CEO ของ Jitta Wealth เตรียมรับมืออย่างไร ภาษีขายหุ้นไทย 0.1% ปี 2565
Exclusive Q&A with CEO ของ Jitta Wealth ประจำเดือนธันวาคม เป็น Webinar ที่คุณเผ่า ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ จะไขข้องสงสัยให้คุณ ไม่ว่าจะมีพอร์ตลงทุนกับ Jitta Wealth อยู่แล้ว หรือสนใจลงทุน แต่ต้องการฟังมุมมองของ CEO ก่อนตัดสินใจเปิดบัญชี
หากคุณพลาดชม Webinar สด คุณสามารถชมวิดีโอย้อนหลังได้ที่ Facebook และ YouTube
ดูวิดีโอ CEO ของ Jitta Wealth ย้อนหลัง
สรุป Q&A และมุมมองจาก Jitta Wealth
Q: เงินเฟ้อและดอกเบี้ยขาขึ้นจะส่งผลต่อการลงทุนในสหรัฐฯ โดยเฉพาะ Jitta Ranking หุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ อย่างไร ในระยะสั้นและยาว
มุมมองจากนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่จะคิดถึงผลกระทบระยะสั้นมากกว่าผลกระทบระยะยาว ถ้ามองจากหลักการลงทุนระยะยาวจริงๆ เงินเฟ้อและดอกเบี้ยขาขึ้นจะสร้างแรงกดดันระยะสั้นเท่านั้น ขณะที่ผลตอบแทนทบต้นระยะยาวมีสถิติพิสูจน์มาแล้วว่า สามารถสร้างผลตอบแทนให้กับคุณได้มากกว่า
ขณะที่ตัวคุณเองควรมีเป้าหมายการลงทุนที่ชัดเจน ว่าต้องการผลตอบแทนระยะสั้นหรือยาว เพราะกองทุนส่วนบุคคล Jitta Wealth เป็นพอร์ตลงทุน เพื่อสร้างผลตอบแทนทบต้นระยะยาว โดยมีหลักการที่ถูกต้อง ดังนั้นจึงไม่ได้มองปัจจัยเงินเฟ้อและดอกเบี้ย ว่าจะทำให้พอร์ตลงทุนผันผวนระยะยาว
นักลงทุนระดับโลกอย่าง Warren Buffett พูดถึงภาวะเงินเฟ้อเร่งตัวไว้ว่า เงินเฟ้อเป็นศัตรูของธุรกิจที่แย่ ที่ไม่สามารถขึ้นราคา เพื่อแข่งกับบริษัทอื่นได้ แต่เป็นสิ่งที่ดีสำหรับธุรกิจชั้นเยี่ยม ที่สามารถขึ้นราคาสินค้าและสามารถเอาชนะคู่แข่งได้ในระยะยาว
หากคุณลงทุนในธุรกิจที่ดีที่เป็น ‘หุ้นผู้ชนะ’ หรือ ‘ธีมผู้ชนะ’ สุดท้ายแล้วคุณจะสามารถผ่านเหตุการณ์อื่นๆ ไปได้อย่างสบายใจ เพราะหลักการลงทุนระยะยาว คือ ต่อให้ราคาหุ้นดิ่งลง มันคือ ความผันผวนก็เกิดขึ้นได้ และใช้โอกาสนี้ ปรับพอร์ตสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าเดิมในอนาคต
มันเป็นเพียงผลกระทบระยะสั้น สุดท้ายแล้ว หุ้นและ ETF (Exchange Traded Fund) ที่เป็นผู้ชนะ จะกลับมาสู่มูลค่าที่แท้จริงได้เอง สินทรัพย์ที่ดี สำคัญกว่าปัจจัยที่คุณคาดการณ์ไม่ได้
กลยุทธ์ที่ช่วยให้คุณสามารถรับมือกับความผันผวนระยะสั้น คือ การ DCA (Dollar Cost Averaging) จะช่วยลดความกังวลของคุณ และทำให้คุณเป็นเป็นผู้ชนะจากพอร์ตลงทุนระยะยาว
Q: กระทรวงการคลังเตรียมเก็บภาษีการขายหุ้น 0.1% มีผลบังคับใช้ในปี 2564 สำหรับวอลุ่มสูงๆ Jitta Wealth จะรับมืออย่างไร และจะส่งผลกับพอร์ตลงทุน Jitta Ranking หรือไม่
ภาษีขายหุ้น (Financial Transaction Tax) ในอัตรา 0.1% นับเป็นค่าธรรมเนียมอีกตัว ที่จะส่งผลต่อการคำนวณผลตอบแทน Jitta Ranking ไทย ซึ่งเป็นสิ่งที่เราไม่สามารถควบคุมได้ เพราะเป็นกฎระเบียบที่ต้องปฏิบัติตาม
แต่หลักการลงทุนใน Jitta Ranking คือ ระบบจะไม่ขายหุ้นบ่อย เพราะเป็นพอร์ตลงทุนระยะยาว ดังนั้นค่าใช้จ่ายด้านภาษีในอนาคตจะมีผลกระทบน้อย ต่อให้ระบบปรับพอร์ตขายออกมา ผลตอบแทนทบต้นทั้งพอร์ต จะชดเชยค่าธรรมเนียมและภาษีต่างๆ ได้หมด
ทั้งนี้ Jitta Wealth พยายามช่วยคุณ คือ ทำต้นทุนค่าธรรมเนียมกองทุนส่วนบุคคลให้ต่ำที่สุด เพื่อให้คุณได้รับผลตอบแทนสูงที่สุด และพัฒนาอัลกอริทึมการเลือก ‘หุ้นดีราคาถูก’ ให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมการลงทุน เพื่อให้ลงทุนในสินทรัพย์ที่น่าลงทุนตลอดเวลา
Q: AI และอัลกอริทึมของ Jitta Wealth จะมีการขายตัดขาดทุนและบริหารความเสี่ยงให้เงินต้นปลอดภัยอย่างไรบ้าง
ระบบของ Jitta Wealth จะใช้หลักการปรับพอร์ตลงทุนที่ดีมีวินัย โดยเลือกสินทรัพย์ที่ดี มีโอกาสเติบโต กระจายความเสี่ยงที่ดี ไม่ซื้อขาย เข้าๆ ออกๆ บ่อย ดังนั้นระบบของเราจะไม่มีเงื่อนไขให้ขายตัดขาดทุน รวมทั้งบริหารความเสี่ยงให้เงินต้นปลอดภัย เปรียบเหมือนการใช้อคติและอารมณ์ ซึ่งเป็นศัตรูตัวฉกาจ ทำให้ไม่สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวได้
กองทุนส่วนบุคคล Jitta Wealth คือ หลักการลงทุนระยะยาว ใช้ AI วิเคราะห์หุ้น และ ETF คุณภาพดี เพื่อรับมือกับความผันผวนที่เกิดขึ้น และมีระบบปรับพอร์ตอย่างถูกต้อง ดังนั้นเราไม่จำเป็นต้องขายตัดขาดทุน เพราะจะทำให้คุณเสียโอกาสลงทุนในสินทรัพย์ที่ดี
จริงๆ ก็มีคนที่สามารถปรับพอร์ตลงทุน เข้าๆ ออกๆ และยังได้ผลตอบแทนดี แต่เป็นส่วนน้อย เพราะอีก 90% ของนักลงทุนในตลาดหุ้น ต่างเจ็บตัวจากการปรับพอร์ตบ่อย ขายสินทรัพย์ที่ดี ถือสินทรัพย์ที่ไม่ดี ซึ่งเกิดจากอารมณ์และอคติ
Q: หากลงทุนระยะยาวควรเลือกการลงทุนใน Jitta Ranking แผนไหนดี
หากต้องการลงทุนในระยะยาวมาก แนะนำเป็น Jitta Ranking หุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ เพราะเป็นหุ้นเติบโต และรายได้บริษัทเทคโนโลยีของสหรัฐฯ มาจากทั่วโลก ไม่ใช่เพียงแค่ในในประเทศเท่านั้น
สิ่งที่คุณควรมองสำหรับการลงทุนระยะยาว คือ หากคุณลงทุนในพอร์ตนี้อีก 10 ปีข้างหน้า จะเกิดอะไรขึ้น จะทำให้คุณได้คำตอบที่ชัดเจนมากขึ้นว่า จะเลือกแผนการลงทุนแบบใด ที่เหมาะสมกับคุณมากที่สุด
อีกแผนลงทุน Jitta Ranking ที่น่าสนใจ คือ จีน ปัจจุบันเป็นผู้นำโลกในหลายๆ อุตสาหกรรม และพัฒนาเศรษฐกิจจนขึ้นมาเป็นมหาอำนาจโลก ตลาดหุ้นจีนกำลังเติบโต และราคาหุ้นยังถูกมาก น่าลงทุน เพื่อผลตอบแทนระยะยาว
ดังนั้นหากต้องการลงทุนในช่วงเวลา 10 ปี แนะนำแผน Jitta Ranking จีน แต่ถ้าหากคิดจะลงทุนที่นานมากกว่านั้น Jitta Ranking หุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ เพราะอนาคตเทคโนโลยีจะยังถูกพัฒนาต่อยอด เป็นสินค้าและบริการที่คนใช้กันทั่วโลก
Q: หากคุณ DCA ทุกเดือนจะทำให้กระทบต่อผลตอบแทนหรือไม่ และควรใช้เวลา DCA นานแค่ไหน
ถ้าคุณลงทุนใน ‘หุ้นผู้ชนะ’ และ ‘ธีมผู้ชนะ’ การ DCA ในระยะยาวจะทำให้ผลตอบแทนโดยรวมเป็นบวก และโอกาสที่ผลตอบแทนในพอร์ตจะลดต่ำกว่าต้นทุนเฉลี่ย เมื่อเผชิญวิกฤตจะน้อยมาก เพราะการเพิ่มทุนอย่างสม่ำเสมอ จะทำให้คุณได้ ‘หุ้นราคาถูกจำนวนมาก’ และ ‘หุ้นราคาแพงจำนวนน้อย’
อย่างไรก็ตามการ DCA จำเป็นต้องใช้เวลาในระยะยาวมากกว่า 2 ปี และทำอย่างต่อเนื่อง ปลายทางของการ DCA จะทำให้พอร์ตโตขึ้นอย่างรวดเร็วและสร้างผลตอบแทนในระยะยาวที่ดีให้กับคุณ
Q: หากในอนาคตเงินกระดาษ (Fiat Currency) ถูกแทนที่ด้วยคริปโทเคอร์เรนซี จะส่งผลต่อคนที่ลงทุนในตลาดหุ้นด้วยเงินกระดาษอย่างไรบ้าง
หากคุณลงทุนมาเป็นระยะเวลานาน จะได้เห็นกระแสและเทรนด์ใหม่ๆ เข้ามาอยู่เสมอ บางกระแส มาแล้วก็หายไป แต่บางกระแสกลายเป็นเมกะเทรนด์ สำหรับคริปโทเคอร์เรนซี ต้องรอเวลาก่อน ตอนนี้ยังเป็นกระแส อนาคตอาจจะเป็นเมกะเทรนด์ก็ได้ ซึ่งอาจต้องใช้เวลามากกว่านี้เพื่อประเมินโอกาส ปัจจุบันคริปโทเคอร์เรนซียังเป็นสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูง และมูลค่าเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ในอนาคต คริปโทเคอร์เรนซีจะยังอยู่ร่วมกับเงินกระดาษได้ในอนาคต ปริมาณการใช้เงินกระดาษที่ลดลงอาจส่งผลกระทบบ้าง อย่างไรก็ตามเงินกระดาษจะไม่หมดค่าไปอย่างแน่นอน โดยคริปโทเคอร์เรนซีอาจจะมาแทนที่บางส่วนของเงินกระดาษ แต่ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะเงินกระดาษยังมีความจำเป็นต่อความมั่นคงของหลายๆ ประเทศ
เป็นไปได้ว่าการซื้อขาย สินค้าบางชนิดต้องใช้เงินกระดาษเท่านั้น แม้ว่าคริปโทเคอร์เรนซีจะสร้างผลตอบแทนมากกว่าการลงทุนในตลาดหุ้นในช่วงที่ผ่านมา ก็ไม่ได้หมายความว่า สินทรัพย์การเงินอย่างหุ้น รวมไปถีงพันธบัตรจะหมดอนาคตไป เพราะปัจจุบันยังมีเม็ดเงินไหลเข้าพันธบัตรอยู่ ถึงหุ้นจะให้ผลตอบแทนมากกว่าก็ตาม สะท้อนว่า เทรนด์การลงทุนมีทั้งสินทรัพย์เสี่ยงต่ำและสูง ขึ้นอยู่กับว่า จะให้น้ำหนักการลงทุนแต่ละสินทรัพย์อย่างไร
Q: เทคโนโลยี Metaverse จะมีแนวโน้มอย่างไร และมีผลกระทบต่อธีมการลงทุนใดบ้าง
เทคโนโลยี Metaverse เป็นการรวบรวมเทคโนโลยีหลายๆ ด้าน มองว่า จะเข้ามาช่วยกระตุ้นธีมคลาวด์ ฟินเทค เทคโนโลยี เกมและอีสปอร์ต โดย Metaverse จะเปิดกว้างให้มีธุรกิจเกิดใหม่มากมาย ปัจจุบันเริ่มมีหลายๆ บริษัทเคลื่อนไหวในเทคโนโลยี Metaverse แล้ว ไม่ได้จำกัดแค่บริษัทที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีอย่างเดียว เช่น Nike อาจขายรองเท้าแบรนด์ตัวเองในโลก Metaverse
ที่เห็นได้ชัดเจนคือ เมื่อเทคโนโลยี Metaverse เกิดขึ้นมาจะส่งผลให้ธีมคลาวด์ ฟินเทค เทคโนโลยี รวมไปถึงเกมและอีสปอร์ตจะเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว และเป็นผลดีต่ออีกหลายธุรกิจทั่วโลก ขึ้นอยู่กับว่า แต่ละบริษัททั่วโลกจะสามารถหาโอกาสทำธุรกิจใน Metaverse ได้หรือไม่
Q: Jitta Ranking ไทย ยังน่าลงทุนอยู่ไหม
ภาพใหญ่ๆ ตลาดหุ้นไทยจะเป็นอย่างไรนั้น เป็นอีกประเด็น แต่หลักการของ Jitta Ranking คือ หุ้นดีราคาถูก เพราะต่อให้เศรษฐกิจไม่ดี แต่ในตลาดหุ้นก็ยังมีกิจการที่โตเติบได้ ถ้าคุณต้องการพอร์ตลงทุนที่ให้ผลตอบแทน 10% ต่อไป ก็สามารถทำได้ในตลาดหุ้นไทย แต่ถ้าแนะนำ ไปลงทุนในหุ้นต่างประเทศ เช่น จีน เวียดนาม เทคโนโลยีสหรัฐฯ จะให้ผลตอบแทยที่ดีกว่า
สำหรับไทย ปี 2565 ภาคการเติบโตจะชัดเจนขึ้น จากสถานการณ์ Covid-19 คลี่คลาย เปิดพรมแดน กระตุ้นการท่องเที่ยว ต่างชาติเริ่มเดินทางเข้ามา ดังนั้นในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า การลงทุนในหุ้นไทย จะยังให้ผลตอบแทนที่ดีอยู่ ถ้าไม่มีอะไรผิดไปจากที่คาด รวมทั้งมีการเลือกตั้งตามกำหนด
Q: วิธีการเลือกหุ้น 30 บริษัทใน Jitta Ranking ระบบสามารถเลือกหุ้นจัดพอร์ตแบบไม่กระจุกตัวในกลุ่มอุตสาหกรรมหรือธุรกิจได้หรือไม่
ไม่มี เพราะเคยทดสอบแล้ว หลายๆ ครั้ง จะกลับไปที่โจทย์หลักของการทำงาน AI คือ เลือกกลุ่มอุตสาหกรรมหรือธุรกิจ เป็นการสร้างอคติในการลงทุน ผลตอบแทนระยะยาวแย่ลง
หากหุ้นอันดับต้นๆ เป็นกลุ่มอุตสาหกรรมหรือธุรกิจเดียวกัน เป็นไปได้ว่า หุ้นกลุ่มนั้น อยู่ในช่วงกำลังเติบโตจากวิกฤต ซึ่งสะท้อนภาพดีกว่า แล้วใช้ระบบปรับพอร์ตต่อปี โอกาสได้ผลตอบแทนจากช่วงการเติบโตก็จะเยอะกว่า
การจำกัดกลุ่มอุตสาหกรรมหรือธุรกิจไม่ให้กระจุกตัว มันลดความเสี่ยงได้ก็จริง แต่ตามมาด้วยผลตอบแทนที่ลดลง พอร์ตลงทุนผันผวน มีความเสี่ยงที่จะสูญเสียเงินต้นมากกว่า เพราะในภาวะผันผวนของตลาดหุ้น มีขึ้นๆ ลงๆ ตลอดเวลา AI ของ Jitta Wealth จะเรียนรู้ว่า ในภาวะนี้ หุ้นที่วิเคราะห์มาแล้ว ยังเป็นหุ้นคุณค่าน่าลงทุนหรือไม่ ถ้าลงทุนแล้วผลตอบแทนรวมยังเป็นบวก คุณก็ยังลงทุนได้อยู่ ดังนั้นเข้าใจความผันผวน หลักการลงทุนที่เน้นผลตอบแทนระยะยาว
Q: มีพอร์ต Thematic Optimize และ Global ETF แผนเติบโต อยากมีพอร์ต Thematic DIY เพื่อลงธีมตลาดหุ้น จะเป็นการเพิ่มค่าธรรมเนียมหรือไม่
ถ้ามี 2 พอร์ตที่เป็น ETF อยู่แล้ว แนะนำให้ DCA กับ 2 พอร์ตเดิมดีกว่า โดย Global ETF เน้นอิงดัชนีตลาดทั่วโลก ขณะนี้ที่ Thematic Optimize ใช้ AI วิเคราะห์และจัดพอร์ตธีมให้ ภาพรวมพอร์ตลงทุนดูโอเค ไม่จำเป็นต้องเปิดพอร์ตเพิ่ม
Q: ถ้า DCA ใน Thematic Optimize เมื่อระบบเปลี่ยนธีม แล้วแสดงขาดทุน พอร์ตจะรับรู้ผล (Realized) ขาดทุนใช่ไหม
Thematic Optimize คือ ทรัพย์สินของคุณ เป็นการใส่เงินลงทุนในรูปแบบกองทุนส่วนบุคคล ด้วยความเชื่อมั่นในหลักการ AI วิเคราะห์ เลือกธีมที่น่าลงทุน จัดพอร์ต 4 ธีมอย่างเป็นกลาง ไม่มีชอบธีมนี้ ไม่ชอบธีมนั้น และปรับพอร์ตทุก 3 เดือน
ดังนั้นผลขาดทุนจากการเข้าลงทุนธีมใหม่ขายธีมเดิม เพราะ AI คิดมาแล้วว่า ถ้าลงทุนธีมใหม่ ผลตอบแทนจะดีกว่าเดิม จึงยอมขาดทุนก่อน แล้วไปลงทุนในธีมที่มั่นใจว่า จะคืนทุนได้เร็วกว่า นอกจากนี้หากคุณลงทุนในธีมเดิมอยู่ต่อ ไม่มีใครบอกได้ว่า เมื่อไรจะคืนทุน หรืออาจจะขาดทุนมากกว่าเดิมก็ได้ ดังนั้นไม่ต้องกังวลเรื่องการปรับพอร์ต
AI ของ Jitta Wealth จะเรียนรู้และใช้ประโยชน์จากความผันผวนของตลาดหุ้นอยู่แล้ว ปรับพอร์ตอัตโนมัติ เพื่อให้ผลตอบแทนเยอะขึ้นจากวิกฤต โดยจะเข้าไปวิเคราะห์ว่า ธีมธุรกิจกระทบไหม กิจการย่ำแย่ไหม ถ้าดูแล้วงบการเงินแย่แน่ๆ เอาเงินย้ายไปในกิจการที่ยังเติบโตดีกว่า ดังนั้นเป็นการปรับพอร์ตไปเลือก ETF ที่ถูกต้อง ซึ่งเป็นหลักการปรับพอร์ตที่ทำกันทั่วโลก นักลงทุน VI (Value Investing) ก็ใช้วิธีนี้
แม้ว่า จะบันทึกผลขาดทุนก็จริง แต่ถ้าไม่ขายเลย ลงทุนต่อใน ETF ที่ไม่มีการเติบโต อาจจะใช้เวลานานกว่าจะกลับไปคืนทุน ดังนั้นเมื่อ AI วิเคราะห์หา ETF ที่น่าลงทุนได้แล้ว ต้องปรับพอร์ตลงทุนเลย เพื่อผลตอบแทนรวมกลับไปคืนทุนเร็วกว่า
Q: ถ้าเป็นการปรับพอร์ตของ Thematic DIY จะทำอย่างไร
ETF ที่ Jitta Wealth คัดสรรมาเป็นตัวแทนของแต่ละธีม คาดการณ์แล้วว่า มีโอกาสเติบโตได้อีกยาวนาน หากคุณจัดพอร์ตลงทุนเอง มีธีมที่ราคาตกและขาดทุน คุณเลือกไม่เปลี่ยนธีม ปล่อยให้ระบบปรับพอร์ตอัตโนมัติทำงานให้ เมื่อธีมใดธีมหนึ่งมีมูลค่าเปลี่ยนอย่างน้อย 5% ก็จะขายธีมที่มีกำไรสูง ไปลงทุนในธีมที่ยังขาดทุน แต่มั่นใจได้ว่า ระยะยาวโตพอร์ตลงทุน Thematic DIY จะเติบโตได้ 15% ต่อปี บางปีบางธีมอาจจะไม่เติบโตเท่าไร แต่การ DCA จะช่วยให้เงินทำงาน และระบบปรับพอร์ตอย่างเหมาะสม
แต่คุณสามารถเปลี่ยนธีมได้ ถ้ามั่นใจแล้วว่า อยากเลือกธีมใหม่ที่มีโอกาสเติบโต แต่ไม่แนะนำให้เปลี่ยนธีมบ่อยๆ ทุกไตรมาส ถ้าคุณไม่มีประสบการณ์หรือไม่ได้ศึกษาพื้นฐานของแต่ละธีม ดังนั้นเลือกธีมที่มั่นใจในการเติบโต และลงทุนทิ้งไว้ให้ผลตอบแทนระยะยาวสูงกว่าตลาดดีกว่า
Q: ธีมพลังงานสะอาดจีน มีการลงทุนในหุ้น EV (Electric Vehicle) ไหม และอนาคตจะเพิ่มธีมพลังงานสะอาดโลกไหม
มีลงทุนในบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ เช่น Nio BYD และ Xpeng รวมไปถึงบริษัทผลิตแบตเตอร์รีลิเธียม โดยซัปพลายของรถ EV ทั่วโลก มากกว่า 50% มาจากจีน ส่วนอีกไม่นาน Jitta Wealth จะเปิดธีมใหม่ เป็นพลังงานสะอาดโลกเช่นเดียวกัน
Q: อยากให้เพิ่ม Jitta Ranking จีนที่ลงทุนในหุ้น H-share เพราะเห็นราคาลงมาเยอะ มีโอกาสไหม
Jitta Wealth สามารถศึกษาความเป็นได้ให้ แต่คาดว่า ไม่ยากเกินไป เพราะหุ้นจีนในตลาดหุ้นฮ่องกงเข้าลงทุนง่าย เงื่อนไขไม่ยุ่งยาก
สำหรับตลาดหุ้นอินเดียที่มีเสียงเรียกร้องเข้ามา Jitta Wealth กำลังศึกษาความเป็นไปได้ แต่เงื่อนไขการลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติยังมีความซับซ้อน ส่วนประเทศอื่นๆ สามารถเปิด Jitta Ranking ให้ได้ เช่น ญี่ปุ่น เยอรมนี ออสเตรเลีย
Q: ธีมย่อยๆ ของเฮลท์แคร์ ที่น่าสนใจมีอีกไหม นอกจากจีโนมิกส์
มีไบโอเทคโนโลยี ซึ่งเป็นธีมใหญ่ มีโอกาสเติบโตสูงเหมือนกับจีโนมิกส์ นอกจากนี้ยังมีธีม Wellness Healthcare และธีมที่โฟกัสไปที่เครื่องมือการแพทย์
Q: ถ้ามีเวลาลงทุนเท่ากัน 10 ปี ระหว่าง Global ETF และ Thematic Optimize และจะใช้แผน DCA ได้กองเดียว กับลงทุนก้อนเดียวทิ้งไว้ จะเลือกใช้แผนไหนกับกองไหน
อยู่ที่ว่า คุณโอเคกับความผันผวนได้แค่ไหน ถ้ารับได้ Thematic Optimize เป็นตัวเลือกที่ดีกว่า เพราะผลตอบแทนเฉลี่ย 10-15% ต่อปีตามหลักการ แต่ผลตอบแทนจะการันตีอนาคตไม่ได้ เพราะมันคือ AI และอัลกอริทึมของ Jitta Wealth
แต่ถ้าโอเคกับผลตอบแทนนิ่งๆ เลือก Global ETF ใช้แผน DCA ได้ผลตอบแทนเฉลี่ย 8-10% ต่อปี ต่อให้ผันผวนยังไง ผลตอบแทนต่อปีไม่ต่ำกว่า 8% อยู่แล้ว
ลองคิดถึงระยะเวลา 8-10 ปีที่ผ่านมา หากเลือกธีมจัดพอร์ตเอง 4 ธีมแบบ Thematic DIY ผลตอบแทนเฉลี่ยจะดีกว่า ETF อิงดัชนี เพราะมันเป็นการลงทุนในเมกะเทรนด์ และยังมีการเติบโตต่อ และถ้าคาดการณ์ว่า อนาคตจะเป็นในรูปแบบเดียวกัน เทคโนโลยียังคงดิสรัปโลก พอร์ตลงทุน Thematic Optimize ย่อมสูงกว่า ETF อิงดัชนี ซึ่งก็คือ Global ETF
Q: หาก DCA ใน Thematic Optimize แล้วให้ระบบปรับพอร์ตไปเรื่อย จะส่งผลดีกว่าหรือไม่
ให้มองว่า เป็นการ DCA ในกองทุนส่วนบุคคล ที่มี AI วิเคราะห์เลือกธีมให้ บริหารจัดการพอร์ตให้เสร็จสรรพ คุณมั่นใจผลตอบแทนระยะยาว 10-15% ต่อปี ดังนั้น DCA ไปเรื่อยๆ ต่อเนื่องได้ มั่นใจในโอกาสเติบโตในระยะยาว ซึ่งจะไม่แตกต่างจากการลงทุนในกองทุนดัชนี เป็นการเพิ่มทุนให้เงินทำงานในกองทุนส่วนบุคคล ไม่เกี่ยวกับสินทรัพย์ในพอร์ต
Q: หากจับจังหวะตลาด ควรเข้าช่วงไหน
ถ้าคุณคาดการณ์ได้ รู้ว่าช่วงไหนหุ้นมีราคาถูก ก็สามารถจับจังหวะลงทุนได้ แต่ส่วนมาก ตอบไม่ได้ หรือคาดการณ์ไม่ถูก เพราะจังหวะลงทุนและภาวะตลาด ประกอบไปด้วยปัจจัยหลายอย่าง และที่ยาก คือ นักลงทุนเป็นล้านๆ คนทั่วโลก ล้วนมีเหตุผลและอารมณ์ที่จะสนองต่อตลาดหุ้นต่างกัน หากคุณเข้าลงทุนตอนราคาถูก มีโอกาสทำได้ และใช้โชคด้วยเช่นกัน
หากคุณใช้ทักษะ ไม่ใช้โชค ให้เลือกทรัพย์สินที่ดี และหลักการลงทุนเป็น Blue Print ระยะยาว เช่น มองไปอีก 20 ปีข้างหน้า ลงทุนปีละ 100,000 บาท รวมทั้งพอร์ตเท่ากับ 2 ล้านบาท หากลงทุนไปในช่วงแรกๆ ขาดทุนไปแล้ว 50,000 บาท เทียบกับเงิน 100,000 บาทอาจจะดูเยอะ แต่ถ้าเทียบกับพอร์ตอนาคตที่ 2 ล้าน ขาดทุนมันอาจจะไม่กี่เปอร์เซนต์ ถ้าคุณยัง DCA ต่อ ผลตอบแทนจากพอร์ตก็จะกลับขึ้นมามีกำไร
มันเป็นการสร้างพอร์ตลงทุน โดยไม่กลัวความผันผวน ถ้าวางแผนระยะยาว เริ่มลงทุนตอนนี้จะดีกว่าไม่เริ่มเลย สุดท้ายผลตอบแทนจากเงินทำงานจะส่งผลเองในอนาคต อย่างเก็บไว้เป็นเงินฝาก ได้ดอกเบี้ยไม่สูง ตัวเลขในบัญชีไม่ลดก็จริง แต่มูลค่าระยะยาวจะลดลงตามเงินเฟ้อ ขณะที่ลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงที่มีโอกาสเติบโต พอร์ตลงทุนที่ปลายทางไม่ลด แต่ในช่วงสั้นๆ มูลค่าจะลดบ้าง ตามความผันผวนในตลาดหุ้น
Q: ภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น สินทรัพย์ประเภทพันธบัตรมีผลกระทบต่างกับหุ้นหรือไม่
ตราสารหนี้มีผลกระทบโดยตรงกับเทรนด์การขึ้นดอกเบี้ย เพราะผลตอบแทนคงที่ (Fixed Rate) ดังนั้นเมื่อดอกเบี้ยขึ้นหรือลง มันเกิดการเปรียบเทียบผลตอบแทนได้ชัดเจน หากดอกเบี้ยปรับเพิ่มขึ้น ทำไมต้องถือพันธบัตรระยะยาว สู้มาลงทุนตราสารหนี้ระยะสั้นดีกว่า สุดท้ายความเสี่ยงไม่ต่างกัน หากเลือกตราสารหนี้เครดิตสูงระดับ Investment Grade
แต่การตอบรับของราคาหุ้นต่อการขึ้นดอกเบี้ยจะแตกต่างกัน เพราะภาพรวมหุ้นมีหลายหลายระดับ ถ้าเป็นหุ้นดี ต่อให้ดอกเบี้ยขึ้น เงินเฟ้อแค่ไหน ราคาหุ้นและผลตอบแทนยังคงโดดเด่นอยู่ดี เพราะดูกันที่บริษัทขายสินค้าและบริการได้ไหม มีจุดเด่นอย่างไร ขึ้นราคาตามเงินเฟ้อได้ไหม และมีอำนาจต่อรองในตลาดสูงหรือไม่
ดังนั้นภาวะดอกเบี้ยขึ้นและเงินเฟ้อ ธุรกิจที่จะกระทบ คือ มีคู่แข่งมากมาย ขึ้นราคาไม่ได้ ตลาดมีทางเลือกเยอะ ดังนั้นธุรกิจที่แข็งแกร่งมากพอ ไม่ว่าจะเกิดอะไรในระดับเศรษฐกิจมหภาค คนยังต้องการใช้สินค้าและบริการ ในระยะสั้นๆ ราคาหุ้นอาจจะแกว่งตามตลาดหุ้น และระยะยาวจะเป็นสินทรัพย์ผู้ชนะ
Q: Jitta Wealth จะออกแคมเปญกระตุ้น DCA หรือไม่
ปกติจะมีกิจกรรมพิเศษกระตุ้นให้เพิ่มทุนอยู่เรื่อย และโพรโมชันต่างๆ ที่คุณได้รับจะใช้ Machine Learning แต่ละคนจะได้โพรโมชันที่แตกต่างกัน Personalize ตามพอร์ตลงทุน
แต่การ DCA คือวินัยการลงทุนที่สำคัญ ต่อให้ไม่มีกิจกรรมพิเศษ ก็ควรลงทุนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อผลตอบแทนในระยะยาวที่ดีกว่ารอแคมเปญ ลงทุนเพื่อตัวคุณเองให้พอร์ตเติบโต เป็นปัจจัยที่คุณควบคุมได้ แต่ถ้ามีแคมเปญ ถือเป็นของแถม เหมือนเป็น Icing on the Cake พอร์ต Jitta Wealth และการ DCA เป็นตัวเค้กที่ดีอยู่แล้ว ส่วนกิจกรรมพิเศษเหมือนเป็นครีมไอซิง
นี่คือ มุมมองทั้งหมดจาก Exclusive Q&A with CEO ของ Jitta Wealth ประจำเดือนธันวาคม 2564 กับคุณเผ่า ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์
ขอฝากให้คุณช่วยกันโหวต หากคุณมั่นใจใน Jitta Wealth เป็นตัวแทนสตาร์ตอัป WealthTech สัญชาติไทย ได้รับการเสนอชื่อจากหนังสือพิมพ์ Bangkok Post ในด้าน Rising Star Company of the Year และ Most Trusted Financial Services Company ของ Bangkok Post Readers’ Choice Awards 2021 อยากเชิญชวนให้คุณร่วมโหวต เพื่อให้กำลังใจ Jitta Wealth ได้พัฒนากองทุนส่วนบุคคลที่มีศักยภาพเติบโต ประยุกต์ใช้ AI และระบบลงทุนอัตโนมัติมาช่วยรักษาวินัยการลงทุน โดยคุณสามารถเข้าไปร่วมโหวตได้ที่นี่ https://www.bangkokpost.com/readers-choice-awards-2021-voting
อ่านสรุป Webinar ย้อนหลัง
ถาม-ตอบกับ Jitta Wealth ใน Investor Exclusive ไตรมาสที่ 4 ปี 2564
Exclusive Q&A with CEO อัปเดตการลงทุน Jitta Wealth เดือนตุลาคม
Exclusive Q&A with CEO อัปเดตการลงทุน Jitta Wealth เดือนกันยายน