กลยุทธ์ลงทุนลดโอกาสขาดทุน ทนทุกสภาวะตลาด
ไฮไลต์
- สิ่งที่หลายคนอาจคาดไม่ถึงคือ ระยะเวลาสามารถช่วยลดความผันผวนให้กับพอร์ตการลงทุน หรือแม้กระทั่งลดความเสี่ยงได้ เรียกได้ว่า เวลาจะเยียวยาทุกอย่าง แม้กระทั่งพอร์ตลงทุน
- ยิ่งลงทุนในระยะเวลานานขึ้น โอกาสขาดทุนก็จะยิ่งต่ำลง หากคุณลงทุนแค่ 1 ปี ก็มีโอกาสที่คุณจะบังเอิญไปลงทุนในปีที่เกิดวิกฤต แต่ถ้าคุณลงทุนสัก 3-5 ปี โอกาสที่คุณจะผ่านวิกฤตเหล่านั้นได้ก็มีมากขึ้น
- ยกตัวอย่างการลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ ตามข้อมูล S&P 500 Rolling Return ตั้งแต่ปี 2471 – 2565 หากคุณลงทุนเป็นระยะเวลา 20 ปี ผลตอบแทนเฉลี่ยที่ดีที่สุดจะเป็น +17.70% และผลตอบแทนที่แย่ที่สุดก็จะยังคงได้กำไรถึง +2.37% หมายความว่า ไม่ว่าคุณจะลงทุนช่วงเวลาไหน คุณจะทำผลตอบแทนได้ตํ่าสุดที่ +2.37% โอกาสขาดทุนแทบไม่มีเลย
- แม้จะไม่สามารถการันตีได้ว่าอนาคตจะไม่เกิดวิกฤตร้ายแรงที่ฉุดเศรษฐกิจหรือตลาดหุ้นลงติดๆ กันเกิน 4 ปี แต่หากคุณลงทุนระยะยาวและไม่ถอดใจออกจากตลาดไปเสียก่อน ระยะเวลาก็จะคอยช่วยให้มูลค่าพอร์ตลงทุนกลับมาสู่จุดที่ควรจะเป็น
หากพูดถึงการลงทุนคุณนึกถึงอะไรบ้าง
เงินลงทุน สินทรัพย์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหุ้น พันธบัตร กองทุน กอง ETF กลยุทธ์และหลักการต่างๆ ในการลงทุน แต่มีสิ่งหนึ่งที่ถูกนึกถึงเป็นอย่างท้ายๆ เสมอก็คือ ‘เวลา’
และเมื่อคุณได้ลงมือ ลงเงินลงทุนไปเรียบร้อยแล้ว สิ่งแรกที่คุณนึกถึงก็คงเป็นผลตอบแทน กำไร เงินปันผล เพราะเราลงทุนก็ต้องมีเป้าหมายเป็นธรรมดา แต่ ‘ระยะเวลา’ ในการลงทุนกลับเป็นสิ่งที่มักถูกหลงลืมไป
แต่ ‘เวลา’ เกี่ยวข้องอะไรกับการลงทุน
‘เวลา’ กลยุทธ์การลงทุนที่เรียบง่ายแต่สู้ตลาดได้
จริงๆแล้ว ‘เวลา’ ถือเป็นองค์ประกอบที่สำคัญสำหรับการลงทุน หรือเป็นเหมือน ‘กลยุทธ์การลงทุน’ สู้ตลาดอีกแบบหนึ่งได้เลย
ก่อนที่คุณจะลงทุน นอกจากความเสี่ยงที่คุณต้องลองทำความเข้าใจเพื่อเลือกสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงเหมาะกับคุณแล้ว ยังควรวางแผนกำหนดระยะเวลาในการลงทุนแต่ละครั้ง แต่ละกองเอาไว้ด้วย
เพราะ ‘เวลา’ จะเป็นตัวกำหนดเส้นทางการลงทุนของคุณ ว่าการลงทุนครั้งนี้คุณมองเอาไว้ยาวแค่ไหน และสินทรัพย์ กลยุทธ์ หรือวิธีอะไรที่เหมาะกับเป้าหมายของคุณ
ที่สำคัญ ‘เวลา’ นี่แหละที่เป็นสูตรลับลดโอกาสขาดทุนจากการลงทุนของคุณได้
แค่ ‘เวลา’ จะทำให้โอกาสขาดทุนลดลงจริงหรือ เราขอ ‘เวลา’ ของคุณสักครู่ และมาหาคำตอบไปด้วยกันได้เลยในบทความนี้
นานแค่ไหนคือ การลงทุน ‘ระยะยาว’
กรอบเวลาในการลงทุนมี 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ การลงทุนระยะสั้น และการลงทุนระยะยาว
การลงทุนระยะสั้น คือระยะเวลาการลงทุนตั้งแต่ 1-3 ปีขึ้นไป มักมีเป้าหมายระยะสั้นๆ เช่น นำเงินไปเที่ยวต่างประเทศ ออกรถ Tesla สักคัน หรือบางคนอาจจะลงทุนในระยะเวลาที่สั้นมากกว่านั้น เช่นการเล่นหุ้นเกร็งกำไรแบบวันต่อวัน หรือการลงทุนในค่าเงิน ทองคำ ที่เทรดเป็นหลักนาทีก็มี
การลงทุนระยะยาว คือการลงทุนที่มีเป้าหมายตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป มักเป็นการลงทุนเพื่อเป้าหมายระยะยาว เช่น ลงทุนเพื่อเก็บเงินไว้ใช้ยามเกษียณ หรือเพื่ออิสรภาพทางการเงินในอนาคต และการลงทุนระยะยาวนี้ก็เป็นที่นิยมแพร่หลายมากขึ้นในปัจจุบัน
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนสาย VI (Value Investor) แนวหน้าของประเทศไทย เคยกล่าวถึงไว้ว่า ‘การลงทุนระยะยาว’ เป็นการลงทุนในหุ้นแต่ละตัวที่จะถือไว้ยาวนาน ส่วนใหญ่เป็นระยะเวลา 1 ปีขึ้นไป โดยคนที่ถือยาวขึ้นมาหน่อยก็อาจจะถึง 2-3 ปีขึ้นไป หรือบางคนถือยาวกว่านั้น ขึ้นอยู่กับสไตล์ของแต่ละคน
และสิ่งที่สำคัญคือการลงทุนตลอดเวลา คนที่เข้า ๆ ออก ๆ จากตลาดตามสถานการณ์ความผันผวน จะไม่ถือว่าเป็นนักลงทุนระยะยาว แต่มักจะถูกเรียกว่า ‘นักเก็งกำไร’ มากกว่า
ประโยชน์ของระยะเวลาในการลงทุน
สิ่งที่นักลงทุนหลายๆ คนอาจคาดไม่ถึงคือ ระยะเวลาสามารถช่วยลดความผันผวนของตลาดหุ้นได้ ซึ่งหมายความว่า ‘เวลา’ เป็นเหมือนกลยุทธ์ที่ลดความเสี่ยงได้ในระดับหนึ่ง รวมถึงลดโอกาสขาดทุนได้ด้วย
สังเกตง่ายๆ จากกราฟหุ้น หากคุณดูกราฟ 1 วันจะเห็นความผันผวนของราคาได้อย่างชัดเจน แต่พอลองขยายออกมาดูที่ระยะเวลา 1 เดือน 1 ปี หรือ 5 ปี ความผันผวนที่เคยเห็นว่าสูงมากๆ ก็จะค่อยๆ ลดลง
และหากถามว่าระยะเวลาสามารถช่วยลดความเสี่ยงได้อย่างไร
ให้คุณลองคิดย้อนกลับไปในปีที่ผ่านๆ มา ว่าเกิดวิกฤตหรือเหตุการณ์ที่เข้ามากระทบตลาดหุ้นกี่ครั้ง มีโอกาสที่คุณจะดวงไม่ดีลงทุนในช่วงตลาดตกมากแค่ไหน
เช่นในช่วงที่เกิดวิฤตการแพร่ระบาดของ Covid-19 ที่ตลาดหุ้นผันผวนไปทั่วโลก หากคุณลงทุนแค่ระยะเวลาไม่กี่เดือน หรือ 1 ปี คุณอาจเจอกับวิกฤตทำให้พอร์ตขาดทุนเพียงอย่างเดียว แต่หากคุณลงทุนในระยะเวลาที่ยาวนานกว่านั้น ตามวัฏจักรของตลาดหุ้น จะมีปีที่ตลาดกลับตัวและราคาสินทรัพย์พุ่งขึ้นมาช่วยถัวเฉลี่ยให้พอร์ตของคุณได้
บทพิสูจน์ ‘เวลา’ เยียวยาอาการขาดทุน
‘เวลา’ จะเยียวยาทุกอย่าง เป็นคำพูดที่คุ้นหู แต่เราจะไม่มีทางรับรู้ถึงความจริงของมัน ถ้าเราไม่ได้ลองพิสูจน์ เช่นเดียวกับกลยุทธ์การลงทุนที่เรียบง่าย ที่ให้ ‘เวลา’ เยียวอาการขาดทุน ถ้าจะพูดลอยๆ ก็อาจจะไม่เห็นภาพ Jitta Wealth จึงหาบทพิสูจน์มาให้คุณแล้ว
ให้ ‘เวลา’ กับการลงทุนหุ้น
เริ่มจากการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ตามข้อมูล S&P 500 Rolling Return ตั้งแต่ปี 2471 – 2565 หากลงทุนเป็นระยะเวลา 1 ปี ผลตอบแทนเฉลี่ยที่ดีที่สุดจะอยู่ที่ +52.56% และผลตอบแทนเฉลี่ยที่แย่ที่สุดจะติดลบถึง -43.84% หมายความว่า ในช่วงปี 2471 – 2565 หากคุณนึกอยากลงทุนสัก 1 ปี คุณอาจโชคดีได้กำไรสูงถึง +52.56% หรือหากโชคร้ายเลือกลงทุนในปีที่เกิดวิกฤตก็มีโอกาสขาดทุนมากถึง -43.84%
หากคุณลงทุนเป็นระยะเวลาที่ยาวขึ้นเป็น 5 ปี ผลตอบแทนเฉลี่ยที่ดีที่สุดจะอยู่ที่ +30.85% ผลตอบแทนเฉลี่ยที่แย่ที่สุดจะติดลบ -12.71% ซึ่งหากยาวขึ้นอีก เป็น 10 ปี ผลตอบแทนเฉลี่ยที่ดีที่สุดจะอยู่ที่ +20.11% ผลตอบแทนเฉลี่ยที่แย่ที่สุดจะติดลบเพียง -1.67% เท่านั้น เห็นได้ชัดว่าผลตอบแทนเฉลี่ยที่แย่ที่สุดจะลดลงตามระยะเวลาการลงทุนที่ยาวขึ้น
แต่หากคุณลงทุนเป็นระยะเวลา 20 ปี ผลตอบแทนเฉลี่ยที่ดีที่สุดจะเป็น +17.70% และผลตอบแทนที่แย่ที่สุดก็จะยังคงได้กำไรถึง +2.37% หมายความว่า ไม่ว่าคุณจะลงทุนช่วงเวลาไหน ในระหว่างปี 2471 – 2565 และลงทุนเป็นเวลา 20 ปี คุณจะทำผลตอบแทนได้ตํ่าสุดที่ +2.37% โอกาสขาดทุนแทบไม่มีเลย
ให้ ‘เวลา’ กับพันธบัตร
ลองเปลี่ยนจากการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ มาเป็นการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ความเสี่ยงต่ำดูบ้าง ผลตอบแทนที่ได้ตามระยะเวลาที่ลงทุนจะเป็นอย่างไร
ตามข้อมูล U.S. Government Bond Rolling Return ตั้งแต่ปี 2471 – 2565 หากลงทุนเป็นระยะเวลา 1 ปี ผลตอบแทนเฉลี่ยที่ดีที่สุดจะอยู่ที่ +32.81% และผลตอบแทนเฉลี่ยที่แย่ที่สุดจะติดลบ -17.83% หมายความว่า ในช่วงปี 2471 – 2565 หากคุณนึกอยากลงทุนเป็นระยะเวลา 1 ปี คุณอาจโชคดีได้กำไรกว่า +32.81% หรือหากโชคร้ายเลือกลงทุนในปีที่เกิดวิกฤตก็อาจขาดทุนได้มากถึง -17.83%
หากคุณลงทุนเป็นระยะเวลาที่ยาวขึ้นเป็น 5 ปี ผลตอบแทนเฉลี่ยที่ดีที่สุดจะอยู่ที่ +19.48% ผลตอบแทนเฉลี่ยที่แย่ที่สุดจะติดลบ -0.84% เห็นได้ชัดว่าผลตอบแทนเฉลี่ยที่แย่ที่สุดจะลดลงตามระยะเวลาการลงทุนที่ยาวขึ้นเช่นกัน
แต่หากคุณลงทุนเป็นระยะเวลา 10 ปี ผลตอบแทนเฉลี่ยที่ดีที่สุดจะเป็น +13.67% และผลตอบแทนที่แย่ที่สุดก็จะยังคงได้กำไร +0.11% หมายความว่าคุณแทบจะไม่ขาดทุนหากลงทุนเป็นระยะเวลา 10 ปีขึ้นไป นั่นเอง
ให้ ‘เวลา’ กับการกระจายความเสี่ยงในพอร์ตหุ้นผสมพันธบัตร
หากคุณผสมกลยุทธ์เวลาและการกระจายความเสี่ยงในสินทรัพย์เข้าด้วยกัน ผลตอบแทนตามระยะเวลาการลงทุนแต่ละช่วงจะเป็นอย่างไร หากลงทุนให้หุ้นสหรัฐฯ 50% และ พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อีก 50%
ตามข้อมูล S&P 500 Rolling Return และ U.S. Government Bond Rolling Return ตั้งแต่ปี 2471 – 2565 หากลงทุนเป็นระยะเวลา 1 ปี ผลตอบแทนเฉลี่ยที่ดีที่สุดจะอยู่ที่ +30.34% และผลตอบแทนเฉลี่ยที่แย่ที่สุดจะติดลบ -23.20% หมายความว่า ในช่วงปี 2471 – 2565 หากคุณลงทุนเป็นระยะเวลา 1 ปี คุณอาจโชคดีได้กำไรมากถึง +30.34% หรือหากโชคร้ายเลือกลงทุนในปีที่เกิดวิกฤตก็อาจขาดทุนได้มากถึง -23.20%
หากคุณลงทุนเป็นระยะเวลาที่ยาวขึ้นเป็น 5 ปี ผลตอบแทนเฉลี่ยที่ดีที่สุดจะอยู่ที่ +19.61% ผลตอบแทนเฉลี่ยที่แย่ที่สุดจะติดลบ -3.75% เห็นได้ชัดว่าผลตอบแทนเฉลี่ยที่แย่ที่สุดจะลดลงตามระยะเวลาการลงทุนที่ยาวขึ้นเช่นกัน
แต่หากคุณลงทุนเป็นระยะเวลา 10 ปี ผลตอบแทนเฉลี่ยที่ดีที่สุดจะเป็น +15.67% และผลตอบแทนที่แย่ที่สุดก็จะยังคงได้กำไรถึง +2.40% หมายความว่าคุณแทบจะไม่ขาดทุนหากลงทุนเป็นระยะเวลา 10 ปี แม้จะลงทุนในหุ้นที่มีความเสี่ยงสูงกว่า เนื่องจากมีพันธบัตรเข้ามาช่วยให้พอร์ตสมดุลและผันผวนน้อยลง
จากข้อมูลการลงทุนในสินทรัพย์ทั้งหุ้นและพันธบัตร หรือจะเป็นการลงทุนทั้ง 2 สินทรัพย์ในพอร์ตเดียวกัน กลยุทธ์รอเวลา สำหรับการลงทุนระยะยาว ถูกพิสูจน์แล้วว่าสามารถช่วยลดโอกาสขาดทุนได้ และเพิ่มความทนทานของพอร์ตของคุณได้ทุกสภาวะตลาด
ตลาดหุ้นมีขึ้นมีลงแต่แนวโน้มในระยะยาวก็ยังคงเป็นการขยับเพิ่มขึ้นอยู่ดี ตามข้อมูลตลาดหุ้นสหรัฐฯ (S&P 500 Rolling Return) ตั้งแต่ปี 2471 – 2565 พบว่าตลาดหุ้นตกติดกันยาวนานที่สุดคือ 4 ปี ในช่วงปี 2472 2473 2474 และ 2475 ที่เกิดเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ และเป็นผลพวงที่ทำให้เกิดสงครามโลก จากนั้นตลาดก็ไม่เคยตกติดๆ กันเกิน 3 ปีอีกเลย ดังนั้นหากคุณลงทุนเกิน 3 ปี โอกาสที่พอร์ตจะขาดทุนก็จะต่ำ และต่ำลงเรื่อยๆ ตามระยะเวลาของการลงทุนที่ยาวนานขึ้น
แม้จะไม่สามารถการันตีได้ว่าอนาคตจะไม่เกิดวิกฤตร้ายแรงที่ฉุดเศรษฐกิจหรือตลาดหุ้นลงติดๆ กันเกิน 4 ปี แต่หากคุณลงทุนระยะยาวและไม่ถอดใจออกจากตลาดไปเสียก่อน ระยะเวลาก็จะคอยช่วยให้มูลค่าพอร์ตลงทุนกลับมาสู่จุดที่ควรจะเป็น
สุดท้ายแล้ว คำกล่าวที่ว่า “ระยะเวลาจะเยียวยาทุกอย่าง” ก็ใช้ได้กับการลงทุนเช่นเดียวกัน
กองทุนส่วนบุคคล Jitta Wealth บริหารจัดการโดย บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน จิตตะ เวลธ์ จำกัด ผู้บุกเบิกสตาร์ตอัป WealthTech สัญชาติไทยรายแรก ที่ได้รับใบอนุญาตจากกระทรวงการคลัง กำกับโดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ใบอนุญาตเลขที่ ลค-0105-01
ผลตอบแทน การเปรียบเทียบหรือการจัดอันดับการดำเนินงานในอดีตที่เกี่ยวข้องกับการลงทุน ไม่การันตีผลตอบแทนในอนาคต การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจนโยบายการลงทุน เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน และความเสี่ยงอื่นๆ ก่อนตัดสินใจลงทุน
อ่านเพิ่มเติม
รวบตึง 3 นโยบายลงทุน Jitta Wealth เลือกแบบไหน…ที่ตรงใจ ปีล่าสุด
รีวิว Jitta Wealth ลงทุนวันนี้ เพื่อสร้างอิสระและเวลาในอนาคต
อยากลงทุน ต้องได้ลง! ลงทุน Global ETF และ Thematic เริ่มต้น 10,000 บาท