Skip to content - ข้ามไปที่เนื้อหา
Blog

CEO ของ Jitta Wealth เผยเคล็ดลับปรับพอร์ตรับมือภาวะตลาดหมี


เนื้อหาสำคัญ

Exclusive Q&A with CEO ของ Jitta Wealth ประจำเดือนพฤษภาคม 2565 เป็น Live สดที่คุณเผ่า ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ จะมาไขข้อสงสัยให้คุณ ไม่ว่าจะมีพอร์ตลงทุนกับ Jitta Wealth อยู่แล้ว หรือสนใจลงทุน แต่ต้องการฟังมุมมองของ CEO เกี่ยวกับสถานการณ์การลงทุนทั่วโลกและนโยบายการลงทุนต่างๆ ของ Jitta Wealth ก่อนตัดสินใจ

หากคุณพลาดชม Live สด คุณสามารถชมวิดีโอย้อนหลังได้ที่ Facebook และ YouTube

ดูวิดีโอ CEO ของ Jitta Wealth ย้อนหลัง

สรุป Q&A และมุมมองจาก Jitta Wealth

คุณเผ่า ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ อัปเดตความเคลื่อนไหวล่าสุด สำหรับแพลตฟอร์มวิเคราะห์หุ้น Jitta ว่า ปัจจุบันครอบคลุมบริการวิเคราะห์หุ้น 26 ประเทศทั่วโลก จำนวนรวมมากกว่า 34,000 บริษัทจดทะเบียน 

AI และอัลกอริทึมที่ Jitta พัฒนามาตลอด 1 ทศวรรษ กลายเป็นแพลตฟอร์มที่มีข้อมูลการวิเคราะห์งบการเงินตามหลักการ ‘หุ้นดี ราคาเหมาะสม’ ของ Warren Buffett ที่มีข้อมูลตลาดหุ้นมากที่สุดในโลก

แพลตฟอร์มวิเคราะห์หุ้น Jitta จะอัปเดตผลตอบแทนและอัลกอริทึมเวอร์ชันใหม่ๆ ทุกๆ ปี โดยจะนำข้อมูลผลตอบแทนจากการลงทุนตาม Jitta Ranking มาเปรียบเทียบกับดัชนีตลาดหุ้นของประเทศนั้นๆ คุณสามารถเข้าไปดูข้อมูลหุ้นและตลาดหุ้นที่คุณสนใจได้ใน https://www.jitta.com/home เป็นแพลตฟอร์มที่ให้บริการฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย

ตลาดหุ้นทั่วโลกในปี 2565

สถานการณ์ตลาดหุ้นทั่วโลก คุณเผ่าได้ให้ความเห็นว่า แนวโน้มตลาดหุ้นในปี 2565 ค่อนข้างเงียบๆ ซึมๆ และปรับตัวตกลงมาพอสมควร 

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าคุณจะเริ่มต้นลงทุนปีใด การปรับตัวขึ้นหรือลงของตลาดหุ้นเป็นเรื่องปกติของเศรษฐกิจ หากคุณมีความตั้งใจจะลงทุนในหุ้น ไม่ช้าก็เร็วคุณต้องพบกับสถานการณ์ตลาดหุ้นแบบนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 

ปี 2565 มี 3 เหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นมากที่สุด คือ อัตราเงินเฟ้อพุ่งสูง การล็อกดาวน์เมืองใหญ่ของจีนที่ส่งผลให้เศรษฐกิจจีนและห่วงโซ่อุปทานหยุดชะงัก และความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน 

CEO ของ Jitta Wealth

สถานการณ์ที่ 1 ที่นักลงทุนให้ความสนใจและคอยติดตามอยู่เสมอ คือ ภาวะเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นในสหรัฐฯ แต่แนวคิดการลงทุนแบบเน้นคุณค่า (Value Investing) ของนักลงทุนระดับโลก Warren Buffett บอกว่า เงินเฟ้อจะเป็นศัตรูกับธุรกิจที่แย่ และจะให้ประโยชน์แก่ธุรกิจที่ดี

ประโยคนี้สามารถขยายความได้ว่า หากธุรกิจใดที่ไม่สามารถขึ้นราคาสินค้าในช่วงภาวะเงินเฟ้อพุ่งสูง เงินเฟ้อจะกัดกินรายได้ของธุรกิจนั้น แต่สำหรับธุรกิจที่ดีที่สามารถขึ้นราคาสินค้าในช่วงเงินเฟ้อ จะทำให้รายได้เพิ่มขึ้น และรวมไปถึงส่งผลให้ธุรกิจแข็งแกร่งมากกว่าเดิม

หากคุณมั่นใจและยึดมั่นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง และต้องการลงทุนระยะยาว คุณไม่จำเป็นต้องคาดการณ์สถานการณ์ต่างๆ ที่ส่งผลกระทบในระยะสั้นมากเกินไป สุดท้ายแล้วสถานการณ์ต่างๆ จะถูกควบคุมและสามารถคลี่คลายไปในทางใดทางหนึ่ง 

สถานการณ์ที่ 2 เกิดขึ้นจนเป็นข่าวใหญ่ คือ สถานการณ์ตลาดหุ้นจีนที่ปรับตัวลดลง เนื่องจากการล็อกดาวน์ที่เข้มงวดด้วยมาตรการ Zero Covid คุณอาจจะมองช่วงเวลานี้ เป็นโอกาสลงทุนในตลาดหุ้นจีนได้ เพราะปรับตัวลดลงมามาก ทำให้หุ้นที่มีผลการดำเนินการดีหลายๆ บริษัท ราคาถูกน่าลงทุน เหมาะสำหรับการลงทุนระยะยาว เพราะศักยภาพของตลาดหุ้นจีนและธุรกิจต่างๆ ยังมีแนวโน้มการเติบโตที่ดีอย่างชัดเจน 

สถานการณ์ที่ 3 ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน ตอนนี้การปะทะยังคงมีอยู่ และอย่างที่ได้ย้ำไปว่า ไม่มีใครสามารถคาดการณ์จุดจบของสงครามได้ แต่ตามสถิติที่ทีมงาน Jitta Wealth รวบรวมมาให้ จะพบว่า การลงทุนในช่วงเริ่มต้นสงคราม ระหว่างสงคราม และการใช้กลยุทธ์ DCA (Dollar Cost Averaging) จะช่วยเพิ่มผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว 

สถานการณ์ความผันผวนของดัชนีตลาดหุ้นต่างๆ ปี 2565 จนถึง 27 พฤษภาคม ต่างเป็นขาลงทั่วโลก เป็นเหตุเป็นผลกับสถานการณ์ต่างๆ ที่สร้างแรงกดดันให้ตลาดหุ้นหลายๆ ประเทศเป็นตลาดหมี (Bear Market)

  • S&P500 ลดลง -13.31%
  • NASDAQ ลดลง -23.38%
  • CSI300 ลดลง -18.64%
  • SET ลดลง -1.14%
  • VNI ลดลง -16.19%
CEO ของ Jitta Wealth

หากคุณเป็นนักลงทุนมือใหม่ที่เพิ่งเข้ามาลงทุนในหุ้น แล้วมาพบกับสถานการณ์แบบนี้อาจเกิดความกลัว และรู้สึกแย่กับการลงทุนในตลาดหุ้น แต่แนะนำว่า อย่าเพิ่งถอดใจจากการลงทุน เพราะหากดูสถิติที่ Goldman Sachs ธนาคารชื่อดังของสหรัฐฯ เก็บข้อมูลจะพบว่า 7 ใน 10 ครั้ง หลังจากที่ภาวะเงินเฟ้อพุ่งสูงจบลง ตลาดหุ้นมักจะกลับมาเป็นขาขึ้นได้อีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม คุณเผ่า ให้คำแนะนำว่า อย่าลงทุนเป็นแบบพนัน หรือออลอินหมดหน้าตัก สิ่งที่สำคัญคือ การกระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสม และทำให้พอร์ตลงทุนแข็งแกร่ง เพื่อทนต่อภาวะความผันผวนต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้ 

หุ้นทนทานต่อภาวะเงินเฟ้อและความผันผวน

สำหรับสถานการณ์เศรษฐกิจโลกในช่วงนี้ คุณเผ่า ได้แนะนำให้ลงทุนในหุ้น Defensive ซึ่งจะมีความผันผวนน้อยกว่าหุ้นธุรกิจอื่นๆ เช่น

  • เฮลท์แคร์ ทุกคนต้องใช้ ไม่ว่าอัตราเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้นหรือลดลงก็ตาม เป็นธุรกิจที่อยู่มานาน และตราบใดที่มนุษย์ยังเจ็บไข้ได้ป่วย ธุรกิจบริการสุขภาพเป็นเมกะเทรนด์ที่ไม่มีวันตาย
  • สินค้าอุปโภคบริโภค เช่น อาหาร เครื่องดื่ม สบู่ ยังคงเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับทุกคน โดยธุรกิจที่ผลิตสินค้าประเภทนี้ออกมาจะสามารถขึ้นราคาสินค้า ได้ตามอัตราเงินเฟ้อเช่นเดียวกัน
  • การเงินและประกัน เป็นธุรกิจที่ไม่ต้องใช้ต้นทุนในการลงทุนสูงมากนัก และมีกระแสเงินสดที่ดีอยู่เสมอ รวมไปถึงผู้คนให้ความสำคัญในการเงินและสุขภาพมากขึ้น ยิ่งทำให้ธุรกิจการเงินและประกันมีความจำเป็นในปัจจุบัน
  • สาธารณูปโภค ค่าน้ำและค่าไฟจะถูกควบคุมโดยรัฐบาล ทำให้อัตราเงินเฟ้อจะไม่ส่งผลกระทบต่อสาธารณูปโภคมากนัก และรัฐบาลคอยดูแลระบบสัมปทานและให้ใบอนุญาต ทำให้ธุรกิจสาธารณูปโภคทนทานต่อภาวะเงินเฟ้อได้
CEO ของ Jitta Wealth

แผนลงทุนกับ Jitta Wealth

กองทุนส่วนบุคคล Jitta Wealth มีหลากหลายนโยบายลงทุนตามความต้องการที่แตกต่างกัน ซึ่งคุณเริ่มลงทุนได้ในทุกๆ สถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นช่วงตลาดหุ้นขาขึ้นหรือขาลง ที่สำคัญ คือ ลงทุนตามความเสี่ยงที่รับได้ นโยบายลงทุนของ Jitta Wealth มีดังนี้

  • Global ETF เริ่มต้น 100,000 บาท
    • ลงทุนใน ETF เหมาะสำหรับผู้ที่รับความเสี่ยงได้ไม่มากนัก แต่ต้องการพอร์ตลงทุนที่มีผลตอบแทนดี เติบโตอย่างเหมาะสม มูลค่าของพอร์ตจะไม่ผันผวนมาก เป็นพอร์ตสะสมเงินลงทุน เพื่อเกษียณในอนาคต  มี 3 แผนลงทุน คือ พอเพียง สมดุล และเติบโต จัดพอร์ตกระจายความเสี่ยงในตลาดหุ้นทั่วโลกและตราสารหนี้คุณภาพดี
  • Thematic เริ่มต้น 100,000 บาท 
    • ลงทุนใน Thematic ETF ตามธีมธุรกิจเมกะเทรนด์โลกที่มีโอกาสเติบโต ต้องการผลตอบแทนสูง และตามมาด้วยความเสี่ยงและความผันผวนที่สูงตามไปด้วย เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนระยะยาว ยอมรับความผันผวนของราคา ETF ได้ แต่ละธีมที่ Jitta Wealth คัดเลือกมา มีแนวโน้มเติบโตที่สูงในอนาคต มี 2 แผนลงทุน คือ
      • Thematic DIY จัดพอร์ตเลือกธีมตามความชอบได้สูงสุด 5 ธีม
      • Thematic Optimize AI จาก Jitta Wealth จะช่วยคัดเลือกธีมที่น่าลงทุนที่สุด 4 ธีม และปรับพอร์ตอัตโนมัติทุก 3 เดือน 
  • Jitta Ranking เริ่ม 500,000 และ 1,000,000 บาท
    • ลงทุนในหุ้นบริษัทของประเทศและอุตสาหกรรม ตามที่คุณต้องการ โดยใช้ AI ของแพลตฟอร์มวิเคราะห์หุ้น Jitta ที่ได้รับการพิสูจน์มาว่า สามารถใช้ได้ในทุกตลาดหุ้นและทุกอุตสาหกรรมคัดเลือก ‘หุ้นดีราคาถูก’ และ ‘หุ้นดีมีโอกาสเติบโต’ มาจัดพอร์ตลงทุนให้กับคุณ และปรับพอร์ตอัตโนมัติทุก 3 เดือน มี 6 แผนลงทุน ได้แก่ 
      • Jitta Ranking รายประเทศ ได้แก่ ไทย เวียดนาม จีน และสหรัฐอเมริกา 
      • Jitta Ranking รายอุตสาหกรรม ได้แก่ เทคโนโลยีสหรัฐฯ และสุขภาพสหรัฐฯ

คุณสามารถไปศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ หรือหากคุณยังมีข้อสงสัยในแผนลงทุนต่างๆ สามารถสอบถามเจ้าหน้าที่แนะนำการลงทุนได้ที่ Line ID: @JittaWealth

คำถามที่ควรหาคำตอบก่อนลงทุน

คุณเผ่าได้แนะนำ 3 คำถาม ที่คุณควรตอบให้ได้ก่อนจะเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น ได้แก่

  1. คาดหวังผลตอบแทนสูงแค่ไหน 
  2. รับความเสี่ยงได้มากแค่ไหน
  3. วางแผนลงทุนนานแค่ไหน

หากคุณคาดหวังผลตอบแทนที่สูงขึ้น ต้องพร้อมรับกับความเสี่ยงที่สูงขึ้นด้วยเช่นกัน เพราะการลงทุนในหุ้นมีความเสี่ยงที่สูงกว่าการลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ หากคุณมีความเข้าใจและความรู้เกี่ยวกับการลงทุนในตลาดหุ้นจะช่วยลดความเสี่ยงได้

การลงทุนในตลาดหุ้น หากราคาหุ้นปรับตัวลดลง นักลงทุนที่เก่งจะใช้จังหวะลงทุนเพิ่มในหุ้นคุณภาพดี เพื่อรับผลตอบแทนที่มากขึ้นในอนาคต Jitta Wealth จะลงทุนตามหลักการแบบนักลงทุนระดับโลกอย่าง Warren Buffett ที่จะลงทุนใน ‘หุ้นดี ราคาเหมาะสม’ ซึ่งถูกพิสูจน์มาเป็นระยะเวลานานแล้วว่า สร้างผลตอบแทนที่ดีให้คุณได้ในระยะยาว

การลงทุนในสินทรัพย์อะไรก็ตาม รวมไปถึงกองทุนส่วนบุคคล Jitta Wealth คุณควรจะถามตัวเองอยู่เสมอว่า การลงทุนนี้ยังมีโอกาสเติบโตหรือไม่ การลงทุนนี้ทำให้สบายใจที่จะลงทุนหรือไม่ และคุณมีความเข้าใจนโยบายและแผนที่เลือกลงทุนแล้วหรือยัง หากคุณสามารถตอบคำถามเหล่านี้ได้ จะทำให้คุณมีความมั่นใจในการลงทุนมากยิ่งขึ้น และอารมณ์ของคุณไม่ผันผวนไปตามสภาวะตลาดหุ้นที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

CEO ของ Jitta Wealth

การลงทุนระยะสั้น คุณจะมีโอกาสพบเจอกับความผันผวนของราคาหุ้น แต่หากคุณลงทุนระยะยาว โอกาสได้กำไรจากการลงทุนจะสูงขึ้นด้วยเช่นกัน ยิ่งลงทุนในระยะเวลาที่นานขึ้นเท่าไร จะช่วยลดความผันผวนในตลาดหุ้นมากเท่านั้น แต่ขึ้นอยู่กับคุณภาพสินทรัพย์ที่ลงทุนด้วยเช่นกัน 

ความเคลื่อนไหวของดัชนี S&P500 สะท้อนว่า ในช่วงระยะเวลา 1 ปี ดัชนีมีแนวโน้มที่เป็นขาลง หากลงทุนนานขึ้นเป็น 3 ปี ดัชนีมีแนวโน้มฟื้นตัวเป็นขาขึ้น ขณะที่ช่วงวลา 5 ปี ดัชนีมีแนวโน้มทะยานอย่างรวดเร็ว

CEO ของ Jitta Wealth

แน่นอนว่า หากคุณลงทุนด้วยกลยุทธ์ DCA ถัวเฉลี่ยต้นทุนในพอร์ตอยู่เสมอ จะช่วยลดความผันผวนที่เกิดขึ้น ทำให้โอกาสขาดทุนน้อยลง เมื่อตลาดหุ้นฟื้นตัวกลับมาเป็นขาขึ้นอีกครั้ง ระยะเวลาที่แนะนำ คือ 10 ปี ซึ่งเป็นระยะเวลาที่พิสูจน์ขาขึ้นของตลาดหุ้น ซึ่งมากกว่าขาลง เป็นเวลาที่นานพอ เพื่อสร้างผลตอบแทนทบต้น โอกาสขาดทุนแทบไม่มี

เริ่มลงทุนตอนไหนดี 

ยิ่งลงทุนเร็ว ยิ่งดี ยิ่งเริ่มลงทุนเร็ว พลังของผลตอบแทนทบต้นจะยิ่งผลักให้มูลค่าเงินลงทุนสูงขึ้นตามระยะเวลาลงทุน วันที่ดีที่สุดในการลงทุน คือ เมื่อวานนี้ วันที่ดีรองลงมา คือ วันนี้ เพราะเมื่อคุณลงทุนเร็ว ผลตอบแทนทบต้นก็จะทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพในระยะยาว จะเห็นได้ว่า การที่คุณเริ่มต้นลงทุนเร็ว ตั้งแต่อายุ 25-35 ปี ผลตอบแทนจากการลงทุนเมื่ออายุ 60 ปี เงินในพอร์ตจะเยอะแตกต่างกับคนที่เริ่มลงทุนตอนอายุ 35 ปี เกือบ 1 เท่าตัว 

หากคุณลงทุนเร็ว ลงทุนสม่ำเสมอ แม้จะเริ่มต้นลงทุนด้วยเงินจำนวนไม่มาก หลายๆ คนอาจจะได้ผลตอบแทนที่สูงกว่าคนที่เริ่มลงทุนช้าด้วยเงินต้นที่สูงด้วย 

ความมั่งคั่งสุทธิของการลงทุนจะประกอบด้วย 3 อย่าง คือ เงินต้น ผลตอบแทนทบต้น และระยะเวลาลงทุน หรือแก้ว 3 ประการนั่นเอง

  • เงินต้น หากคุณไม่ได้มีเงินต้นเยอะ สิ่งที่สำคัญ คือ การ DCA สม่ำเสมอทุกๆ ปี เงินต้นจะเพิ่มขึ้นเอง 
  • ผลตอบแทนทบต้น ถ้าคุณศึกษาเยอะๆ มีความรอบรู้ คุณจะได้ผลตอบแทนที่ดี แต่ถ้าคุณไม่ได้มีเวลามากพอ อย่างน้อยผลตอบแทนเฉลี่ยประมาณ +8 ถึง +10% ต่อปี มูลค่าเงินก็ทบต้นมหาศาลแล้ว 
  • ระยะเวลาลงทุน เป็นสิ่งที่คุณควบคุมได้ ยิ่งคุณเริ่มต้นลงทุนได้เร็ว ตั้งแต่เริ่มทำงาน และคุณลงทุนไปเรื่อยๆ จนเกษียณ มันจะเป็นเงินที่มหาศาลมาก 
CEO ของ Jitta Wealth

ลงทุนครั้งเดียว หรือ DCA แบบไหนดีกว่ากัน 

หากคุณเริ่มลงทุนในปีที่โชคร้ายที่สุดอย่างปี 2543 ดัชนี NASDAQ ฟองสบู่แตก ขึ้นไปจุดพีกสุด และลดลงมา -70 ถึง -80% ใน 2-3 ปีหลังจากนั้น คนหมดเนื้อหมดตัว แล้วทฤษฎีต่างๆ มันใช้ได้จริงหรือเปล่า 

โจทย์ คือ 10,000 บาทกับลงทุน DCA เดือนละ 10,000 บาท ในดัชนี NASDAQ ตั้งแต่ปี 2543-2553 ถือยาว 10 ปี หากคุณลงทุนครั้งเดียวจะสร้างผลตอบแทนทบต้นเฉลี่ย -3.56% ต่อปี แต่หากลงทุนแบบ DCA เไปเรื่อยๆ 10 ปี พอร์ตของคุณจะสร้างผลตอบแทนทบต้นเฉลี่ย +4.57% ต่อปี 

เมื่อยืดเวลาการลงทุนเป็น 15 ปี ถึงปี 2558 หากลงทุนแบบซื้อครั้งเดียว ผลตอบแทนทบต้นจะกลับมาทำกำไร +1.52% ต่อปี แต่ถ้าคุณจิตใจไม่หวั่นไหว DCA ต่อไปอีกทุกเดือน เป็นเวลา 15 ปี ผลตอบแทนทบต้นของคุณ +8.84% ต่อปี 

หากคุณสามารถลงทุนอย่างมีวินัยได้ถึง 22 ปี ถึงปี 2564 หากคุณลงทุนครั้งเดียว คุณจะได้ผลตอบแทนทบต้น +6.49% ต่อปี แต่ถ้าลงทุนแบบ DCA คุณจะได้ผลตอบแทนทบต้น +13.41% ต่อปี ผลตอบแทนเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวจากการลงทุนระยะยาว 15 ปี โดยไม่พึ่งดวง แค่คุณมีวินัยในการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ 

นี่คือความมหัศจรรย์ของ DCA หลายๆ ครั้งที่ Jitta Wealth แนะนำว่า หุ้นตกให้ DCA มันเป็นหลักการที่ถูกต้อง เพราะไม่มีใครสามารถจับจังหวะตลาดหุ้นได้ถูกต้องตลอดเวลา 

คนที่จับจังหวะตลาดหุ้นได้แม่นยำ ต้องเป็นนักลงทุนที่มีประสบการณ์มากๆ ผ่านการลองผิดลองถูกมาเยอะ สร้างพอร์ตได้ด้วยตัวเอง แต่ถ้าสำหรับคนทั่วไป ที่ไม่ได้มีเวลา หรือประสบการณ์ด้านการลงทุนมากพอ การลงทุนในทรัพย์สินที่ถูกต้อง หลักการที่ถูกต้อง เพื่อสร้างมูลค่าระยะยาว ใช้การลงทุนแบบ DCA อย่างมีวินัยและเป็นระยะเวลานานพอ จะสร้างผลตอบแทนที่ดีมากๆ โอกาสมากกว่า 90% ไม่จำเป็นต้องซื้อขายสินทรัพย์บ่อยๆ

 

CEO ของ Jitta Wealth

หลายคนพึ่งลงทุนในหุ้นเทคโนโลยี แล้วตลาดหุ้นตกลงมา -20% หรือเริ่มตกมาจากที่คุณเคยลงทุน ก็ไม่มีอะไรน่ากลัว ถ้าคุณยึดในหลักการ DCA เพราะคุณควบคุมจังหวะตลาดหุ้นไม่ได้ แต่การมีวินัยช่วยคุณได้ คุณจะไม่ใช่บุคคลที่โชคร้าย แต่ในระยะยาวคุณจะเป็นคนที่สร้างความมั่งคั่งจากตลาดหุ้นได้ดี โดยไม่ต้องพึ่งโชคชะตา

CEO ของ Jitta Wealth

Q: DCA เฉพาะตอนที่หุ้นตก จะได้ผลตอบแทนดีกว่าการ DCA ทุกช่วงขาขึ้นกับขาลงหรือไม่ 

ผลตอบแทนรวมตลาดหุ้นไทยรายปี ตั้งแต่ปี 2518-2560 สังเกตได้ว่า จะมีปีที่ตลาดหุ้นขึ้นมากกว่าตลาดหุ้นลง ตลอด 40 กว่าปีของตลาดหุ้นไทยมีปีที่ตลาดหุ้นติดลบเกิน -20% เพียง 6 ปี แต่ปีที่หุ้นขาขึ้นเกิน +20% มี 18 ปี หมายความว่า ถ้าคุณกลัวหุ้นตก คุณจะพลาดโอกาสที่คุณจะได้กำไรจากหุ้นเกิน +20% ไป 3 เท่าของปีที่หุ้นตก 

การลงทุนหุ้นที่ดีที่สุด คือ คุณต้องลงทุนไปจนดวงเข้าข้างคุณ ถ้าคุณอยู่ในตลาดหุ้นนานพอ คุณจะเจอในวันที่ตลาดหุ้นทั้งดีและแย่ ในช่วงสั้นๆ คุณจะเห็นมูลค่าพอร์ตขึ้นๆ ลงๆ แต่ถ้ามองในระยะเวลาทุกๆ 10 ปี จะเห็นว่า ผลตอบแทนทบต้นเติบโต ตลอด 42 ปีของตลาดหุ้นไทย ผลตอบแทนทบต้นเฉลี่ยอยู่ที่ +11.87% ต่อปี มูลค่าพอร์ตโตขึ้น 124 เท่าตัว นี่คือตัวเลขของการลงทุนเพียงครั้งเดียว เป็นจำนวนเงิน 10,000 บาท 

หากคุณ DCA เดือนละ 10,000 บาท เป็นระยะเวลา 40 ปี เงินต้นสุทธิรวม 400,000 บาท มูลค่ารวมผลตอบแทนอยู่ที่ 10,456,993 บาท 

แต่ถ้า DCA เฉพาะปีที่ตลาดหุ้นตก ปีละ 10,000 บาท มูลค่ารวมผลตอบแทนอยู่ที่ 8,098,771 บาทหรือ DCA เฉพาะปีที่ตลาดหุ้นตกมากกว่า -20% ปีละ 10,000 บาท มูลค่ารวมผลตอบแทนอยู่ที่ 6,177,539 บาท 

หาก DCA เฉพาะปีที่ตลาดหุ้นตกมากกว่า -50% ปีละ 10,000 บาท มูลค่ารวมผลตอบแทนอยู่ที่ 3,394,683 บาท การ DCA เฉพาะช่วงที่หุ้นตกจะเป็นช่วงที่เงินของคุณทำงานได้ดี แต่สิ่งที่คุณพลาดไป คือ ตอนที่หุ้นขึ้นเงินของคุณก็ไม่ได้ทำงาน เพราะคุณเก็บ 10,000 บาทนั้นเอาไว้ เพราะฉะนั้น DCA ที่ดีควรลงทุกปี หรือทุกเดือนอย่างสม่ำเสมอ

Q: สถานการณ์ตลาดหุ้น ไทย เวียดนาม จีน และสหรัฐอเมริกาเป็นอย่างไร 

หากใครที่ลงทุนมานานแล้ว สถานการณ์ตลาดหุ้นในตอนนี้ถือว่า ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เพราะติดลบมาเพียง -10% กว่าๆ เท่านั้น และค่อยๆ ลงด้วย ถือว่าปกติ อาจจะเกิดจากตลาดหุ้นขึ้นมาสูงมากเกินไปแล้วจุดหนึ่ง ดัชนีตลาดหุ้นจึงปรับฐานลงมาเพื่อให้ราคาหุ้นไปสู่มูลค่าที่แท้จริงมากกว่า 

ถ้าย้อนไปตั้งแต่เริ่มต้น Covid-19 จนถึงตอนนี้ ตลาดหุ้น Nasdaq ก็ยังให้ผลตอบแทนเป็นบวกอยู่ ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ยังถือเป็นผลตอบแทนในระดับปกติ แม้ว่าตลาดหุ้นจะตกในปีนี้ คนที่จะเจ็บหนักๆ ก็มักจะเป็นคนที่พึ่งเริ่มลงทุนในช่วงเร็วๆ นี้ อย่าคิดว่า มันเป็นโชคร้าย แต่ให้คิดว่ามันเป็นเรื่องปกติที่คนที่ลงทุนมานานต้องเจอเหมือนกัน 

  • ไทย ไม่มีธุรกิจอะไรที่ใหม่ๆ เศรษฐกิจไม่ได้เติบโต ที่หุ้นไทยไม่ตกเยอะ เพราะไม่มีจังหวะขาขึ้นแรงๆ ในช่วงที่ผ่านมามากกว่า ข้อดีของตลาดหุ้นไทย คือ ภาพรวมของตลาดหุ้นน่าจะอยู่ในเกณฑ์ที่ดี นับตั้งแต่ช่วงนี้ไป อาจจะเป็นช่วงสั้นๆ ได้ผลดีมาจาก Covid-19 การท่องเที่ยวเติบโต นักท่องเที่ยวเริ่มเข้ามาในประเทศมากขึ้น การส่งออกยังเติบโตสูง ทุนสำรองระหว่างประเทศยังดี สรุปภาพรวมในเกณฑ์ดีพอใช้ 
  • จีน จากปีที่แล้วที่ตลาดหุ้นอื่นๆ เป็นขาขึ้น แต่จีนแทบจะเป็นขาลง ตั้งแต่นโยบายควบคุมบริษัทเทคโนโลยีต่างๆ สินค้าหลายอย่างขาดตลาดจึงต้องเริ่มควบคุมการผลิต ทำให้วัสดุอุปกรณ์ต่างๆ มีราคาที่เพิ่มสูงขึ้นทั่วโลกด้วย ตอนนี้ยังมีการล็อกดาวน์อยู่ สถานการณ์เริ่มผ่อนคลายมากขึ้น รัฐบาลมีแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้ช่วงขาลงของตลาดหุ้นจีนเป็นแค่เพียงชั่วคราวเท่านั้น ในภาพใหญ่จีนยังคงมีประสิทธิภาพ ถ้าเดินตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจ จีนก็มีโอกาสเป็นประเทศที่มี GDP สูงแซงหน้าประเทศพัฒนาแล้ว 
  • เวียดนาม เป็นตลาดหุ้นขวัญในนักลงทุน ตลาดหุ้นเวียดนามเติบโตสูงมากจากนักลงทุนในประเทศ แต่เดือนเมษายนร่วงลงมาเยอะ ภาพรวมคือ ตลาดหุ้นที่มีผู้ลงทุนรายย่อยเยอะ และหน่วยงานกำกับดูแลตลาดหุ้นของเวียดนามยังไม่เข้มงวด ทำให้มีเรื่องของการปั่นหุ้นอยู่ รวมถึงเรื่องทุจริต ภาพใหญ่เศรษฐกิจยังดี มีการเติบโต มีโอกาสที่ GDP จะเติบโตสูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก 
  • สหรัฐอเมริกา เงินเฟ้อและเทรนด์ดอกเบี้ยขาขึ้น ทำให้หุ้นที่มีการเติบโตสูงๆ จะได้รับผลกระทบ เช่น หุ้นเทคโนโลยี ซึ่งมีความผันผวนสูงอยู่แล้ว แต่ยังมีอนาคต จากตลาดผู้ใช้งานและรายได้จากทั่วโลก ภาพรวมยังถือว่าเป็นตลาดหุ้นที่ยังมีผลตอบแทนที่ดี

Q: แต่ธีมจะกลับมาเติบโตหรือไม่ แผน Thematic Optimize พอร์ตติดลบเยอะ AI ทำงานอย่างไร

ดูจากกราฟแท่งเปรียบเทียบการเติบโตเฉลี่ยแบบทบต้นของรายได้และมาร์เก็ตแคปหุ้นที่แต่ละ Thematic ETF ลงทุนอยู่ทั้ง 23 ธีมในช่วง 3 ปีล่าสุด ทีมงาน Jitta Wealth ใช้วิธีคำนวณเฉลี่ยตามน้ำหนักของสัดส่วนของหุ้นบริษัทนั้นๆ ที่อยู่ใน ETF  

คุณจะเห็นการเติบโตที่มีทั้งใกล้เคียงกันและแตกต่างกันมาก ส่งผลให้มุมมองของแต่ละธีมไม่เหมือนกัน

  • ธีมที่น่าลงทุน รายได้จะเติบโตสูง ขณะที่มาร์แคปเติบโตไม่สูงมาก เช่น ตลาดหุ้นจีน เทคโนโลยี อีคอมเมิร์ซ คลาวด์ จีโนมิกส์ บริการสุขภาพจีน เพราะรายได้ที่โตสะท้อนว่า คนยังพร้อมจ่ายเงินซื้อสินค้าและบริการ ส่วนมาร์เก็ตแคปที่โตน้อยกว่ามาก หมายถึง ราคาหุ้นยังถูกนั่นเอง
  • ธีมที่ไม่น่าลงทุน รายได้และมาร์เก็ตแคปเติบโตใกล้เคียงกัน หรือมาร์เก็ตแคปโตมากกว่ารายได้ เช่น ตลาดหุ้นอินเดีย ตลาดหุ้นเวียดนาม บริการสุขภาพ หุ่นยนต์และ AI พลังงานสะอาด พลังงานสะอาดจีน เซมิคอนดักเตอร์ และลิเธียมและแบตเตอรี

หากคุณลงทุนแผน Thematic DIY เลือกธีมและจัดพอร์ตเองสูงสุด 5 ธีม คุณควรทำศึกษาธีมที่คุณสนใจด้วย ก่อนที่จะลงทุน คุณต้องเชื่อมั่นในการเติบโตของธีมนั้นๆ สามารถดูจากกราฟแท่งข้างได้

ธีมที่น่าลงทุนและธีมที่ไม่น่าลงทุน ไม่ได้แปลว่า Thematic ETF นั้นไม่ดีหรือไม่มีโอกาสเติบโต เพราะเวลาเปลี่ยน วัฏจักรธุรกิจเปลี่ยน มีขาขึ้นและขาลง ธีมที่ไม่น่าลงทุนเดือนนี้ อีก 3 เดือนหรือ 6 เดือนข้างหน้า อาจจะกลับมาน่าลงทุนก็ได้

CEO ของ Jitta Wealth
CEO ของ Jitta Wealth
CEO ของ Jitta Wealth
CEO ของ Jitta Wealth

แผน Thematic Optimize ตอนนี้พอร์ตขาดทุน ปรับพอร์ตแล้วยังขาดทุนอยู่ จริงๆ แล้ว หลักการปรับพอร์ต แล้วขายสินทรัพย์ขาดทุนเป็นเรื่องปกติ เพราะเราเชื่อว่า การปรับพอร์ตลงทุนเพื่อเป้าหมายผลตอบแทนที่สูงกว่า โยกไปสินทรัพย์อื่นๆ เพื่อราคาที่สูงกว่าเดิมในอนาคต

ตลาดหุ้นอยู่ในภาวะตลาดหมีแบบนี้ ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องกลับมาเป็นขาขึ้น ต่อให้ไม่ปรับ ราคาสินทรัพย์ต้องกลับมาเป็นขาขึ้นอยู่ดี แต่ในความเป็นจริง คือ แต่ละธีมตอนขาลง ลงหมด แต่ตอนขาขึ้น ขึ้นไม่เท่ากัน การปรับพอร์ต เปลี่ยนธีมที่น่าลงทุนที่สุด อยู่บนพื้นฐานนี้

ส่วน AI ปรับพอร์ต เลือกธีมที่น่าลงทุนที่สุดมาจัดพอร์ตให้ 4 ธีม ผลตอบแทนจะเป็นอย่างไร Jitta Wealth ยังต้องพิสูจน์ตัวเองต่อ

แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น สิ่งที่คุณควบคุมได้ คือ หลักการลงทุนที่ถูกต้อง Jitta Wealth ทำสิ่งนั้นอยู่ และพัฒนาเทคโนโลยีมาซัปพอร์ตหลักการของเรา การส่งคำสั่งซื้อขายเพื่อปรับพอร์ต มันอาจจะขัดใจคุณ เพราะขายขาดทุน แต่ระยะยาวมันถูกพิสูจน์มาแล้วว่า ต้องสร้างผลลัพธ์ที่ดี 


อ่านมุมมอง CEO ของ Jitta Wealth

สรุป Live: ปรับ Mindset ฝ่าวิกฤต พิชิตการลงทุน

CEO ของ Jitta Wealth พร้อมตอบ ตลาดหุ้นยังน่าลงทุนอยู่ใช่ไหม

สรุป Live: ตำราพิชัยลงทุนให้ชนะ ‘สงคราม’

CEO ของ Jitta Wealth เผยวิธีรับมือตลาดหุ้นผันผวนปี 2565