของ Jitta Wealth ได้เลย 

และทีมงาน Jitta Wealth ก็ได้สรุปสาระสำคัญ ภาพรวมของตลาดหุ้นทั่วโลก พร้อมผลตอบแทนจริงทุกนโยบาย ทุกแผนการลงทุนของ Jitta Wealth ในปี 2566 ที่ผ่านมา มาไว้ให้คุณแล้วที่นี่ด้วย 

สรุปภาพรวมตลาดหุ้นปี 2566

ก่อนจะไปสำรวจผลตอบแทนจาก 3 นโยบายของ Jitta Wealth การรู้ภาพรวมของตลาดหุ้นทั่วโลกก็เป็นเรื่องสำคัญ เรามาดูสรุปย่อ ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในตลาดหุ้นทั่วโลก

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ

ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐทั้ง 3 ดัชนีในปี 2566 ทำผลตอบแทนได้ยอดเยี่ยม เริ่มกันที่ดัชนี Nasdaq ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง +44.52% ตามด้วยดัชนี S&P500 ที่ปรับเพิ่มขึ้น +24.73% และดัชนี Dow Jones ที่มีหุ้นบริษัทขนาดใหญ่ (Big Cap) จำนวนมากปรับเพิ่มกว่า +13.74%

ซึ่งปัจจัยที่ทำให้ตลาดหุ้นปรับเพิ่มขึ้นมีหลายเหตุผลด้วยกันไม่ว่าจะเป็น เรื่องราวของเงินเฟ้อที่เป็นปัญหามาอย่างต่อเนื่องเริ่มคลี่คลาย เงินเฟ้อปรับลดลงจากจุดสูงสุดที่ 9.1% ในเดือนมิถุนายน 2565 ลงมาอยู่ที่ระดับ 3.1% ในเดือนพฤศจิกายน 2566 คลายความกังวลการปรับขึ้นดอกเบี้ยของ Fed และสะท้อนถึงความคาดหวังของนักลงทุนว่าจะมีการปรับลดดอกเบี้ยในปี 2567

ตลาดหุ้นเวียดนาม

ดัชนีเวียดนามยังไม่ทำให้ผิดหวัง ปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง +8.24% แม้จะไม่ได้ปรับตัวเพิ่มสูงอย่างปีก่อนๆ แต่ตลาดหุ้นเวียดนามก็ยังเติบโตได้ในปีที่ผ่านมา และยังสามารถดึงดูดการลงทุนโดยตรง (FDI) จากต่างประเทศได้มากถึง 34,000  ล้านดอลลาร์สหรัฐ 

บริษัทชั้นนำยังไว้ใจเวียดนามให้เป็นฐานการผลิตสินค้าต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Nike หรือ Lego มีการลงทุนโรงงานในเวียดนามที่จะเริ่มใช้เป็นแหล่งผลิตในปีนี้อีกด้วย

ตลาดหุ้นจีน

ปิดลบ -11.75% ในปี 2566 โดยดัชนี CSI 300 หดตัวลงติดกันเป็นปีที่ 3 ในขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นฮ่องกงติดลบเป็นปีที่ 4 ซึ่งผลกระทบส่วนใหญ่มาจากปัจจัยภายใน เช่น ปัญหาหนี้สินจากภาคอสังหาริมทรัพย์ นโยบายซัพพอร์ตเศรษฐกิจซบเซาที่ยังไม่เพียงพอจากรัฐบาลกลาง และการแก้ไขปัญหาหนี้สินของรัฐบาลท้องถิ่นจีน ทั้งหมดนี้กระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนในตลาดหุ้นจีนปีที่ผ่านมา

ตลาดหุ้นญี่ปุ่น

ดัชนีบวกแรง +25.09% ในปี 2566 เศรษฐกิจญี่ปุ่นยังแข็งแกร่งอยู่ถึงแม้ว่าค่าเงินเยนจะอ่อนตัวลงแรงจากที่สหรัฐฯ ได้มีการปรับดอกเบี้ยนโยบายเพื่อคุมเงินเฟ้อให้อยู่ในเป้าหมายระยะยาว แต่ญี่ปุ่นก็ตัดสินใจคงนโยบายการเงินไว้แบบเดิมและทำให้ญี่ปุ่นหลุดพ้นจากสภาวะเงินฝืดภายในประเทศได้ 

นักลงทุนยังคงรอติดตามการเปลี่ยนแปลงนโยบาย Yield Curve Control ที่จะเป็นตัวชี้ทิศทางดอกเบี้ยของญี่ปุ่นต่อไป

ตลาดหุ้นไทย

ปิดลบ -15.67% สวนกระแสหุ้นหลายประเทศ ดัชนีหุ้นไทยทำจุดตํ่าสุดในรอบ 3 ปี ปัจจัยกระทบต่อตลาดหุ้นคือ การจัดตั้งรัฐบาลในช่วงต้นปีที่ล่าช้า และนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอย่าง Digital Wallet ท่ีกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน 

ตลาดหุ้นมีขึ้นมีลงอยู่ตลอด แต่นั้นก็ไม่ใช่อุปสรรคสำหรับการลงทุนระยะยาว เพราะเมื่อหุ้นลงนั้นอาจจะเป็นโอกาสให้คุณได้เจอ ‘หุ้นดีราคาถูก’ พร้อมที่จะทำกำไรต่อไปในอนาคตก็ได้ 

ผลตอบแทนจริง ทุกแผนของนโยบาย Jitta Ranking ปี 2566 

นโยบาย Jitta Ranking คือนโยบายที่ลงทุนในหุ้นรายตัว 5-20 บริษัทขึ้นอยู่กับเงินลงทุนของคุณ โดยใช้ AI วิเคราะห์และคัดสรร ‘หุ้นดี ราคาเหมาะสม’ ตามหลักการของคุณปู่ Warren Buffet พร้อมเทคโนโลยีบริหารจัดการพอร์ตอัตโนมัติทุก 3 เดือน ด้วยค่าธรรมเนียมที่ต่ำและยุติธรรม

คุณสามารถดูรายละเอียดนโยบาย Jitta Ranking เพิ่มเติมได้ที่นี่

ที่มา: Jitta Wealth ข้อมูลการลงทุนระหว่าง 1 มกราคม – 31 ธันวาคม 2566

ถ้าย้อนกลับไปในปี 2565 เกือบทุกแผนติดลบไปตามทิศทางของตลาดหุ้นทั่วโลก มีเพียง 2 แผนลงทุนเท่านั้นที่ไปในทิศทางบวกคือ Jitta Ranking หุ้นเทคโนโลยีจีนและหุ้นญี่ปุ่น

แต่ในปี 2566 นี้ ภาพรวมของผลตอบแทนจริงเฉลี่ย ของทุกแผนทำผลตอบแทนได้ดี บวกไปถึง 4 แผนได้แก่ Jitta Ranking หุ้นสหรัฐฯ หุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ หุ้นญี่ปุ่น และหุ้นเวียดนาม

Jitta Ranking หุ้นสหรัฐฯ ลงทุนในหุ้นดีราคาถูก ในตลาดหุ้น Nasdaq และ NYSE 5-20 บริษัท ผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ +44.26% ในปี 2566

Jitta Ranking หุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ ลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีเติบโตสูง ในตลาดหุ้น Nasdaq และ NYSE 5-20 บริษัท ผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ +37.72% ในปี 2566

Jitta Ranking หุ้นญี่ปุ่น ลงทุน ‘หุ้นดี ราคาถูก’ ในตลาดหุ้น TSE 5-20 บริษัท ด้วย AI ของ Jitta Wealth ผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ +7.46%

ในส่วนของ Jitta Ranking ที่ลงทุนในสหรัฐฯ ถือว่าทำผลตอบแทนได้ดีอย่างโดดเด่น กินตำแหน่งอับดับ 1 และ 2 ของผลตอบแทนจริงเฉลี่ยไปอย่างสวยงาม สะท้อนหุ้นสหรัฐฯ ในความจริงที่ว่าตลาดสหรัฐฯ ยังมีการแข่งขันที่สูง การเติบโตก็สูงตาม และไม่ใช่แค่หุ้นในกลุ่มเทคโนโลยี แต่รวมไปถึงอุตสาหกรรมอื่นๆ ด้วย 

ในขณะเดียวกัน Jitta Ranking หุ้นญี่ปุ่น และหุ้นเวียดนามก็ทำผลตอบแทนเป็นบวกตามทิศทางเดียวกันของดัชนีและรอที่จะเติบโตต่อไป 

สำหรับ Jitta Ranking ที่มีผลตอบแทนเฉลี่ยติดลบ ติดลบน้อยที่สุดคือ Jitta Ranking หุ้นสุขภาพสหรัฐฯ ที่มีผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ -6.98% บริษัทด้านการบริการสุขภาพเองได้รับผลกระทบจากเงินเฟ้อที่สูงขึ้นตั้งแต่ช่วงต้นปี 2565 ยาวมาจนถึงช่วงปลายปีที่ผ่านมา ทำให้โรงพยาบาลต่างๆ ได้รับเงินค่ารักษาจากผู้ป่วยน้อยกว่าจำนวนค่าใช้จ่ายด้านการดูแลผู้ป่วยจริงๆ ราว 2% เป็นเหตุให้บริษัทต่างๆ เผชิญกับปัญหาที่ค่ารักษาเติบโตเร็ว ไม่เท่ากันกับเงินเฟ้อ

ส่วนนี้ได้ส่งผลกระทบต่อมุมมองของนักลงทุนที่มองว่ากำไรของบริษัทที่ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับด้านสุขภาพนั้นอาจมีกำไรที่ลดลงในอนาคตได้ แต่ด้วยเงินเฟ้อที่กลับเข้าสู่ระดับปกติทำให้ในปี 2567 นี้ ธุรกิจด้านสุขภาพของสหรัฐฯ เริ่มส่งสัญญาณดี  จะสามารถกลับมามีกำไรได้อีกครั้ง

ต่อมาที่ Jitta Ranking หุ้นไทย ทำผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ -12.10% มีผลกระทบมาจากความเชื่อมั่นของนักลงทุนในศักยภาพการเติบโต ตั้งแต่ช่วงต้นปีที่มีการจัดตั้งรัฐบาลที่ล่าช้า การแถลงนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่ไม่ชัดเจน และข้อตกลงด้าน Digital Wallet ที่รอการร่าง พ.ร.บ. เงินกู้

อีกทั้งเรื่องการท่องเที่ยวที่จำนวนนักท่องเที่ยวยังไม่กลับเข้าสู่ระดับก่อน Covid-19 และจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่ยังไม่ฟื้นกลับสู่ระดับปกติ กดดันรายได้หมุนเวียน

ต้องติดตามกันว่าในปีนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป หากเศรษฐกิจไทยได้รับผลประโยชน์จากนโยบาย Digital Wallet ที่คาดว่าจะเริ่มใช้ได้ในเดือนพฤษภาคมนี้ 

Jitta Ranking หุ้นจีน ทำผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ -15.73% ที่ยังคงต้องติดตามถึงนโยบายของรัฐในการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน 

หรือถ้ามองอีกแง่หนึ่ง นี่อาจจะเป็นโอกาสได้หุ้นจีนที่ดีในราคาที่ถูกก็ได้ ซึ่งก็ไม่มีใครรู้ว่ามันลงมาต่ำสุดแล้วหรือยัง เรียกได้ว่าเหมือนเป็นจุดวัดใจของหลายๆ คน 

และ Jitta Ranking ที่ทำผลตอบแทนต่ำที่สุดในปี 2566 ที่ผ่านมา คือ Jitta Ranking หุ้นเทคโนโลยีจีน เป็นผลมาจากการที่รัฐบาลได้เข้ามาควบคุมดูแลบริษัทต่างๆ

โดยเริ่มจากกลุ่มบริษัท Ant Group ที่โดนรัฐบาลเข้ามาตรวจสอบในนาทีสุดท้าย ก่อนจะมีการ IPO และหลังจากนั้นยังมีบริษัทหุ้นเทคโนโลยีอื่นๆ เช่น Temcemt Holdings Meituan หรือแม้กระทั่ง ByteDance เจ้าของ TikTok อีกทั้งยังมีบริษัท Alibaba ที่โดนกล่าวหาว่ามีพฤติกรรมผูกขาดด้านธุรกิจที่ไม่เป็นธรรมในการแข่งขัน 

ซึ่งหลังเหตุการณ์นี้ ทำให้นักลงทุนได้ทำการเทขายหุ้นเทคโนโลยีจีนไปมากกว่า 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้เกิดผลกระทบต่อราคาหุ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ 

ตั้งแต่เดือน กรกฎาคม 2566 นายกรัฐมนตรีจีน Li Qiang ให้การสนับสนุนบริษัทเทคโนโลยีในการประชุมสัมมนา ในขณะที่หน่วยงานวางแผนเศรษฐกิจจีนยกย่องบริษัทเทคโนโลยีต่างๆ ที่มีส่วนร่วมในการเติบโตของประเทศและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทำให้นักลงทุนมองว่าการควบคุมของรัฐบาลเริ่มคลี่คลายและเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น

ผลตอบแทนจริง ทุกแผนของนโยบาย Global ETF

นโยบาย Global ETF จะลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลายทั่วโลกเพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยง มีการจัดพอร์ตตามทฤษฎี Modern Portfolio Theory ที่การันตีด้วยรางวัลโนเบล Global ETF จะถูกแบ่งออกเป็น 3 แผนการลงทุน ซึ่งแต่ละแผนจะลงทุนหุ้นและตราสารหนี้ผ่าน ETF ในสัดส่วนที่แตกต่างกัน ดังนี้

  • Global ETF แผนพอเพียง ลงทุนหุ้น 20% ตราสารหนี้ 80%
  • Global ETF แผนสมดุล ลงทุนหุ้น 50% ตราสารหนี้ 50%
  • Global ETF แผนเติบโต ลงทุนหุ้น 80% ตราสารหนี้ 20% 

โดยคุณสามารถดูรายละเอียดนโยบาย Global ETF เพิ่มเติมได้ที่นี่

Global ETF แผนพอเพียง ผลตอบแทนเฉลี่ย +6.58%

Global ETF แผนสมดุล ผลตอบเทนเฉลี่ย +10.73%

Global ETF แผนเติบโต ผลตอบแทนเฉลี่ย +15.37%

นโยบาย Global ETF ในทุกๆ แผน ทำผลตอบแทนเฉลี่ยตลอดปี 2566 ได้ดีกว่าผลตอบแทนคาดหวังไปเกือบเท่าตัวทุกแผน เนื่องจาก Global ETF มีการกระจายความเสี่ยงของสินทรัพย์ในพอร์ตการลงทุนอย่างดี

ไม่ว่าจะเป็นประเภทของสินทรัพย์เอง ทั้งหุ้นและพันธบัตร พร้อมกับการกระจายความเสี่ยงไปทั่วโลก ใน ETF หุ้นสหรัฐฯ ETF หุ้นประเทศพัฒนาแล้ว และ ETF หุ้นตลาดเกิดใหม่ ทำให้เป็นพอร์ตลูกรักของหลายๆ คน หรือเป็นพอร์ตที่นักลงทุน Jitta Wealth ส่วนใหญ่มีติดเอาไว้ 

เหมาะกับทุกช่วงอายุ ตั้งแต่นักศึกษาจบใหม่ที่อยากเริ่มต้นลงทุนวางรากฐานทางการเงินให้กับชีวิต กำลังเริ่มต้นศึกษาเรื่องการลงทุน ไปจนคนทั่วไปที่ไม่พร้อมรับความเสี่ยงที่สูงเกินไป อยากกระจายความเสี่ยงไปทั่วโลก 

ผลตอบแทนจริงของ Thematic DIY และ Thematic Optimize

นโยบาย Thematic ของ Jitta Wealth เป็นทางเลือกให้คุณได้ลงทุนใน ETF ตลาดหุ้น จาก 4 ประเทศชั้นนำ และ ETF ธีมธุรกิจเมกะเทรนด์ อีก 19 ธีม ที่ผ่านการคัดสรรมาแล้วว่าน่าลงทุน อนาคตไกล 

โดยจะแบ่งเป็นแผนลงทุน Thematic DIY ที่ให้คุณเลือกธีมมาลงทุนเองได้สูงสุดถึง 5 ธีม และแผน Thematic Optimize ที่ให้ AI วิเคราะห์และคัดสรรเฉพาะธีมเมกะเทรนด์ 4 ธีมที่น่าลงทุนที่สุดมาลงทุน โดยทั้ง 2 แผนมีการจัดพอร์ตด้วย Passive ETF ค่าธรรมเนียมต่ำ อีกทั้งมีการปรับพอร์ตอัตโนมัติทุก 3 เดือน

สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับนโยบาย Thematic ได้ที่นี่

ในปี 2565 ธีมเมกะเทรนด์เติบโตสูงมาก ปีที่ผ่านมาหลายๆ ธีมก็ทำผลตอบแทนลดลงมาเพราะดอกเบี้ยขึ้น นักลงทุนก็กังวลว่า บริษัทในธีมเมกะเทรนด์เหล่านี้ยังไม่ทำกำไร อาจจะไปต่อไม่ได้ และไม่สามารถกู้เงินได้เพราะดอกเบี้ยสูง มีโอกาสที่หุ้นกลุ่มนี้จะร่วงไปก่อน แต่สุดท้ายแล้วในภาพใหญ่หุ้นเมกะเทรนด์เหล่านี้เป็นอะไรที่เราทุกคนขาดไม่ได้ 

ดูได้จากการเติบโตของแต่ละธีมในปีนี้ 5 อันดับแรกใน 23 ธีมได้แก่ เซมิคอนดักเตอร์

+73.67% เมตาเวิร์ส +60.75% คลาวด์ +40.53% ไซเบอร์ซิเคียวริตี +39.88% และหุ่นยนต์และ AI +33.77% ล้วนเป็นธีมเมกะเทรนด์ที่ถูกใช้งานวนเวียนอยู่ในชีวิตเราทั้งสิ้น 

ในขณะเดียวกันก็มีธีมที่ติดลบ 5 อันดับสุดท้ายได้แก่ พลังงานสะอาดจีน

-17.27% บริการสุขภาพจีน -19.03% พลังงานสะอาด -20.68% เทคโนโลยีจีน

-20.94% และกัญชา -23.10% ซึ่งหลายตัวเป็นของจีนก็ได้ผลกระทบมาจากเศรษฐกิจของประเภทเอง 

ในด้านของ Thematic DIY ที่นักลงทุน Jitta Wealth สามารถเลือกธีมเมกะเทรนด์ในพอร์ตได้เอง ผลตอบแทนจริงเฉลี่ยจะอยู่ที่ +9.28% และ Thematic Optimize ที่ AI จะเลือกธีมที่ดีที่สุดในตอนที่คุณลงทุน พร้อมปรับพอร์ตให้อัตโนมัติ ผลตอบแทนจริงเฉลี่ยจะ จะอยู่ที่ +15.27% 


นี่คือภาพรวม 3 นโยบายของ Jitta Wealth ตลอดปี 2566 ผลตอบแทนจริงในปี 2566 ของนโยบายต่างๆ ของ Jitta Wealth มีทั้งแผนที่ทำผลตอบแทนได้ดี ชนะดัชนีได้อย่างขาดลอย บางแผนทำผลตอบแทนได้ไม่ต่างจากดัชนี

แต่การลงทุนระยะยาวไม่สามารถตัดสินได้ด้วยผลตอบแทนเพียงปีเดียว การลงทุนมีทั้งปีที่ขึ้นและปีที่ลง วันหนึ่งมันจะเป็นปีของเราถ้าเราเลือกลงุทนจากหลักการที่ถูกต้อง 

ระยะเวลาสำคัญกับการลงทุนแค่ไหนคุณสามาถดูผลตอบแทนระยะยาวจากผล Back Test ของเราได้ที่ jittawealth.com

และเวลาในการลงทุนจะช่วยลดโอกาสขาดทุนของพอร์ตคุณได้ในระยะยาว ซึ่งมีข้อมูลรองรับคุณสามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่นี่ 

ยังมีอีกกลยุทธ์การลงทุนที่ใช้ได้ตลอดกาลอย่าง DCA การลงทุนแบบถัวเฉลี่ย ไม่ต้องจับจังหวะการลงุทน แค่มีวินัย ก็สร้างผลตอบแทนทบต้นได้อย่างมหาศาลแล้ว 

ให้ Jitta Wealth เลือกหุ้นดี สินทรัพย์คุณภาพให้กับคุณ ที่เหลือแค่อาศัยวินัยลงทุนอย่างต่อเนื่อง และเชื่อมั่นในการลงทุนที่ถูกต้อง สุขภาพของพอร์ตการเงินของคุณก็พร้อมที่จะเติบโตไปได้อีกไกลแล้ว 

หากคุณมีข้อสงสัยหรือคำถามเกี่ยวกับการอัปเดตอัลกอริทึมและการบริหารจัดการพอร์ต Jitta Wealth สามารถติดต่อสอบถามในกลุ่ม Jitta Wealth Official หรือทาง Line ID: @JittaWealth ได้ในวันและเวลาทำการ


กองทุนส่วนบุคคล Jitta Wealth บริหารจัดการโดย บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน จิตตะ เวลธ์ จำกัด ซึ่งเป็น WealthTech แห่งแรกของไทยที่ได้รับใบอนุญาตจากกระทรวงการคลัง กำกับโดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ใบอนุญาตเลขที่ ลค-0105-01 ผลตอบแทน การเปรียบเทียบหรือการจัดอันดับการดำเนินงานในอดีตที่เกี่ยวข้องกับการลงทุน ไม่การันตีผลตอบแทนในอนาคต การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจนโยบายการลงทุน เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน และความเสี่ยงอื่นๆ ก่อนตัดสินใจลงทุน