Skip to content - ข้ามไปที่เนื้อหา
Blog

CEO ของ Jitta Wealth พร้อมตอบ ตลาดหุ้นยังน่าลงทุนอยู่ใช่ไหม


Events Exclusive Q&A with CEO

เนื้อหาสำคัญ

Exclusive Q&A with CEO ของ Jitta Wealth ประจำเดือนมีนาคม 2565 เป็น Webinar ที่คุณเผ่า ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ จะมาไขข้องสงสัยให้คุณ ไม่ว่าจะมีพอร์ตลงทุนกับ Jitta Wealth อยู่แล้ว หรือสนใจลงทุน แต่ต้องการฟังมุมมองของ CEO ก่อนตัดสินใจเปิดบัญชี 

หากคุณพลาดชม Webinar สด คุณสามารถชมวิดีโอย้อนหลังได้ที่ Facebook และ YouTube

ดูวิดีโอ CEO ของ Jitta Wealth ย้อนหลัง

สรุป Q&A และมุมมองจาก Jitta Wealth

Q: 7 ธีมใหม่จาก Jitta Wealth มีอะไรบ้าง และเงินลงทุนเริ่มต้น 50,000 บาทเป็นอย่างไร

Jitta Wealth เปิดธีมใหม่เพิ่มอีก 7 ธีม เป็นเมกะเทรนด์แห่งอนาคต เพิ่มโอกาสและทางเลือกให้คุณจัดพอร์ตลงทุน 23 ธีมด้วยกัน โดยทีมงาน Jitta Wealth จะรวบรวมข้อมูลของธีมใหม่ๆ มาให้คุณได้ทำความรู้จัก ซึ่งเรามั่นใจว่า เป็น Thematic ETF ที่มีแนวโน้มเติบโตในระยะยาว 

ทั้ง 23 ธีมนี้ รวมไปถึงธีมใหม่ๆ ที่จะเพิ่มในอนาคตของกองทุนส่วนบุคคล Thematic คุณสามารถเลือกลงทุนได้ 2 รูปแบบ คือ 

  • Thematic DIY ที่คุณสามารถจัดพอร์ตลงทุนเลือกธีมที่คุณสนใจได้เอง สูงสุด 5 ธีม
  • Thematic Optimize ที่มี AI วิเคราะห์และเลือกธีมที่น่าลงทุนที่สุดในช่วงเวลานั้น จัดพอร์ตให้ 4 ธีม โดยจะดูถึงบริษัทไส้ในของ ETF การเติบโตของรายได้ ผลตอบแทนย้อยหลัง และความผันผวน เพื่อดูแนวโน้มการเติบโตที่ดี

แผน Thematic DIY คุณสามารถเลือกจำนวนธีมได้เอง ระบบจะจัดสรร Thematic ETF ในสัดส่วนที่เท่าๆ กัน แต่สำหรับ Thematic Optimize จัดพอร์ตให้ 4 ธีม และจะปรับพอร์ตให้ไตรมาสละ 1 ครั้ง หากธีมที่น่าลงทุนที่สุดมีการเปลี่ยนแปลง

นอกจากนี้ Jitta Wealth ลดเงินลงทุนขั้นต่ำเหลือ 50,000 บาท สำหรับนโยบาย Global ETF และ Thematic มีแคมเปญพิเศษ คือ ยกเว้นค่าธรรมเนียมผู้รับฝากทรัพย์สิน (Custodian) 0.1% หรือขั้นต่ำ 80 บาทต่อเดือน) จนถึง 31 ธันวาคม 2565 หรือจนกว่ามูลค่าพอร์ตเพิ่มขึ้นถึง 100,000 บาท

การลดเงินลงทุนเริ่มต้น จะทำให้คุณสามารถเป็นเจ้าของกองทุนส่วนบุคคลได้ง่ายยิ่งขึ้น และสามารถเลือกแผนการลงทุนที่เหมาะสมกับความเสี่ยงที่คุณยอมรับได้

Q: อัปเดตสถานการณ์เศรษฐกิจโลกยังมีความจำเป็นหรือไม่ ตลาดหุ้นเกิดอะไรขึ้นในไตรมาสแรก ปี 2565

การหมั่นติดตามข้อมูลข่าวสารเป็นสิ่งที่ดี แต่สิ่งที่จำเป็นมากกว่าคือ หลักการลงทุนที่ถูกต้อง คุณจะมองเห็นโอกาสและเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่ดี ลองดูสไตล์การลงทุนของนักลงทุนระดับโลกอย่าง Warren Buffett ได้ให้คำแนะนำว่า จงอย่าถือเงินสดเอาไว้ในช่วงสงคราม เพราะจะยิ่งทำให้ค่าของเงินสดที่ถืออยู่ลดลง เพราะฉะนั้นการเลือกลงทุนในหุ้นบริษัทที่ดี เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับการลงทุนในช่วงสงคราม

หากอัปเดตสถานการณ์โลก คิดว่าเป็นสิ่งที่พูดไป เป็นสิ่งที่หลายคนรู้อยู่แล้ว สำหรับสหรัฐอเมริกา มีการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ที่พูดไทม์ไลน์มาโดยตลอด ภาวะเงินเฟ้อสูงที่ Fed มีแนวทางรับมืออยู่แล้ว แม้ว่าจะมีสงครามช่วยเร่งเงินเฟ้อให้ยิ่งสูงขึ้นไปอีก 

อย่างไรก็ตามหากคุณลงทุนในหุ้น ความผันผวนขึ้นๆ ลงๆ เป็นเรื่องธรรมชาติของตลาดหุ้น ที่นักลงทุนทั่วโลกต้องเจอ

สำหรับสถานการณ์โลกที่ยังไม่ได้ข้อสรุปที่แน่ชัดคือ สงครามความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน จะเป็นยังไงต่อไป แต่ทุกสงครามต้องมีจุดจบเสมอ และหากติดตาม Live ของ Jitta Wealth ครั้งก่อนที่พูดถึงการลงทุนในช่วงสงครามจะพบว่า การลงทุนตั้งแต่เริ่มสงครามจะให้ผลตอบแทนมากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งคุณอาจจะมองว่าในช่วงนี้เป็นโอกาสลงทุนก็ได้ 

ส่วนสถานการณ์ตลาดหุ้นจีนที่คาดเดาได้ยากว่า จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่คุณมั่นใจได้ว่ารัฐบาลจีน มีความพยายามที่จะสร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้กับประชาชนอยู่แล้ว ซึ่งการควบคุมอุตสาหกรรมต่างๆ หรือการออกกฎข้อบังคับอาจจะเร็วจนน่าตกใจ แต่หากดูอย่างละเอียดจริงๆ มันจะส่งผลกระทบในระยะสั้น แต่จะช่วยให้ประชาชนจีนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และการทำธุรกิจเกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมในอนาคต

สิ่งที่สังเกตได้เกี่ยวกับเศรษฐกิจจีน คือ รัฐบาลคอมมิวนิสต์จะกลัวภาวะฟองสบู่ ซึ่งจีนพยายามป้องกันไม่ให้ฟองสบู่เกิดขึ้น คุณจะเห็นว่าในช่วงที่สหรัฐฯ มีภาวะเงินเฟ้อสูง ในฝั่งจีนกลับกลายเป็นว่า เงินหยวนเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยที่นักลงทุนเลือกถือกัน ทำให้การลงทุนในจีนเป็นอีกประเทศที่น่าสนใจมาก แต่คุณต้องมีความเข้าใจถึงกฎข้อบังคับของจีน ที่อาจจะเกิดขึ้นเมื่อไรก็ได้ 

ประเทศที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือ เวียดนาม ซึ่งมีสัดส่วนประชากรอยู่ในวัยทำงานสูงถึง 62% โดยบ่งชี้ว่า จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้ไปข้างหน้าได้อย่างแข็งแกร่ง และมีเม็ดเงินจากต่างประเทศเข้ามาลงทุนในเวียดนามเยอะมาก บริษัทต่างประเทศเริ่มไปตั้งโรงงานที่เวียดนามมากขึ้น เพราะค่าแรงที่ถูก และจำนวนแรงงานที่มากยิ่งเร่งให้เศรษฐกิจเวียดนามเติบโตอย่างรวดเร็ว 

นอกจากนี้เวียดนามยังมีลดภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) จาก 10% เหลือ 8% ด้วย ยิ่งกระตุ้นให้ผู้คนใช้จ่ายกันมากขึ้น เร่งให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างชัดเจน และเป็นเหตุผลที่ทำให้เวียดนามได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั่วโลก รวมไปถึงนักลงทุนไทยด้วย

สุดท้ายคือไทย คาดว่า เศรษฐกิจไทยจะเติบโต +4% ในปี 2565 ซึ่งคิดว่าไทยจำเป็นต้องมีนโยบาย ในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศเข้ามา ตอนนี้ไทยยังขาดแคลนอุตสาหกรรมยุคดิจิทัล ซึ่งอาจจะทำให้เสียโอกาสในการสร้างความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจ และไทยจำเป็นต้องมีแผนการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างชัดเจน เพื่อการเติบโตในระยะยาว 

สำหรับสถานการณ์ Covid-19 ในไทยมีแนวโน้มที่ดีขึ้น ถึงแม้ว่ายอดผู้ติดเชื้อจะมากขึ้น แต่ผู้คนเริ่มเรียนรู้ที่จะอยู่กับโรคระบาด ซึ่งเครื่องยนต์เศรษฐกิจของไทยคือ อุตสาหกรรมท่องเที่ยว คาดว่าในปี 2565 จะมีแนวโน้มที่ดีขึ้นด้วยเช่นกัน 

คุณสามารถติดตามข่าวสารได้ แต่อย่าปล่อยให้ข่าวเหล่านี้ ทำให้จิตใจของคุณหวั่นไหว ให้คอยสำรวจความคิดของคุณอยู่เสมอเมื่อเกิดวิกฤตว่า ธุรกิจที่เลือกลงทุนจะสามารถผ่านพ้นวิกฤตในครั้งนี้ไปได้หรือไม่ เพื่อดูความเชื่อมั่นในสินทรัพย์ที่คุณลงทุนอยู่ และยึดหลักการลงทุนระยะยาว หากคุณลงทุนในสินทรัพย์ที่ดี ให้ใช้เวลาเป็นเพื่อนคุณ เมื่อสถานการณ์ดีขึ้นสินทรัพย์ที่คุณลงทุนจะกลับมาเติบโตได้เหมือนเดิม 

ลองใช้แนวทางของ Buffett ที่หาโอกาสลงทุนทุกครั้งเมื่อหุ้นตก ครั้งหนึ่งที่ Buffett ซื้อหุ้นบริษัท Washington Post ที่ในช่วงที่มีข่าวอื้อฉาว ซึ่งหลังจากที่ Buffett ซื้อ หุ้นตกไปอีก -25% แต่ Buffett ไม่ได้เครียดแต่อย่างใด เพราะตัวเขาเป็นนักลงทุนระยะยาว และมีความตั้งใจจะถือหุ้นนั้นยาวๆ อยู่แล้ว จึงไม่มีความจำเป็นต้องกังวลกับความผันผวนระยะสั้นที่เกิดขึ้น สุดท้ายหุ้นบริษัท Washington Post ก็สร้างผลตอบแทนที่ดีงามให้กับ Buffett ได้จริงๆ 

เมื่อคุณเลือกลงทุนไปแล้วอย่าไปโฟกัสที่ราคาของหุ้น ให้โฟกัสที่ภาพรวมของอุตสาหกรรม เช่น เมื่อคุณลงทุนในธีมคลาวด์ ให้ติดตามภาพรวมว่า ผู้คนใช้เทคโนโลยีคลาวด์มากขึ้นหรือไม่ หากมากขึ้นและไม่มีแนวโน้มลดลง จะทำให้ธุรกิจที่คุณลงทุนอยู่ เติบโตขึ้นอย่างแน่นอน 

Q: Jitta Wealth มีหลากหลายแผนการลงทุน หากอยากได้กำไรอย่างยั่งยืนควรเลือกลงทุนในนโยบายอะไร

สิ่งที่บ่งบอกว่า คุณจะได้ผลตอบแทนตามที่คุณคาดหวังหรือไม่ ขึ้นอยู่กับระยะเวลาในการลงทุน และความเสี่ยงที่คุณยอมรับได้ หากคุณลงทุนในสินทรัพย์ที่ดี และลงทุนตามความเสี่ยงที่คุณยอมรับได้ จะทำให้คุณมีโอกาสสูงที่จะได้ผลตอบแทนที่คาดหวังไว้ อย่างไรก็ตามหากคุณรับความผันผวนที่เกิดขึ้นไม่ได้ อาจจะส่งผลให้คุณเกิดความกลัวต่อตลาดหุ้นไปเลยก็ได้ หากคุณขาดทุน 

Jitta Wealth

คุณจะเห็นถึงความผันผวนที่เกิดขึ้นของแต่ละแผนการลงทุนของ Jitta Wealth สำหรับแผน Jitta Ranking ไทย หากคุณเลือกจะดูพอร์ตลงทุนทุกวัน จะมีวันที่คุณเห็นพอร์ตคุณติดลบไปมากสุด -50% เพราะโดยพื้นฐานของ Jitta Ranking จะมีความผันผวนที่สูงอยู่แล้ว แต่ถ้าคุณไปดูที่ผลตอบแทนรวม ให้คุณลองพิจารณาว่า คุณสามารถรับความผันผวนขาลง เพื่อรับผลตอบแทนเติบโต +400% ได้หรือไม่ 

ระดับความผันผวนที่คุณรับได้จะขึ้นอยู่กับ อายุ ความเข้าใจในการลงทุน และประสบการณ์ สิ่งที่อยากจะแนะนำคือ จงอดเปรี้ยวไว้กินหวาน อดทนรอในผลตอบแทนที่คุณต้องการ หากลงทุนตามความเสี่ยงที่คุณยอมรับได้ 

อย่าพยายามฝืนลงทุนในแผนการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงเกินกว่าที่คุณจะยอมรับได้ เพราะคุณจะรู้สึกไม่สบายใจระหว่างที่คุณลงทุนอยู่  

สำหรับวิธีที่ดีที่สุดในโลกการลงทุน คือ คุณควรมีความรู้ความเข้าใจในสินทรัพย์และความผันผวนที่เกิดขึ้น เมื่อคุณมีพร้อม คุณจะเห็นโอกาสลงทุนมากขึ้น และจะไม่กังวลเมื่อมีวิกฤตเกิดขึ้น 

หากคุณยังหาจังหวะที่เหมาะสมที่จะลงทุนไม่ได้ อยากแนะนำประโยคนี้ เวลาที่เหมาะสมที่จะเริ่มลงทุนมากที่สุด คือ เมื่อวานนี้ และ เวลาที่เหมาะสมที่สุดอันดับสองที่จะเริ่มลงทุน คือ วันนี้ หากคุณมีความตั้งใจลงทุนระยะยาวจริงๆ ความผันผวนระยะสั้นจะไม่ส่งผลกระทบต่อผลตอบแทนที่คุณต้องการอย่างแน่นอน ในโลกการลงทุนยิ่งเริ่มต้นเร็วยิ่งดี และไม่มีใครสามารถคาดเดาตลาดหุ้นได้ ให้คุณลงทุนตั้งแต่วันนี้ เพื่อให้เงินลงทุนได้มีเวลาทำงานและสร้างผลตอบแทนทบต้นที่ดีให้คุณได้ในระยะยาว

Q: เทรนด์การลงทุนในปัจจุบันมีธีมอะไรบ้างที่น่าสนใจ 

ทุก Thematic ETF ที่ Jitta Wealth คัดสรรมาอยู่ในกองทุนส่วนบุคคล Thematic เป็น ETF ที่ดีมาก ทุกธีมมีโอกาสเติบโตแตกต่างกันไป บางธีมก็สนับสนุนซึ่งกันและกัน ทั้งอีคอมเมิร์ซและฟินเทคก็ต้องใช้คลาวด์ แม้กระทั่งจีโนมิกส์ เทคโนโลยีทางพันธุกรรมการแพทย์ก็ประเมินผลได้เร็วขึ้น เพราะใช้คลาวด์เช่นกัน 

อย่างเซมิคอนดักเตอร์ที่ต้องเข้ามาเกี่ยวข้องในการผลิตชิป และเป็นหัวใจสำคัญของอุปกรณ์เทคโนโลยีต่างๆ ก็ต้องเติบโตไปอีก เพราะคนมีชีวิตบนโลกออนไลน์มากขึ้น ธุรกิจที่เกี่ยวกับความปลอดภัยด้านไซเบอร์ก็ต้องเข้ามามีบทบาท เพราะปัจจุบันข้อมูลของบริษัทไปอยู่บนคลาวด์เยอะมาก 

ปัจจุบันหลายๆ ธีมก็ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น (Early Adopters) การใช้งานยังไม่แพร่หลาย จึงมีโอกาสเติบโตได้อีกเยอะมาก ตอนนี้ทุกธีมมีความน่าสนใจ เพราะราคา ETF ลดลงมาเยอะ ตามความผันผวนของตลาดหุ้นสหรัฐฯ อย่างปี 2564 หลายๆ ETF มีราคาพุ่งสูงมากๆ ลงทุนได้ลำบาก แต่ปัจจุบันหลายๆ ETF ราคาลดลงมาอยู่ในจุดที่สมเหตุสมผลและน่าเข้าลงทุนมากขึ้น 

หากคุณยังไม่ได้เริ่มลงทุน ก็เป็นช่วงเวลาที่ดี เพื่อเริ่มต้น หรือคุณลงทุนอยู่แล้ว ก็เป็นจุดที่ควร DCA (Dollar Cost Averaging) เข้ามาอีกได้

ราคา ETF ธีมคลาวด์ลดลงไปเยอะ แต่ถ้าพิจารณาพื้นฐานธุรกิจยังสามารถเติบโตไปได้อีก มีผลประกอบการที่ดี และมีคนใช้งานมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นคลาวด์เป็นเหมือนสาธารณูปโภคในโลกอินเทอร์เน็ตไปแล้ว เหมือนน้ำไฟที่ทุกคนต้องใช้ ถ้าคนทั่วโลกเข้าสู่โลกออนไลน์มากขึ้นเรื่อยๆ คลาวด์ก็ต้องเติบโต 

ฟินเทคเป็นอีกธีมธุรกิจที่ต้องเติบโตตามกระแสนิยม เมื่อคนเข้าสู่โลกออนไลน์ และเกิดธุรกรรมทางการเงินมากขึ้น ฟินเทคจะเป็นธุรกิจที่ได้ประโยชน์ และเงินเฟ้อทำอะไรฟินเทคไม่ได้ สมมติว่า คุณซื้อของ 100 บาท การชำระเงินออนไลน์จะได้รับเงินค่าธรรมเนียม 3% เงินเฟ้อส่งผลให้ราคาของขึ้นไปเป็น 110 บาท ฟินเทคก็ไม่ต้องทำอะไร ก็ยังคงได้ 3% อยู่ กำไรโตขึ้นโดยไม่ต้องทำอะไรเลย ธุรกิจแบบนี้คุณก็ยังลงทุนได้อีกนาน

ส่วนจีโนมิกส์ เทคโนโลยีที่จะเข้ามาปฎิวัติโลกการแพทย์ มีความแม่นยำในการรักษาโรค ทำให้คุณมีร่างกายแข็งแรงและอายุยืนขึ้น 

อีกธีมที่น่าสนใจคือ พลังงานสะอาด ผู้คนอยากเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) มากขึ้น ยิ่งในยุคที่น้ำมันมีราคาแพง หลายๆ ประเทศเริ่มจับมือกันเพื่อหาพลังงานทดแทน ก็เป็นสัญญาณที่ดีที่ธีมพลังงานสะอาดกำลังจะเติบโตตามเทรนด์นี้ เมื่อ EV ขายได้มากขึ้น อุตสาหกรรมผลิตแบตเตอรีลิเธียมจะขยายตัวตามเช่นเดียวกัน 

หากดูที่รายได้ย้อนหลัง 3 ปีของบริษัทไส้ในแต่ละธีม จีโนมิกส์และพลังงานสะอาดมีการเติบโตเยอะ อีคอมเมิร์ซ คลาวด์ ฟินเทค ก็เติบโตเยอะมาก ในส่วนของ 7 ธีมที่เพิ่มมาใหม่ จะเห็นว่า ธีมบริการสุขภาพจีน ลิเธียมและแบตเตอรี และเมตาเวิร์สก็มีรายได้เติบโตเช่นเดียวกัน 

ส่วนการเพิ่มขึ้นของมาร์เก็ตแคปเฉลี่ย 3 ปีล่าสุดใน Thematic ETF ต่างๆ แบบทบต้น เพื่อดูว่าแต่ละธีมเติบโตขึ้นมาเยอะแล้วหรือยัง เมื่อเทียบกับการเติบโตของรายได้ ถ้ารายได้เติบโต +30-40% ต่อปี มาร์เก็ตแคปก็ไม่ควรจะโตไปมากกว่านั้น หรือควรจะเติบโตไปในทิศทางเดียวกัน ถ้ามาร์เก็ตแคปเติบโตมากเกินไปก็ดูมีความเสี่ยง คุณจะเห็นว่า ราคา ETF ลดลงมาแล้ว ทำให้หลายๆ ธีมมีราคาน่าสนใจมากขึ้น 

Q: หากลงทุนกับ Jitta Wealth ควรลงทุนนานแค่ไหน 

ตามหลักการคือ ลงทุนได้ยาวเท่าที่คุณไม่ต้องการใช้เงิน คุณอาจจะมองว่า กำไรเท่านี้แล้วขายออกมาก่อนดีไหม จริงๆ มันไม่ถูกต้อง หุ้นบริษัทนั้นอาจจะมีราคาขึ้นต่อไปก็ได้ แต่คุณจะไม่กล้าซื้อกลับแล้ว ฉะนั้นคุณอาจจะมองว่า คุณลงทุนในพอร์ตนี้ แล้วคุณได้ 8% ต่อปี มูลค่าจะขึ้นหรือลงไปบ้างก็ไม่ควรขาย เพราะพอร์ตจะเติบโตได้ดีกว่าคุณเอาเงินไปฝากธนาคารอยู่ 

คำถามที่สำคัญคือ เมื่อคุณขายหุ้นบริษัทนั้นไปแล้ว เงินก้อนนั้นจะไปอยู่ที่ไหน ถ้าคุณขายเพื่อไปฝากธนาคารไว้เฉยๆ นั่นก็คือคุณตัดสินใจจะเก็บเงินสดไว้ ซึ่งก็ไม่ได้สร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวอยู่ดี ดังนั้นคุณควรขายหุ้นนั้น เมื่อคุณรู้แล้วว่า มีหุ้นบริษัทอื่นที่จะทำให้พอร์ตเติบโตได้มากกว่า และทบต้นไปเรื่อยๆ ดีกว่าไปฝากธนาคารไว้เฉยๆ อยู่แล้ว ดังนั้นลงทุนนานแค่ไหน ให้คุณมีระยะเวลาของคุณเป็นตัวกำหนด และเป็นเงินเย็นที่คุณไม่รีบใช้ 

พอร์ต Global ETF ระยะเวลาลงทุนที่เหมาะสมจะอยู่ที่ 1-3 ปี หรือนานกว่านั้น เพราะมีความเสี่ยงต่ำ กลาง และสูง ถ้าลงทุนระยะยาว คุณมีโอกาสที่จะได้กำไรมากกว่าขาดทุนอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นถ้าคุณรู้สึกว่า คุณไม่รีบใช้เงินในอีก 1-3 ปีข้างหน้า คุณก็เหมาะสมกับ Global ETF สามารถมั่นใจได้ว่า เมื่อถอนเงินออกมาแล้ว ยังมีผลตอบแทนที่ดี น่าจะดีกว่าฝากธนาคาร 

ถ้าเป็นพอร์ต Thematic หรือ Jitta Ranking ที่มีความผันผวนสูง เพราลงทุนในหุ้น 100% ควรลงทุนอย่างน้อย 3-5 ปี หรือนานกว่านั้น เพื่อมั่นใจได้ว่า ตอนถอนออกมาคุณจะได้ผลตอบแทนทบต้นที่ดี เพราะการลงทุนในหุ้นอาจจะมีปีบางปีที่ราคาหุ้นติดลบ หรือช่วง Covid-19 คุณไม่รู้ว่า จะเจอกับอะไรบ้าง โดยปกติแล้วใน 10 ปี หุ้นจะขึ้น 7 ปี และลง 3 ปี เพราะฉะนั้น คุณเข้าลงทุนในช่วงที่หุ้นติดลบที่สุด ติดต่อกัน 3 ปี ซึ่งตามสถิติแล้วปีที่ 4 ก็ควรกลับมามีกำไร เพราะตลาดหุ้นจะฟื้นตัวหลังจากที่ตกลงมาเยอะ โดยรวมๆ 5 ปี ผลตอบแทนจากการลงทุนจะเป็นบวกอย่างที่คุณคาดหวัง 

ถ้าคุณต้องใช้เงินภายใน 1 ปีก็ยังไม่ควรลงทุนกับ Jitta Wealth ทางเลือกที่ดีที่สุด คือฝากออมทรัพย์หรือกองทุนรวมตลาดเงิน แต่ผลตอบแทนที่ได้จะไม่สูงมาก เพราะคุณจะใช้เงินระยะสั้นจริงๆ ไม่ต้องคำนึงถึงผลตอบแทน คุณเอาให้เงินต้นไม่ลดลงก็เพียงพอแล้ว 

Q: หากมีเงินอยู่ 1 ล้านบาท อยากลงทุน Jitta Ranking เลือกแผนไหนดี 

Jitta Ranking จีน จะตอบโจทย์การลงทุนระยะยาว เพราะเศรษฐกิจจีนมีโอกาสที่จะเติบโตขึ้นเป็นเบอร์ 1 ของโลกแซงหน้าสหรัฐฯ ขณะที่ราคาหุ้นยังไม่แพง ในอนาคตรัฐบาลจีนจะมีการสนับสนุนตลาดทุนมากขึ้น เพื่อเป็นผู้นำโลกเช่นเดียวกัน ทำให้หุ้นจีนตอนนี้เป็นหุ้นดีราคาถูก แต่ก็มีความเสี่ยงด้านกฎระเบียบจากรัฐบาลที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด

ที่น่าสนใจลงทุนคือ Jitta Ranking เทคโนโลยีสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดเทคโนโลยีของโลก ถ้าคุณมองว่า ใน 5-10 ปีข้างหน้า อุตสาหกรรมเทคโนโลยีจะเติบโตอีก ก็ควรเริ่มต้นลงทุนตอนนี้ เพื่อรอการเติบโตในอนาคต 

คุณอาจจะมองไปที่ Jitta Ranking เวียดนามก็ได้ แต่ใน 10 ปีข้างหน้ายังตอบไม่ได้ว่า เศรษฐกิจและตลาดหุ้นจะเป็นอย่างไร ในช่วงเวลานี้มีโอกาสเติบโตสูง 

ตอนนี้โอกาสเติบโตระยะยาว มองว่า จะอยู่ที่จีนและเทคโนโลยีสหรัฐฯ มากกว่า แต่ทุกๆ แผนมีหลักการเดียวกัน คือ เฟ้นหาหุ้นดี มีราคาถูกหรือมีโอกาสเติบโต ไม่ว่าคุณจะเลือกแผนไหนก็ตามของ Jitta Ranking อยู่ที่คุณมั่นใจกับสินทรัพย์ไหนมากที่สุด  

Q: การลงทุนใน Thematic ETF หากตลาดหุ้นลง -50% พอร์ตจะติดลบสูงสุดได้แค่ไหน 

เป็นไปได้ที่พอร์ตลงทุนจะมีมูลค่าลดลงถึง -50% ตามตลาดหุ้น Buffett เคยพูดเอาไว้ว่า ถ้าคุณทนเห็นหุ้นที่ลงทุนอยู่ขาดทุน -50% ไม่ได้ คุณไม่ควรลงทุนตั้งแต่แรก พอเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้นจริงๆ แต่นักลงทุนหลายคนเอาคำพูดนี้มาปลอบใจตัวเอง 

แต่มองให้กว้างขึ้น เวลาที่คุณเลือกที่จะลงทุนหุ้นบริษัท คุณต้องดูด้วยว่า หุ้นบริษัทนั้นมีพื้นฐานดีหรือไม่ ถ้าลงทุนในหุ้นพื้นฐานดีอยู่แล้ว ราคาตกลง -50% เพราะอารมณ์ของตลาด เหตุการณ์แบบนี้ คุณถึงจะใช้แนวคิดของ Buffett ได้ 

แต่ถ้าคุณลงทุนในหุ้นที่ไม่ดีอยู่แล้ว ราคาหุ้นบริษัทนั้นตกลงมาเรื่อยๆ ก็ไม่ได้ตรงตามแนวคิดของ Buffett เพราะถ้าเขาเลือกหุ้นผิด เขาก็ขาย ไม่ได้ขายเพราะราคาหุ้นตก แต่ขายเพราะหุ้นพื้นฐานไม่ดีอีกต่อไป เขาจะไม่ทนให้ราคาติดลบ -50% 

ดังนั้นถ้าคุณเลือกธุรกิจที่ดีอยู่แล้ว แต่ถ้าราคาหุ้นลงมาถึง -50% แล้วพื้นฐานยังดีอยู่ คุณลงทุนต่อได้ ยิ่งถ้าคุณมีสติ มีความรู้และเข้าใจตลาดหุ้นที่ดี เมื่อมีวิกฤต คุณก็จะมองว่ามันเป็นโอกาส มองเห็นว่า ธุรกิจอะไรที่จะได้ผลตอบแทนที่ดีในช่วงวิกฤต ความเข้าใจตลาดหุ้นที่ถูกต้อง เป็น Mindset การลงทุนที่สำคัญมาก

ถ้าคุณไม่มีเงินลงทุนเพิ่มแล้ว คุณก็ควรปรับพอร์ตอย่างถูกต้อง กรณีที่ราคาหุ้นตกลงมา -30-50% ซึ่ง Jitta Wealth มีระบบปรับพอร์ตอัตโนมัติรองรับอยู่แล้ว คุณก็ควรปรับพอร์ตไปลงทุนในหุ้นที่ปลอดภัย ต่อให้ขายขาดทุนก็ต้องขาย สิ่งสำคัญคือ ขายแล้วอย่าถือเงินสด เพราะจะทำให้คุณรับรู้ผลขาดทุนจริง แต่คุณควรย้ายเงินไปลงทุนกับหุ้นพื้นฐานที่ดีกว่า เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีและมากกว่าการขาดทุนนั่นเอง

Q: AI ของ Jitta Wealth วิเคราะห์หุ้นและ ETF มีการเปลี่ยนแปลงทุกวัน คำนวณจากอะไร ยังน่าเชื่อถือไหม

การเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้นและ ETF เกิดขึ้นทุกวันตามตลาดหุ้น หลักการของ Jitta Wealth คือ สินทรัพย์ที่ AI วิเคราะห์ให้ ประกอบกับการปรับพอร์ตอย่างมีวินัย ไตรมาสละ 1 ครั้ง ทำหลักการนี้ซ้ำๆ ผ่านไปหลายๆ ปี ผลตอบแทนจะต้องดีกว่าค่าเฉลี่ย แต่ AI และอัลกอริทึมจะมีความแตกต่างกันอยู่ ระหว่าง Thematic Optimize กับ Jitta Ranking 

Thematic Optimize วิเคราะห์และเลือกจัดพอร์ตธีมน่าลงทุนที่สุด จัดพอร์ต 4 ธีม โอกาสเติบโตของธีมไม่ได้เปลี่ยนแปลงถี่ๆ และยังเป็นเมกะเทรนด์แห่งอนาคต แต่ AI จะวิเคราะห์จากการเติบโตของรายได้บริษัทใน ETF อย่าง Covid-19 ธีมคลาวด์มีรายได้โต เพราะคนทั่วโลกใช้งานมากขึ้น ในช่วงนั้นก็ควรมีธีมคลาวด์อยู่ในพอร์ต

แต่ ETF ใน Thematic Optimize ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ควบคุมไม่ได้ เช่น การส่งงบการเงินของบริษัท ที่มีปีงบประมาณไม่เหมือนกัน ปิดไตรมาสไม่เหมือนกัน ส่วนการดูความผันผวนของบริษัทใน ETF ถ้านักลงทุนยังให้ความเชื่อมั่นกับบริษัทนั้นๆ ราคาหุ้นจะผันผวนน้อย 

ดังนั้นการปรับพอร์ตไตรมาสละ 1 ครั้งของ Thematic Optimize จัดพอร์ต 4 ธีมเท่านั้น พอร์ตหลายๆ คนจะมี ETF ไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับวันที่ลงทุน

ส่วน Jitta Ranking ราคาเปลี่ยนแปลงทุกวันและปรับพอร์ตไตรมาสละ 1 ครั้งเหมือนกัน จะแตกต่างตรงที่ AI และอัลกอริทึมกรองหุ้นบริษัทมา 30 อันดับ ระบบจะลงทุน 5-30 บริษัท ดังนั้นจะกระจายความเสี่ยงมากกว่า การเปลี่ยนแปลงหุ้นในพอร์ตจะไม่มากเท่ากับ Thematic Optimize

Q: JItta Wealth มีแผนลดเงินลงทุนเริ่มต้นอีกไหม

ตามทิศทางของ Jitta Wealth ซึ่งเป็นบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เรามุ่งไปในทิศทางที่อยากลดเงินลงทุนเริ่มต้นอยู่แล้ว เพราะทุกคนเข้าถึงได้มากขึ้น และเริ่มต้นลงทุนได้ง่ายขึ้น

แต่ด้วยภาพรวมของอุตสาหกรรมการบริหารความมั่งคั่งผ่านกองทุนส่วนบบุคล ไม่ได้มีเพียง Jitta Wealth เท่านั้น ยังมีบุคคลที่สาม ทั้งบริษัทนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์และบริษัทผู้รับฝากทรัพย์สิน ที่ผ่านมา Jitta Wealth พยายามทำกระบวนการเรื่องนี้มาโดยตลอด 

แต่อุตสาหกรรมบริหารจัดการกองทุนส่วนบุคคลมาไกลกว่าที่คิดมาก จากเงินลงทุนเริ่มต้นหลักสิบล้าน มาเหลือหลักล้าน Jitta Wealth ทำจากเงินลงทุนเริ่มต้นหลักล้านมาให้เป็นหลักแสน ตอนนี้เป็นหลักหมื่น เมื่อดูดูตามแนวโน้ม เงินลงทุนเริ่มต้นสามารถลดได้ ขึ้นอยู่กับเวลาช้าหรือเร็ว 

ส่วน ETF จะลดเงินลงทุนเริ่มต้นได้ง่ายกว่า ส่วนหุ้นบริษัทอาจจะยากกว่า เพราะ Jitta Wealth ลงทุนแบบกระจายความเสี่ยง ซื้อหุ้นหลายๆ บริษัท แต่เราจะพยายามหาหนทางที่จะทำให้ได้ 

Q: จะมี Jitta Ranking ฮ่องกงไหม

Jitta Wealth พยายามศึกษาการเปิดบริการ Jitta Ranking ตลาดหุ้นใหม่ๆ อยู่ตลอด ตลาดหุ้นพัฒนาแล้วอย่างฮ่องกงก็มีคนขอมาเยอะ รวมถึงประเทศอื่นๆ อย่างญี่ปุ่น แต่อินเดีย ที่มีคนถามเข้ามา กฎระเบียบการลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติรายย่อยยังมีข้อจำกัด นักลงทุนสถาบันยังต้องผ่านขั้นตอนกฎระเบียบเยอะมาก แต่ทีมงานจะพยายามเพิ่มโอกาสลงทุนในประเทศใหม่ๆ 

Q: ถ้า Jitta Wealth มีค่าธรรมเนียมประกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน จะอยู่ที่เท่าไร

คำนวณคร่าวๆ น่าจะประมาณ 1% ของมูลค่าพอร์ต แต่ในมุมมองของ Jitta Wealth ที่มีหลักการลงทุนยาว การซื้อประกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนไม่คุ้ม และเป็นต้นทุนที่คุณต้องจ่ายเพิ่ม ทั้งๆ ที่ความเคลื่อนไหวของสกุลเงินต่างประเทศเปลี่ยนแปลงตลอด บาทแข็ง บาทอ่อน จะชดเชยหรือทดแทนกันเอง จึงไม่มีความจำเป็นที่ต้องมีค่าธรรมเนียมส่วนนี้ หากคุณต้องการรับผลตอบแทนอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ด้วยค่าธรรมเนียมที่ต่ำ

อ่านคำถามคำตอบจาก CEO ของ Jitta Wealth ย้อนหลัง

CEO ของ Jitta Wealth เผยวิธีรับมือตลาดหุ้นผันผวนปี 2565

สรุป Live: ตำราพิชัยลงทุนให้ชนะ ‘สงคราม’

CEO ของ Jitta Wealth เตรียมรับมืออย่างไร ภาษีขายหุ้นไทย 0.1% ปี 2565