CEO ของ Jitta Wealth เผยวิธีรับมือตลาดหุ้นผันผวนปี 2565
Exclusive Q&A with CEO ของ Jitta Wealth ประจำเดือนมกราคม 2565 เป็น Webinar ที่คุณเผ่า ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ จะไขข้องสงสัยให้คุณ ไม่ว่าจะมีพอร์ตลงทุนกับ Jitta Wealth อยู่แล้ว หรือสนใจลงทุน แต่ต้องการฟังมุมมองของ CEO ก่อนตัดสินใจเปิดบัญชี
หากคุณพลาดชม Webinar สด คุณสามารถชมวิดีโอย้อนหลังได้ที่ Facebook และ YouTube
ดูวิดีโอ CEO ของ Jitta Wealth ย้อนหลัง
สรุป Q&A และมุมมองจาก Jitta Wealth
Q: ภาพรวมสถานการณ์ตลาดหุ้นที่ Jitta Wealth มีให้บริการ เช่น ไทย เวียดนาม จีน และสหรัฐอเมริกา ในปี 2565 จะเป็นอย่างไรบ้าง
เริ่มจากตลาดหุ้นใหญ่ที่สุดอย่าง ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา คุณจะเห็นว่าในช่วงปี 2563-2564 ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นในช่วงปลายปี 2564 จนถึงปัจจุบัน คือ อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น รวมไปถึงท่าทีของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ที่จะขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพื่อชะลอความร้อนแรงของเศรษฐกิจและลดปัญหาเงินเฟ้อ
อย่างไรก็ตาม หลักการลงทุนของนักลงทุนระดับโลกอย่าง Warren Buffett คือ ลงทุนในธุรกิจที่ดี ที่ได้ประโยชน์จากภาวะเงินเฟ้อ เช่น ธุรกิจที่สามารถขึ้นราคาสินค้าและบริการได้ ครองตลาดหรือมีอำนาจต่อรองในตลาด
ยกตัวอย่างในภาวะเงินเฟ้อตอนนี้ ทำให้ราคาสินค้าหลายชนิดเพิ่มขึ้น แม้แต่สินค้าที่เกี่ยวข้องกับ เทคโนโลยีและรถยนต์ไฟฟ้า Tesla ยังขึ้นราคารถได้ เพราะคนยังซื้อ บริษัทคงยังมีรายได้เพิ่มขึ้น จะเห็นได้ว่า ภาวะเงินเฟ้อส่งผลบวกให้ธุรกิจที่ดีและแข็งแกร่งได้ประโยชน์มากขึ้น ในขณะเดียวกันก็ส่งผลกระทบต่อธุรกิจต้นทุนสูงหรือมีภาระหนี้ธนาคารเยอะ ดังนั้นงบการเงินจะไม่แข็งแกร่งต่อภาวะเงินเฟ้อ
คุณควรทำความเข้าใจถึงความผันผวนของตลาดหุ้นในช่วงนี้ ที่ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก มันเป็นธรรมชาติ ซึ่งส่งผลให้คุณเห็นว่า หุ้นติดลบทั้งตลาดในบางช่วง แต่สุดท้ายแล้วตลาดหุ้นจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ
นี่เป็นเหมือนการบ้านให้คุณคอยติดตามสถานการณ์ตลาดหุ้นและเข้าใจในข่าวสารที่เกิดขึ้น หากมองในภาพใหญ่ คุณจะเห็นว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีแนวโน้มที่สามารถเติบโตตามวัฏจักรการฟื้นตัว คุณไม่ต้องกังวลมากเกินไป เพราะหลักการลงทุนของ Jitta Wealth เชื่อในผลตอบแทนทบต้นในระยะยาวที่ถูกพิสูจน์มาแล้วว่า ใช้ได้จริง
ต่อไปเป็น ตลาดหุ้นจีน ซึ่งเป็นประเทศที่มี GDP เติบโตสูงในปี 2564 ถึงแม้ว่าเศรษฐกิจจะเติบโตขึ้น ตลาดหุ้นกลับไม่โตขึ้นตาม เพราะทางการจีนได้เข้ามาตรวจสอบและควบคุมการดำเนินธุรกิจ เช่น กลุ่มเทคโนโลยี ด้วยวัตถุประสงค์ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในการแข่งขันและผู้บริโภคได้รับประโยชน์สูงสุด ดังนั้นตลาดหุ้นจีนในปีที่ผ่านมา จึงมีความผันผวนจากความเคลื่อนไหวต่างๆ ของรัฐบาลจีน
คุณสามารถมองได้ว่าเป็นโอกาสลงทุน เพราะหุ้นจีนมีราคาลดลงมาก แต่คุณภาพกิจการยังคงแข็งแกร่ง ปัจจุบันจีนกลายมาเป็นผู้นำในหลายอุตสาหกรรม ซึ่งจะช่วยผลักดันเศรษฐกิจจีนให้เติบโตในอนาคต
นอกจากนี้จีนเป็นประเทศที่มีการประหยัดต่อขนาด (Economies of Scale) สูงมาก ทำให้จีนสามารถผลิตสินค้าในจำนวนที่มากพอ มีความได้เปรียบด้านต้นทุน และมีราคาสินค้าที่แข่งขันได้ ยกตัวอย่างจากอุตสาหกรรมต่างๆ ที่จีนเป็นผู้นำ เช่น พลังงานสะอาด ที่ต้นทุนการผลิตลดลงไปเยอะมาก และมันกำลังจะเกิดขึ้นกับธุรกิจอื่นๆ ที่จีนกำลังพัฒนาเช่นเดียวกัน
อีกปัจจัยที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจจีนให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างยั่งยืน คือ กำลังการซื้อของผู้บริโภค ด้วยจำนวนประชากรขนาดใหญ่ ทำให้จีนยังมีเครื่องยนต์ด้านนี้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ส่งผลให้ตลาดหุ้นจีนยังมีความแข็งแกร่ง จากพื้นฐานเศรษฐกิจและนโยบายรัฐบาล
มาทางฝั่งเอเชียที่ ตลาดหุ้นเวียดนาม ซึ่งเป็นตลาดหุ้นที่เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดดในปี 2564 ถึงแม้จะถูกวิกฤต Covid-19 ทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวลงไปบ้าง แต่ตลาดหุ้นเวียดนามยังคงเป็นขาขึ้นได้จากพื้นฐานของเศรษฐกิจที่กำลังเติบโต
ภาพรวมการเติบโตของตลาดหุ้นเวียดนามจะคล้ายกับจีน แต่มีการเติบโตสูงกว่า จนทำให้หลายๆ คนกังวลว่า มันร้อนแรงไปหรือยัง มูลค่าหุ้นอาจจะแพงเกินไป แต่หากมองในระยะยาว หลายๆ ธุรกิจของเวียดนามยังมีราคาถูก เข้าลงทุนได้
อย่างไรก็ตาม คุณควรมีความเข้าใจเกี่ยวกับธรรมชาติของตลาดหุ้น ที่มีความผันผวนและไม่ได้จะพุ่งขึ้นทุกปี ช่วงต้นปีตลาดหุ้นเวียดนามมีปรับตัวลงบ้าง แต่โดยรวมแล้วยังคงมีความน่าสนใจที่จะลงทุน
สุดท้าย คือ ตลาดหุ้นไทย ตอนต้นปี เราคาดว่าจะเติบโตขึ้นมากในปี 2564 แต่เกิดวิกฤต Covid-19 ทำให้เศรษฐกิจไทยหยุดชะงักลง โดยในช่วงปีที่ผ่านมา ภาคการส่งออกเป็นตัวช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย และช่วยพยุง GDP ของประเทศเอาไว้
เป็นไปได้ว่าในปี 2565 นี้ ภาคการท่องเที่ยวจะเริ่มกลับมาอีกครั้ง ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมหลักของไทย ประชากรฉีดวัคซีนกันครบ แต่ละโรงแรมเริ่มรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้เศรษฐกิจไทยกลับมาสู่ทิศทางที่ควรจะเป็นอีกครั้ง
Jitta Wealth ใช้หลักการลงทุนระยะยาว ตาม Warren Buffett คือ ลงทุนในธุรกิจที่ดี ที่ได้ประโยชน์จากภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งเป็นการคัดเลือกสินทรัพย์ที่ดีที่มีคุณภาพ สะท้อนการเติบโต เข้ามาอยู่ในพอร์ตลงทุนของคุณ
Q: คุณจะรับมือกับความผันผวนที่เกิดขึ้นได้อย่างไร และโอกาสการลงทุนใน Jitta Wealth อยู่ตรงไหน
ตลาดหุ้นมีโอกาสการลงทุนทุกช่วง แต่ไม่มีใครคาดการณ์ได้ หากมองภาพรวมตลาดหุ้น ปลายปี 2564 ต่อเนื่องมาถึงต้นปี 2565 ตลาดหุ้นส่วนใหญ่ปรับตัวลดลง แต่มันจะมีหุ้นบางบริษัทที่มีราคาขึ้นสวนทางอยู่เสมอ หรือหากราคาเป็นขาลง เมื่อความผันผวนนั้นผ่านไป ราคาจะกลับพลิกกลับขึ้นมาได้เอง หรือเร็วกว่าหุ้นอื่นๆ ซึ่งหุ้นคุณสมบัติแบบนี้ คือ สินทรัพย์ที่มีคุณภาพดี
วิธีการรับมือที่ง่ายที่สุดในช่วงตลาดหุ้นผันผวน คือการ DCA (Dollar Cost Averaging) เป็นกลยุทธ์ดี เพื่อเฉลี่ยต้นทุน ถ้าหากคุณยังไม่สะดวกที่จะเพิ่มทุน แนะนำให้รอดูสถานการณ์ก่อน ตัวคุณเองต้องไม่กังวลต่อผลกระทบระยะสั้นที่เกิดขึ้น เพราะไม่มีคาดการณ์อะไรได้
สิ่งที่ขาดทุนหนักๆ ในช่วงความผันผวน คือ หลายๆ คนไม่สามารถทนต่อมูลค่าพอร์ตที่ลดลงมากๆ ได้ และตัดสินใจขายหุ้นออกไปทันที ในความเป็นจริงแล้ว ในระยะสั้นตลาดหุ้นขึ้นๆ ลงๆ ไม่มีเหตุผล ในระยะยาวตลาดหุ้นจะปรับตัวสู่พื้นฐานที่แท้จริงเสมอ
หากคุณนำเงินมาลงทุนกับ Jitta Wealth ควรทำความเข้าใจกับเป้าหมายการบริหารพอร์ตลงทุน คือ สร้างผลตอบแทนทบต้นระยะยาว ภาพรวมตลาดหุ้นในช่วง 10 ปี นักลงทุนที่สามารถอดทนสร้างพอร์ตจนผ่านพ้นช่วงเวลานี้ไป จะได้รับผลตอบแทนที่น่าพึงพอใจ จงมองภาพรวมตลาดหุ้นว่าในระยะสั้นตลาดหุ้นอาจจะมีความน่ากลัว แต่ในระยะยาวความน่ากลัวเหล่านี้จะบรรเทาลง
เมื่อคุณดูนโยบาย Jitta Ranking เช่น หุ้นไทย จะผลตอบแทนอยู่ที่ +17.40% ต่อปี ในช่วงปี 2555-2564 และผลตอบแทนรวม คือ +398.05% แต่ในรอบ 10 ปีนั้น หากคุณเลือกที่จะดูมูลค่าพอร์ตของตัวเองทุกวัน คุณจะเห็นตัวเลข โอกาสขาดทุนสูงสุด (Maximum Drawdown) ได้ถึง -49.55% มันก็คือช่วง Covid-19 ซึ่งทำให้คุณกังวลใจอยู่ไม่น้อย
ตัวเลข Maximum Drawdown มีความแตกต่างกันในแต่ละช่วงเวลา ถ้าคุณเห็นผลตอบแทนรวม Jitta Ranking ไทย แล้วเทียบกับโอกาสขาดทุนสูงสุดรายวัน คุณจะเห็นว่า ผลตอบแทนที่ได้มันคุ้มค่ากับความเสี่ยงที่เกิดขึ้น มันคือ Risk Reward นั่นเอง หมายความว่า หากคุณอดทนในช่วงที่พอร์ตติดลบหนักๆ ได้ ผลตอบแทนที่น่าพึงพอใจกำลังรอคุณอยู่ในอนาคต
จากตัวเลขเหล่านี้ หากคุณดูมูลค่าพอร์ตรายวัน ยิ่งเป็นในช่วงตลาดหุ้นผันผวน คุณอาจจะรู้สึกกังวลใจ ทั้งๆ ที่ตัวเลข Maximum Drawdown จะลดลง เมื่อคำนวณในระยะเวลาที่นานขึ้น นั่นหมายความว่า หากคุณไม่ตกใจจนรีบขายสินทรัพย์ที่ดีออกจากพอร์ตในช่วงความไม่แน่นอนไปก่อน โอกาสขาดทุนจะน้อยลง
ยิ่งเมื่อเห็นผลตอบแทนระยะยาวที่ชดเชยการขาดทุนได้ คุณคงยอมเสี่ยงอย่างแน่นอน แต่ไม่มีใครรู้ว่า จะเกิดอะไรขึ้น ต้องเผชิญการขาดทุนแค่ไหน ตัวเลขเหล่านี้เป็นข้อมูลในอดีตที่เอามาคำนวณ เพื่อเป็นข้อพิสูจน์หลักการลงทุนระยะยาว
จึงอยากแนะนำว่า หากคุณรู้สึกหวั่นไหวกับความผันผวนหรือมูลค่าพอร์ตที่ลดลง แนะนำให้ลดความถี่ในการดูพอร์ต แต่ถ้าคุณมีความเข้าใจถึงความผันผวนในตลาดหุ้นมากขึ้น และจะทำให้คุณมีความสุขกับการลงทุนมากขึ้น
Q: มองภาพรวมการลงทุนใน Thematic Optimize อย่างไร ตอนนี้มูลค่าพอร์ตกำลังติดลบอยู่
คุณควรเข้าใจถึงการลงทุนในธีมธุรกิจก่อน โดย Thematic ETF ที่ Jitta Wealth เลือกมาส่วนใหญ่จะเป็นการลงทุนในกลุ่มเทคโนโลยีที่กำลังเติบโต แน่นอนว่า การลงทุนแบบ Thematic Investment จะมีความผันผวนเกิดขึ้นมากกว่าปกติ เพราะในบางธีมธุรกิจยังเป็นของใหม่ กำลังพัฒนาหรือเติบโต ความไม่แน่นอนด้านราคา ETF และผลประกอบการบริษัทมีสูงกว่า
สังเกตได้จากการเติบโตของดัชนี NASDAQ ที่รวมหุ้นเทคโนโลยีหลายๆ ธีมธุรกิจ เคยตกลงมากกว่า 50% ในช่วงวิกฤต Subprime ปี 2551 แต่เมื่อดูภาพรวมของดัชนี NASDAQ ตั้งแต่ปี 2551-2564 ดัชนีเติบโตขึ้นอย่างมาก จากราวๆ 2,000 จุด เป็น 15,000 จุด (ปัจจุบันอยู่ราวๆ 14,000 จุด)
Thematic Optimize เป็นแผนการลงทุนในธีมเมกะเทรนด์ที่มีโอกาสเติบโตในระยะยาว สามารถมองภาพรวมได้คล้ายกับดัชนี NASDAQ ถึงแม้ว่า จะปรับตัวลงอย่างรุนแรงในช่วงวิกฤต แต่สามารถเติบโตขึ้นได้มากกว่า 500% ในปัจจุบัน
สิ่งที่ Jitta Wealth เน้นย้ำอยู่เสมอ คือ ธรรมชาติของตลาดหุ้นและหลักการลงทุนระยะยาว โดยหากคุณอดทนกับพอร์ตลงทุนให้ผ่านช่วงวิกฤตหรือช่วงตลาดหุ้นผันผวนไปได้ สุดท้ายคุณจะได้รับผลตอบแทนที่ดีและชดเชยการขาดทุนที่เผชิญมาได้อย่างแน่นอน
คุณที่ได้รับผลตอบแทนทบต้นดีที่สุด คือ การหมั่นเพิ่มทุนแบบ DCA ในพอร์ตลงทุนอยู่เสมอ โดยไม่สนใจสถานการณ์หรือวิกฤตที่เกิดขึ้น ซึ่งจะทำเงินของคุณทำงานได้ดี สร้างมูลค่าเติบโตอย่างยั่งยืน
วิธีการ DCA คือ การรับมือกับตลาดหุ้นผันผวนได้ดีที่สุด เพราะไม่มีใครรู้ว่า ช่วงที่คุณลงทุนหรือเพิ่มทุนเข้าไป มันเป็นจุดสูงสุดและต่ำสุดหรือยัง สิ่งที่คุณควรเตือนตัวเอง คือ คุณจะรับความเสี่ยงและอดทนถือเวลาที่หุ้นตกไป -30% ได้หรือไม่ เพื่อรับผลตอบแทนที่ดีขึ้น ชดเชยมูลค่าที่เคยหายไป และเกิดผลตอบแทยทบต้นที่สร้างความมั่งคั่งให้คุณในอนาคต
Q: แม้ว่าจะใช้เทคโนโลยี AI ในการวิเคราะห์ แต่ยังมีการขาดทุนและความผันผวนมากกว่าดัชนีตลาดหุ้นได้หรือไม่
คำตอบคือใช่ ถึงแม้ว่าจะมี AI เข้ามาช่วยวิเคราะห์สินทรัพย์ก็มีโอกาสขาดทุน แต่คุณควรทำความเข้าใจถึงหลักการลงทุนของ Jitta Wealth ก่อนว่า เป็นพอร์ตลงทุนรูปแบบ Passive Investment ที่ให้ผลตอบแทนเคลื่อนไหวตามดัชนีและไม่ซื้อขายสินทรัพย์บ่อย เมื่อเปรียบเทียบกับ Active Investment เน้นผลตอบแทนชนะดัชนี จับจังหวะตลาดหุ้น และซื้อขายสินทรัพย์ตลอดเวลา ในระยะยาวการลงทุนแบบจับจังหวะซื้อขายสินทรัพย์ จะทำให้ผลตอบแทนทบต้นแย่ลง
การเลือกลงทุนในกองทุนดัชนี S&P500 เปรียบเทียบกับกองทุนเฮดจ์ฟันด์ ที่มีการซื้อขายสินทรัพย์บ่อยครั้ง ทำให้ค่าใช้จ่ายกองทุนสูงกว่า เพราะต้องใช้กลยุทธ์ต่างๆ เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีที่สุด และมีเป้าหมายที่ชัดเจนว่าจะสร้างผลตอบแทนชนะดัชนีตลาดหุ้น สุดท้ายการลงทุนโดยใช้กลยุทธ์จับจังหวะตลาด กลับสร้างผลตอบแทนได้น้อยกว่าในระยะยาว
Jitta Wealth มองว่า สินทรัพย์ที่เราคัดสรรมาและพัฒนา AI เข้ามาช่วยวิเคราะห์จัดพอร์ตให้ เป็นสิ่งที่เรามั่นใจว่าจะสร้างผลตอบแทนทบต้นที่ดีในระยะยาว ซึ่งคุณควรทำความเข้าใจกับความผันผวนที่เกิดขึ้นด้วย บางครั้งไม่ได้เกิดจากตัวสินทรัพย์ แต่เป็นอารมณ์ของนักลงทุนทั่วโลก
การลงทุนระยะยาว คือ คุณควรอดทนถือครองสินทรัพย์ผ่านช่วงความผันผวนนี้ไปให้ได้ อย่างที่คุณเห็นว่า ตัวเลข Maximum Drawdown อาจทำให้มูลค่าพอร์ตติดลบได้ถึง -30% แต่หากคุณสามารถอดทน จนผ่านช่วงผันผวนได้แล้ว สุดท้ายผลตอบแทนในระยะเวลาที่นานขึ้น จะชดเชยมูลค่าที่เคยขาดทุนได้เอง ให้มองว่าช่วงที่ติดลบนั้นอาจเป็นโอกาสลงทุนของคุณก็ได้
Q : ทำไมธีมที่เลือกมาติดลบมากกว่าธีมที่ไม่ได้เลือก
การพัฒนา AI ตามหลักการของ Jitta Wealth ไม่ได้ยึดว่า ต้องเป็นธีมที่ดีที่สุด แต่ควรเป็นธีมที่น่าลงทุนที่สุด เพราะเรารู้ว่า ระยะยาวทำแบบนี้มันจะกำไรหรือสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่า ไปเลือกธีมด้วยตัวเอง Thematic Optimize คือ ต้องดีกว่าคนเลือกเอง แต่ไม่ได้บอกว่าดีที่สุด การลงทุนมี มูลค่าอนาคต (Future Value) ที่สูงมากไม่มีใครคำนวณได้แม่นๆ
AI ของ Jitta Wealth มองโอกาสเติบโตจากรายได้ของบริษัทที่ ETF ธีมนั้นๆ เลือกลงทุน มากกว่ามองว่า ธีมที่ดีที่สุดในช่วงเวลานี้ เพราะไม่ได้สะท้อนการเติบโตของหุ้นใน ETF ธรรมชาติของตลาดหุ้น คือ เหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา คุณไม่มีทางรู้ล่วงหน้าได้ ธีมที่ดีที่สุด อาจจะไม่ใช่ธีมที่น่าลงทุนที่สุด
จนถึงสิ้นปี 2564 Jitta Wealth คัดสรรมา 16 ธีม เป็นธีมที่เราเลือกมาแล้วว่า ถ้าคุณลงทุนในระยะยาวแล้วจะให้ผลตอบแทนทบต้นที่ดี เหมือนกับการลงทุนในตลาดหุ้น ถ้าคุณลงทุนระยะยาวก็จะได้กำไรมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นผลตอบแทนจะมากแค่ไหน ขึ้นอยู่กับธีมที่คุณเลือกด้วย คุณอาจจะไม่มั่นใจว่า คุณเลือกธีมได้ดีหรือยัง หรือจะได้ผลตอบแทนแค่ไหน คำถามเหล่านี้จึงทำให้เกิด Thematic Optimize ขึ้นมา
ถ้าคุณไม่มั่นใจว่าจะเลือกได้ดีหรือไม่ ก็ลงทุนแบบ Thematic Optimize ให้ AI วิเคราะห์ธีมและเลือกให้ ซึ่ง AI เลือกได้ดีกว่าคนเลือกเองถึง 90% แต่ไม่ได้หลายความว่าดีที่สุด เพราะก็ยังมี 10% ที่อาจจะดีกว่า
ต่อให้ Thematic Optimize ขาดทุน แต่ระบบก็ทำหน้าที่ของมันได้ดีกว่าการเลือกในหลายๆ รูปแบบ ตัวอย่างพอร์ตของคุณตราวุทธิ์ที่มี Thematic DIY 4 พอร์ต และ Thematic Optimize 1 พอร์ต ผลตอบแทน YTD ปี 2565 Thematic Optimize อยู่ในอันดับที่ 2 จาก 5 พอร์ต นั่นหมายความว่า AI ยังทำงานได้ดีกว่าคนเลือกธีมเอง
ถ้าคุณอยากจะลงทุนในธีมเมกะเทรนด์ แล้วคิดว่าคุณไม่สามารถเลือกธีมเองได้ แล้วให้ Thematic Optimize วิเคราะห์และเลือกธีมให้ น่าจะดีกว่าคุณเลือกเองในระยะยาว
หากมาดูผลตอบแทน YTD ปี 2565 ทั้ง 16 ธีมจะเห็นว่า เกือบทุกธีมที่ติดลบทั้งหมด มี 2 ธีมที่ผลตอบแทนเป็นบวก จะเห็นว่า Thematic Optimize เลือกได้ดีแล้ว พอร์ตติดลบเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้า AI เลือกธีมให้ โอกาสที่พอร์ตคุณจะติดลบก็น้อยลง
ดังนั้นในความผันผวนที่เกิดขึ้น อาจจะต้องวิเคราะห์ในภาพใหญ่ๆ ด้วย ธีมเมกะเทรนด์ตอนนี้เป็นอย่างไร ถ้าราคา ETF ลดลงเป็นส่วนใหญ่ มูลค่าพอร์ตย่อมลดลงตามกัน
Q : ทำไมเมื่อมีการปรับพอร์ตถึงต้องขาย ETF ในเมื่อเป็นธีมที่น่าลงทุนที่สุด ทำไมขาย ETF ที่ขาดทุน
การขาย ETF ออกหรือการปรับพอร์ต ไม่เกี่ยวกับว่า ตอนนั้นคุณกำไรหรือขาดทุนอยู่ หลักการปรับพอร์ต เพราะเชื่อว่า มีธีมที่มีโอกาสทำกำไรได้ดีกว่าในอนาคตรออยู่
การลงทุนในตลาดหุ้นควรคิดจากเหตุไปหาผล แต่คนส่วนมากมองผลมาหาเหตุ เช่น สินทรัพย์ที่กำไรคือสิ่งที่ถูกต้อง สินทรัพย์ที่ขาดทุนคือสิ่งที่ผิด
สิ่งที่เราควรโฟกัสคือ อะไรที่จะทำให้มูลค่าพอร์ตสร้างผลตอบแทนที่ดีขึ้น อย่าง Thematic Optimize เมื่อมีการปรับพอร์ต เราก็จะไปลงทุนในธีมที่ AI วิเคราะห์มาแล้วว่า มีการเติบโตต่อ หากเป็นธีมเดิมที่มีอยู่ในพอร์ตจะไม่ขาย แต่ถ้าเป็นธีมใหม่ ก็จำเป็นต้องขายธีมที่มีโอกาสเติบโตน้อยลง แล้วไปซื้อธีมใหม่ที่ AI วิเคราะห์มาแล้ว
การปรับพอร์ตทุก 3 เดือน เพราะงบการเงินจะออกรายไตรมาส เมื่องบการเงินออก Jitta Wealth เอาทุกอย่างมาคำนวนใหม่ เราจะรู้เลยว่าธีมไหนจะมีโอกาสเติบโต สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดี รวมทั้ง AI จะดูที่ผลตอบแทนเมื่อเทียบกับความผันผวน ยิ่งต่ำก็สะท้อนว่า นักลงทุนให้ความเชื่อมั่นในธีมนั้นๆ ราคา ETF ไม่สวิงมาก
กฎอีกข้อของการขายสินทรัพย์สำหรับการลงทุนแบบ VI (Value Investment) คือ ถ้าสินทรัพย์ดีอยู่แล้วจะขายต่อเมื่อพื้นฐานสินทรัพย์เปลี่ยนไป หรือราคาแพงเกินไป หรือขายสินทรัพย์ที่ดีเพื่อไปซื้อสินทรัพย์ที่น่าลงทุนมากกว่า
Q : AI ของ Thematic Optimize ทำให้ Overfitting กับผลตอบแทนปี 2563 หรือไม่
Jitta Wealth พยายามลดโอกาส Overfitting จากการทำงานของ AI อยู่แล้ว ด้วยการทดสอบจัดพอร์ตด้วย AI เป็นพันครั้งก่อนจะมาเป็น Thematic Optimize เราพัฒนา AI ขึ้นมา ไม่ได้ทำเพื่อผลตอบแทนสูงที่สุด เป้าหมายของ Thematic Optimize คือ การทำผลตอบแทนทบต้นระยะยาวให้ได้ดีกว่าที่คนเลือกธีมเอง
ไม่ว่าเป็นหุ้นใน Jitta Ranking หรือ ETF ใน Thematic Optimize เราเน้นเรื่องความถูกต้องของหลักการลงทุนระยะยาวก่อน และเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนดีกว่าเราเลือกลงทุนจัดพอร์ตเอง เพราะฉะนั้นแล้ว ประเด็น Overfitting เราทดสอบ AI และอัลกอริทึมมาแล้วว่า ทำงานได้แม่นยำ
Q : เปิดพอร์ตลงทุนแล้ว สามารถติดตามมูลค่าพอร์ตได้จากช่องทางไหนบ้าง
Jitta Wealth แอปพลิเคชันและเว็บไซต์ที่คุณสามารถเข้าล็อกอินเช็คมูลค่าพอร์ตลงทุนได้ด้วยตัวเอง และจะส่งรายงานประจำเดือนทางอีเมล เพื่อรายงานค่าธรรมเนียมต่างๆ ด้วย
Q : Jitta Wealth จะมีการปรับลดขั้นต่ำเงินลงทุนหรือไม่
มีความเป็นไปได้ที่จะปรับลดขั้นต่ำเงินลงทุน เพราะภารกิจของเราคือ การทำให้ทุกคนเข้าถึงการลงทุนที่จะสร้างผลตอบแทนทบต้นในระยะยาว สิ่งที่ Jitta Wealth ทำสำเร็จแล้ว คือ การลดจากขั้นต่ำจาก 1,000,000 บาท เป็น 100,000 บาท ในอนาคตหวังว่า จะลดลงได้อีก ฝากถึงทุกคนให้ลงทุนใน Jitta Wealth กันเยอะๆ เราจะได้มี Economies of Scale ที่จะลดขั้นต่ำเงินลงทุนได้
Q : มีโอกาสเปิดตลาดใหม่ๆ อย่างฮ่องกงและอินเดียใน Jitta Ranking หรือไม่
เรากำลังศึกษาอยู่ ฮ่องกงมีความเป็นไปได้มากกว่าอินเดีย เพราะอินเดียยังไม่ค่อยเปิดรับนักลงทุนต่างชาติ แม้ว่าจะเป็นนักลงทุนสถาบัน อาจจะต้องรออีกนาน เพราะเป็นเรื่องของกฎระเบียบต่างๆ แต่ฮ่องกง มีโอกาสที่จะเปิดได้เลย เป็นตลาดหุ้นพัฒนาแล้ว มีมาตรฐานและแข็งแกร่ง รวมทั้งเป็นตลาดหุ้นที่เกี่ยวข้องกับจีนแผ่นดินใหญ่ และจีนต้องการจะทำให้ตลาดหุ้นฮ่องกงเป็นประตูที่นำบริษัทจีนสู่เวทีโลกและเปิดรับโอกาสจากต่างชาติ
Q : ข้อคิดและกำลังใจ เพื่อให้เข้าใจหลังการลงทุนระยะยาว
Stop trying to calm the storm. Calm yourself, storm will Pass. ถ้าคุณเข้าใจตลาดหุ้น ตลาดหุ้นมีขึ้นมีลงเหมือนฝนตก แดดออก มีพายุ สิ่งสำคัญคือ คุณไม่สามารถหงุดหงิดทุกครั้งที่ฝนตก เพราะเป็นสิ่งที่คุณควบคุมไม่ได้ สิ่งที่ดีที่สุดคือ คุณทำในสิ่งที่ควบคุมได้ เช่น การวางแผนรับมือ
คุณบังคับให้ตลาดหุ้นขึ้นหรือลงไม่ได้ มันเป็นเรื่องที่นอกเหนือความสามารถของทุกคนบนโลก สิ่งที่สำคัญคือ มีสติ ใจเย็นๆ และลงทุนอย่างถูกต้อง แล้วคุณจะเจออากาศที่ดีและแจ่มใสมากกว่าช่วงที่เจอฝนตกนั่นเอง
อ่านคำถามคำตอบจาก CEO ของ Jitta Wealth ย้อนหลัง
CEO ของ Jitta Wealth เตรียมรับมืออย่างไร ภาษีขายหุ้นไทย 0.1% ปี 2565
ถาม-ตอบกับ Jitta Wealth ใน Investor Exclusive ไตรมาสที่ 4 ปี 2564