Skip to content - ข้ามไปที่เนื้อหา
Blog

Exclusive Q&A with CEO อัปเดตการลงทุน Jitta Wealth เดือนตุลาคม


เนื้อหาสำคัญ

Exclusive Q&A with CEO เป็น Webinar ที่ทีมงาน Jitta Wealth จัดขึ้นเป็นประจำทุกเดือน เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับบริการกองทุนส่วนบุคคล Jitta Wealth และตอบข้อสงสัยของนักลงทุนที่สนใจ 

คุณสามารถรับชม Webinar ย้อนหลังได้ทาง Facebook หรือ Youtube หรืออ่านสรุปคำถาม-ตอบ จากนักลงทุนทางบ้านได้ในบทความนี้

ดู Webinar ย้อนหลัง

สรุป Exclusive Q&A with CEO เดือนตุลาคม

Q: Jitta Wealth มีการวางแผนรับมือไว้อย่างไรบ้าง เมื่อตลาดมีความผันผวน เช่น ภาระหนี้สาธารณะของแต่ละประเทศ การเปลี่ยนแปลงมาใช้สกุลเงินดิจิทัล

หลักการลงทุนของ Jitta Wealth และ AI เป็นหลักการลงทุนที่พิสูจน์มาแล้วว่า จะได้รับผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว ปัญหาในเรื่องของวิกฤตหรือความผันผวนที่เกิดขึ้น ถ้าเราย้อนกลับไปดูโลกของการลงทุนในช่วง 20-30 ปีที่ผ่านมา จะมีทั้งวิกฤตใหญ่ๆ และวิกฤตย่อยๆ เสมอ 

Jitta Wealth เชื่อตามที่ Warren Buffett บอกว่า “Predicting the rain doesn’t count; building arks does.” การเดาว่าฝนจะตก หรือน้ำจะท่วมเมื่อไรไม่มีประโยชน์ สิ่งสำคัญคือ การสร้างเรือที่แข็งแรง เพราะต่อให้เกิดอะไรขึ้น คุณก็จะอยู่รอด 

AI วิเคราะห์หุ้น หรือ ETF (Exchange Traded Fund) ที่มีพื้นฐานที่ดี ทำให้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เรือหรือพอร์ตลงทุนของคุณจะแข็งแกร่งพอที่จะผ่านวิกฤตไปได้ พร้อมที่จะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ในระยะยาว 

สถานการณ์ต่างๆ อาจจะทำให้ตลาดเงินตลาดทุนมีความผันผวน ทั้งภาพรวมระดับประเทศและระดับโลก แต่หลักการลงทุนของ Jitta Wealth คุณมั่นใจได้ว่า AI ที่เราใช้จะพาคุณผ่านวิกฤตต่างๆไปได้ 

อีกมุมหนึ่ง เมื่อเกิดวิกฤตย่อมมีธุรกิจหรืออุตสาหกรรมล้มหายตายจากไป เพราะฉะนั้นในภาพใหญ่ คุณควรลงทุนในธุรกิจที่มีพื้นฐานดี และมีการเติบโต ได้ประโยชน์จากวิกฤตที่เกิดขึ้น หรือสามารถผ่านวิกฤตที่เกิดขึ้นไปได้ 

เช่น Global ETF เป็นการจัดพอร์ตลงทุนในหุ้นชั้นนำทั่วโลกและตราสารหนี้ชั้นดี มีการกระจายความเสี่ยง ดัชนีอ้างอิงของหุ้นที่พื้นฐานดี จะพอพอร์ตผ่านวิกฤตไปได้ ถ้าพอร์ตขาดทุนจนหมด ก็แสดงว่าโลกทุนนิยมล่มสลายไปแล้ว 

Thematic เลือกลงทุนในธีมที่เป็นเมกะเทรนด์ แม้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ สุดท้ายคนยังคงต้องใช้จ่ายกับเมกะเทรนด์พวกนี้อยู่ เพราะฉะนั้นธีมเหล่านี้ก็จะยังเติบโตไปได้ 

Jitta Ranking เป็นการวิเคราะห์หุ้นที่มีงบการเงินที่ดี ราคาเหมาะสม เมื่องบการเงินแข็งแรงดี นั่นหมายความว่า บริษัทมีความสามารถในการแข่งขันสูง ผ่านวิกฤตต่างๆ ไปได้ดีเช่นกัน 

อีกเรื่องที่สำคัญคือ การกระจายความเสี่ยง คุณรู้ว่า โลกของการลงทุนไม่มีอะไรแน่นอน สิ่งที่เกิดขึ้นอาจจะกระทบหุ้นบางตัวในพอร์ตได้ ต่อให้คุณมั่นใจในการวิเคราะห์แค่ไหนก็ตาม มันยังมีเหตุการณ์อื่นๆ ที่คุณไม่รู้เกิดขึ้นในอนาคตได้เสมอ 

แต่ Jitta Wealth มีการกระจายความเสี่ยงในทุกนโยบาย ทำให้ภาพรวมของพอร์ตจะไม่เสียหาย พอร์ตจะยังคงเติบโตได้ เราจะสร้างพอร์ตที่แข็งแกร่งที่จะพาคุณผ่านวิกฤตไปได้ 

Q: ในภาวะเรื่องหนี้และเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ไม่แน่นอนในปีหน้า นักวิเคราะห์หลายคนแนะนำว่า ไม่ควรลงทุนในพันธบัตรระยะกลางและยาว ทาง Jitta Wealth จะปรับสัดส่วนการลงทุน ระหว่างพันธบัตรกับหุ้นอย่างไร 

Jitta Wealth จะปรับพอร์ตตามข้อเท็จจริง เราจะไม่ปรับตามความคิดเห็น เพราะมีทั้งถูกและผิด เราจะไม่ปรับตามความคิดเห็นของใครคนใดคนหนึ่ง สหรัฐฯ ก็มีเหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นตลอดเวลา ซึ่งราคาหุ้นก็อาจจะขึ้นหรือลงตามข่าวสารได้ 

สิ่งที่ Jitta Wealth ทำคือ การปรับสมดุลของพอร์ต เช่น Global ETF ถ้าคุณลงทุนแผนเติบโต หุ้น 80% และพันธบัตร 20% ไม่ว่า จะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น เราก็จะปรับสัดส่วนตามความเหมาะสมที่เกิดขึ้นในช่วงนั้น เป็นการปรับสมดุลของพอร์ตอย่างสม่ำเสมอ 

คุณไม่จำเป็นต้องคิดมากในสิ่งที่คุณควบคุมไม่ได้ สิ่งสำคัญคือ คุณมีหลักการลงทุนหรือกลยุทธ์ที่เอามาใช้ประโยชน์ในการปรับพอร์ตได้อย่างถูกต้อง เป็นสิ่งที่ระบบของ Jitta Wealth ทำให้อยู่แล้ว เรามองในภาพใหญ่ว่า ในระยะยาว ตลาดหุ้นในประเทศที่ดี มีเสรีภาพทางเศรษฐกิจสูง ตลาดในประเทศนั้นก็จะเติบโต ด้วยหลักการของ Jitta Wealth จะสร้างพอร์ตที่แข็งแกร่ง สามารถผ่านวิกฤตไปได้ในระยะยาว 

Q: สถานการณ์จีนปัจจุบันเป็นอย่างไรบ้าง 

ตอนนี้ดีขึ้น แม้ว่าปีนี้ทางการจีนจะควบคุมอะไรหลายอย่างมาก แต่ในส่วนของแผนพัฒนาเศรษฐกิจก็เน้นไปที่แผนพัฒนา New Technology 

แนวคิดของจีนคือ ปล่อยให้ผู้ประกอบการได้ลองผิดลองถูกไปก่อน เมื่อเรียบร้อยแล้วทางรัฐบาลจะเข้ามาดูแล เมื่อถึงจุดที่รู้สึกว่าอุตสาหกรรมเริ่มใหญ่มากเกินไป อาจจะส่งผลเสียกับประชาชน การเข้ามาตรวจสอบและดูแล เพื่อไม่ให้กระทบกับภาพรวมของประเทศ หากเกิดวิกฤตขึ้น 

ปีนี้ จีนรู้ดีว่า GDP ของเขาจะเติบโตมาก จากมีฐานต่ำ เพราะ Covid-19 ในปีที่ผ่านมา ทำให้จีนพยายามที่จะชะลอ เพราะรู้ว่า GDP เขาถึงเป้าแน่นอน แต่ในหลายปีต่อจากนี้ จีนมีแผนที่ชัดเจนอยู่แล้วว่า ต้องการผลักดันประเทศไปทางไหน จีนต้องการให้ GDP เติบโต 5-6% ต้องการที่จะแซงหน้าสหรัฐฯ เพื่อเป็นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ให้ได้ 

แต่ภาพใหญ่ของอุตสาหกรรมในจีนก็เป็นเมกะเทรนด์อยู่ ผลกระทบตอนนี้คือ ผลกระทบระยะสั้น นักลงทุนในจีนก็เชื่อมั่นว่า ถึงจีนจะควบคุม แต่สุดท้ายเป้าหมายของรัฐบาล คือเศรษฐกิจของประเทศที่เติบโตระยะยาว 

Q: วิกฤติ China Evergrande จะมีผลกระทบหรือไม่ 

ล่าสุดรัฐบาลจีนยืนยันว่า จัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว นี่คือความมหัศจรรย์ของรัฐบาลจีนคือ เขาสามารถควบคุมทุกอย่างได้อย่างเบ็ดเสร็จ เพื่อไม่ให้เกิดวิกฤตได้ 

ถ้าย้อนกลับไปในวิกฤตนี้ ความเสี่ยงมีหลายชั้นด้วยกัน ชั้นแรกคือ ความเสี่ยงในตัวของ China Evergrande เอง ชั้นที่สองคือ ความเสี่ยงที่เป็นโดมิโนในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ 

ความเสี่ยงแรก China Evergrande มีหนี้เยอะ ในช่วงที่อังสหาริมทรัพย์ของจีนเฟื่องฟู แต่บริษัทก็มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สินด้วย สุดท้ายรัฐบาลจีนก็จะเข้ามาช่วย ซื้อทรัพย์สินทั้งหมด แต่รัฐบาลจีนก็เลือกให้เจ้าหนี้ลูกหนี้ได้ตกลงกัน ซึ่งมันก็จบ ต่อให้เจ๊งไปเลย ก็ไม่ได้กระทบกับภาพใหญ่มาก ถ้าเรามีการกระจายความเสี่ยงที่ดี มันจะไม่มีปัญหาอะไร 

ในส่วนของโดมิโนในอุตสาหกรรม เป็นเรื่องที่คนกังวลมากที่สุด ถ้าเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นจริงๆ จีนเองก็สามารถแก้ไขได้โดยการใช้มาตรการ QE (Quantitative Easing) รัฐบาทซื้อทรัพย์สินได้ทุกอย่าง แล้วค่อยมาว่า กันใหม่ ซึ่งเป็นสิ่งที่สหรัฐฯ เคยทำก่อน และจีนก็เรียนรู้มา 

Jitta Wealth คาดการณ์ว่า ความเสี่ยงจากวิกฤต China Evergrande จะไม่ส่งผลกระทบมากอย่างที่กังวลต่อการลงทุนกับ Jitta Wealth โดยเรามีหลักการคือ ดูจากภาพใหญ่ของเศรษฐกิจและธุรกิจ มุ่งเน้นการลงทุนระยะยาว 

นโยบายของ Jitta Wealth มีผลกระทบทางอ้อม หากว่า คุณเข้าใจสภาวะของตลาด เมื่อเห็นราคาหุ้นตกมาในช่วงนี้ อาจจะเป็นโอกาสที่คุณสามารถเพิ่มทุน เพื่อลงทุนในช่วงที่ราคาถูก และสร้างผลตอบแทนเพิ่มเติมให้กับพอร์ตของคุณได้ในอนาคต 

Q: ปัจจุบันพอร์ตลงทุนใน Jitta Ranking จีน ค่อนข้างผันผวนมาก ควรลงทุนต่อหรือย้ายไปนโยบายอื่น

หากคุณตั้งเป้าลงทุนระยะยาว แนะนำให้เพิ่มทุนในช่วงตลาดหุ้นขาลง สิ่งที่สำคัญที่สุดในการลงทุนระยะยาวคือ การควบคุมอารมณ์ของตัวเอง เพราะหากคุณเชื่อว่า คุณลงทุนในสินทรัพย์ที่จะเติบโตในอนาคต และปัจจุบันพอร์ตได้รับผลกระทบจากข่าวร้ายที่ทำให้ตลาดอยู่ในช่วงขาลง การเพิ่มทุนเป็นโอกาสที่ดีที่สุด ที่จะทำให้คุณได้หุ้นในราคาถูก

สาเหตุที่ทำให้พอร์ตติดลบจากข่าวด้านลบระยะสั้นๆ ปกติแล้วข่าวร้ายจะค่อยๆ คลี่คลายไปเอง และทำให้การเติบโตของพอร์ตกลับมาสู่สภาวะปกติอีกครั้ง

Q: ปัจจุบันค่าเงินบาทอ่อน ควรรอไปก่อน สำหรับการลงทุนในต่างประเทศหรือไม่

หากต้องการลงทุนระยะยาว จำเป็นต้องแยกระหว่างค่าเงินและการลงทุนออกจากกัน เมื่อมองภาพการลงทุนระยะยาว ในอดีตที่ผ่านมา อัตราแลกเปลี่ยนมักจะผันผวนไปมาอยู่เสมอ หากคุณเกิดกลัวและไม่กล้าลงทุนในช่วงเวลา 10 ปี จะทำให้คุณเสียโอกาสการลงทุนได้ เพราะเงินของคุณจมอยู่กับที่และไม่ได้ทำงานให้เติบโต ซึ่งการลงทุนในหุ้นระยะยาว ผลตอบแทนรวมเติบโตสูงกว่าและทดแทนทิศทางอัตราแลกเปลี่ยนอยู่แล้ว

ในทางกลับกัน หากคุณเป็นนักลงทุนระยะสั้น จำเป็นต้องศึกษาเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน เพราะจะส่งผลต่อพอร์ตของคุณ ดังนั้นทิศทางอัตราแลกเปลี่ยนความเสี่ยงเป็นภาวะตลาดที่คุณไม่สามารถควบคุมได้

Q: หากลงทุนใน Thematic Optimize และต้องการจะ DCA (Dollar-cost Averaging) ทุกไตรมาส จะมีช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดเพื่อเพิ่มทุนเข้าไปในพอร์ตหรือไม่

โดยปกติแล้ว Thematic Optimize จะปรับพอร์ตลงทุนอัตโนมัติทุก 90 วัน นับตั้งแต่เริ่มซื้อสินทรัพย์ในครั้งแรก หากต้องการ DCA เพิ่มทุนก่อนช่วงปรับพอร์ต แนะนำให้เพิ่มทุนช่วงกลางๆ ซึ่งอาจเป็นวันที่ 45-50 ก่อนที่ AI จะปรับพอร์ตของคุณโดยอัตโนมัติ

Q: ทำไม Thematic Optimize ถึงเลือกธีมที่ผันผวนน้อยที่สุด และทำไมถึงไม่มองความผันผวนว่า เป็นโอกาสลงทุน

เนื่องจากธีมที่มีความผันผวนมาก จะทำให้เราไม่รู้ถึงความเสี่ยงว่า จะส่งผลกระทบในด้านดีหรือด้านลบต่อพอร์ตลงทุน ทำให้ Jitta Wealth มองว่า เมื่อ ETF มีความผันผวนมากเกินไป อาจทำให้เป็นความเสี่ยงด้านลบที่ส่งผลกระทบต่อพอร์ตได้เช่นกัน อัลกอริทึมที่ออกแบบมาจึงเลือกจำกัดความเสี่ยงเอาไว้ก่อน 

โดยปกติแล้ว AI ของ Thematic Optimize จะเลือกธีมที่มีโอกาสเติบโต และมีผลตอบแทนที่ดีด้วยเช่นกัน คุณสามารถสบายใจได้ว่า การลงทุนของคุณจะไม่เสี่ยงมากจนเกินไป แต่ยังให้ผลตอบแทนที่น่าพอใจกับคุณ

Q: Jitta Wealth มีการติดตามข่าวสารบ้างหรือไม่ และไม่ได้พึ่งแค่ AI อย่างเดียวใช่ไหม

การลงทุนของ Jitta Wealth จะใช้ AI ในการเลือกสินทรัพย์และจัดพอร์ต แต่เรามีทีมงานที่ช่วยติดตามข่าวที่ส่งผลกระทบต่อการลงทุนอยู่ด้วย เพื่ออัปเดตให้คุณทราบอยู่ตลอดเวลา

ทีมงานจำเป็นต้องคัดกรองข่าวที่ชัดเจน ถูกต้อง ซึ่งบางข่าวอาจส่งผลกระทบต่ออารมณ์ของนักลงทุน จึงเป็นข้อได้เปรียบของการใช้ AI ในการลงทุน เพราะว่า AI จะคัดเลือกสินทรัพย์โดยปราศจากอารมณ์ และข่าวที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่ จะส่งผลกระทบเพียงระยะสั้นเท่านั้น ทั้งในด้านบวกและด้านลบ

อัลกอริทึมของ AI จะคำนวณและคัดเลือกสินทรัพย์โดยปราศจากอคติ หาก AI พบว่าในช่วงเวลานั้นเหมาะสมที่จะลงทุน AI จะทำงานให้ทันที แต่ถ้านช่วงเวลานั้นพบว่า สินทรัพย์ยังมีความผันผวนอยู่มาก และไม่ใช่ช่วงเวลาเหมาะสมที่จะลงทุน AI ก็จะตัดสินทรัพย์นั้นออก หรือปรับให้อยู่ในสัดส่วนที่เหมาะสม เพื่อลดความผันผวนในพอร์ต

Q: ตอนนี้อายุเกิน 60 ปี สนใจลงทุน แผนการลงทุนจะแตกต่างจากนักลงทุนอายุน้อยหรือไม่

สิ่งที่แตกต่างกันคือ ช่วงระยะเวลาการลงทุน เพราะช่วงอายุน้อยจะสามารถรับความเสี่ยงได้สูง และเมื่ออายุของคุณมากขึ้น คุณจะรับความเสี่ยงได้น้อยลง สำหรับอายุ 60 ปี ยังไม่สายเกินไปที่จะลงทุน เพราะปัจจุบันคนอายุยืนมากขึ้นเรื่อยๆ และการลงทุนดีกว่าการไม่ลงทุนเสมอ 

โดยเริ่มจากการจัดสรรรายได้ของตัวเองก่อนว่า มีรายได้เสริมอะไรบ้าง และแบ่งเงินจากรายได้บางส่วนมาลงทุน แนะนำให้ลงทุนในสินทรัพย์ ที่ทำให้เงินของคุณเติบโตเอาชนะเงินเฟ้อได้ในอนาคต

ทาง Jitta Wealth มีนโยบายที่เหมาะสมกับการลงทุนในทุกช่วงอายุ คือ Global ETF ที่คุณสามารถเลือกแผนการลงทุนตามความเสี่ยงที่คุณรับได้ และทำให้เงินได้เติบโตตามแผนการลงทุนที่คุณเลือก

Q: ทิศทางดอกเบี้ยปรับขึ้น ลงทุนแผนไหนของ Global ETF เหมาะสมที่สุด

ด้วยหลักการ MPT (Modern Portfolio Theory) จะจัดสัดส่วนพอร์ตลงทุนตามผลตอบแทนคาดหวัง สิ่งที่คุณต้องเลือก คือ ความเสี่ยงที่ยอมรับได้กับผลตอบแทนที่ต้องการ ทิศทางดอกเบี้ย รวมไปถึงอัตราแลกเปลี่ยน มีผลกับทุกแผนของ Global ETF อยู่แล้ว เพราะเป็นความเคลื่อนไหวแบบ Cyclical Trend มีขึ้นมีลง 

สำหรับ Global ETF ลงทุนนาน 3 ปี พอร์ตจะเติบโตตามผลตอบแทนคาดหวัง และผลตอบแทนจะ Offset (ชดเชย) กับทิศทางดอกเบี้ยและอัตราแลกเปลี่ยน โดยเฉพาะ DCA เป็นการเฉลี่ยต้นทุนในพอร์ตในช่วงเวลาที่เพิ่มทุน ทำให้ผลตอบแทนโดยรวมสามารถตัดปัจจัยด้าน Cyclical Trend ได้

Q: อยากทราบหลักการ QVI (Quantitative Value Investing) ของแต่ละนโยบายของ Jitta Wealth

QVI เป็นหลักการลงทุนเน้นคุณค่า (VI – Value Investing) ถูกนำไปใช้หลายๆ สูตร อย่าง Benjamin Graham ผู้เขียน The Intelligent Investor ที่วิเคราะห์เงินสด ลูกหนี้การค้า และ Inventory (สินค้าคงเหลือ) ดูงบการเงินของบริษัท แล้วกระจายความเสี่ยงลงทุนใน 30 หุ้น ผลตอบแทนก็ชนะตลาด เป็นสูตรคิดมูลค่ากิจการจากซาก และซื้อหุ้นในราคาต่ำกว่ามูลค่าซาก 

หลักการแบบ Magic Formula Investing ในหนังสือ Little Book That Beats The Market ของ  Joel Greenblatt เชิงที่วิเคราะห์มูลค่าหุ้นผ่าน ROE (Return On Equity) และ Enterprise Value (EV) Per Ebitda แล้งลงทุนใน 30 บริษัท ปรับพอร์ตไปเรื่อย และก็มีหลักการของดร. ไพบูลย์ เสรีวัฒนา รายการ Money Talk ที่ลงทุนตาม Dividend 

ทุกสูตรคือการหาคุณภาพของแต่ละของบริษัท Jitta Wealth มีสูตรคล้ายๆ กัน เราใช้เทคโนโลยีมาช่วย แต่พัฒนา AI มาคิดคำนวณ Factor มากกว่าเยอะ คิดจากงบการเงินย้อนหลัง 10 ปี ดังนั้นจะวิเคราะห์มูลค่ากิจการได้ทั้งเชิงคุณภาพและปริมาณ QVI จึงเป็นหัวข้อที่ใหญ่มาก สุดท้ายมูลค่ากิจการคือสัจธรรมการลงทุน ราคาหุ้นวิ่งตามปัจจัยพื้นฐาน ที่เราควรลงทุน คือหุ้นที่กำลังโต เพราะโอกาสขาดทุนหนักๆ ก็น้อยกว่า

Q: แนะนำ Jitta Ranking แผนใด หากเลือกลงทุนนาน 15 ปี

เลือก Jitta Ranking หุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ เพราะเป็นอุตสาหกรรมที่แข็งแกร่ง มี Cash Cow สูง ผลกำไรเติบโตย่างสม่ำเสมอ และไม่ต้องกังวลเรื่องกฎระเบียบจากรัฐบาล เพราะกว่าจะผ่านร่างกฎหมายได้ ต้องผ่านการพิจารณาหลายขั้นตอน จนกว่าจะบังคับใช้

ส่วนจีนก็เป็นประเทศที่กำลังเติบโตสูง หากจะลงทุนในตลาดหุ้นระยะยาว ก็ควรล้อกับไปมูลค่าทางเศรษฐกิจของประเทศที่มีประชากรเยอะ มีธุรกิจใหญ่ และมีการขยายตัวทั่วโลก จึงเป็นที่มาของเบอร์ 1 และ 2 อย่างสหรัฐฯ และจีน ซึ่งเบอร์ 2 ยังเติบโตได้ดี แต่ยังไม่สูงเท่าสหรัฐฯ 

Q: เงินลงทุนเริ่ม Thematic เท่าไร ที่มีประสิทธิภาพต่อพอร์ตมากที่สุด

ตามหลักการแล้ว ขั้นต่ำ 100,000 บาทก็จัดสัดส่วนได้ดีแล้ว ถ้าเพิ่มทุนอย่างสม่ำเสมอ จะสร้างโอกาสให้มูลค่าพอร์ตเติบโตได้ดีตามเมกะเทรนด์ในระยะยาว

Q: จะเลือกลงทุน Thematic DIY หรือ Thematic Optimize เดิมจัดหลายๆ พอร์ต ลงทุน 15 ธีม

ถ้ามั่นใจ ก็เลือกจัดพอร์ตเองแบบ Thematic DIY ถ้าไม่มั่นใจ เลือกจัดพอร์ตให้ AI เลือกให้แบบ Thematic Optimize ซึ่งตามหลักการที่ Jitta Wealth ทำมาคือ มีโอกาสสร้างผลตอบแทนดีกว่า 90% เพราะมีระบบบริหารจัดการให้อยู่แล้ว ทำได้ดีกว่า 

แต่ถ้าลง 15 ธีม จัดพอร์ตเองแบบ Thematic DIY ก็ได้แล้ว DCA อย่างสม่ำเสมอ เพราะเป็นการลงทุนในเมกะเทรนด์ที่เติบโตในระยะยาวอยู่แล้ว ดังนั้นจะเลือกแผนไหน ไม่มีถูกไม่มีผิด

Q: ยกตัวอย่างพอร์ตที่เริ่มลงทุนแล้วขาดทุน ใช้เวลากลับมามีกำไรนานไหม

ขึ้นอยู่ช่วงเวลาที่เริ่มลงทุนด้วย อย่าง Global ETF โอกาสขาดทุนน้อย เพราะกระจายลงทุนในสินทรัพย์อย่างตราสารหนี้และหุ้น ใช้เวลาประมาณ 6 เดือน ส่วน Jitta Ranking ลงทุนแล้วให้เงินทำงานสักระยะ 3-6 เดือน จะเริ่มเห็นกำไรอยู่แล้ว 

หลังการ MPT และ VI ภาพพอร์ตลงทุนระยะยาวต้องเป็นบวก โดย 90% นักลงทุนจะไม่มองงบการเงินเพื่อดูคุณภาพกิจการ 

ส่วน Thematic จะคาดการณ์ยาก เพราะเป็นการลงทุนรายธุรกิจ อย่าง Thematic DIY จะขึ้นอยู่กับการเลือกธีม พอร์ตลงทุน 1 ธีม มีปัญหาแน่นอน เพราะอาจจะติดลบได้ พอร์ตลงทุน 4 ธีม จะไม่ขาดทุนมาก แต่เป็นการมองระยะยาวและเชื่อมั่นว่า ธีมธุรกิจและเมกะเทรนด์นี้จะเติบโต เมื่อรายได้ของบริษัทในแต่ละธีมยังเติบโตอยู่ สุดท้ายราคา ETF ก็ต้องวิ่งกลับมา เมื่อบริษัทรายได้มากขึ้น ราคาหุ้นจะไม่อยู่ที่เดิม ตามสถิติ คือ ทุกๆ 10 ปี หุ้นจะเป็นขาขึ้น 7 ปี 

Q: มุมมอง Jitta Wealth ต่อธีมกัญชา จะเริ่มกลับมามีกำไรเมื่อไร

ธุรกิจกัญชาอยู่ในช่วง Early Adoption เป็นเฟสเริ่มต้นของอุตสาหกรรมทั่วโลก การบริโภคยังจำกัด ไม่แพร่หลาย แต่คาดว่า จะเติบโตสูงในอนาคต ดูจากปริมาณการซื้อขายในตลาดมืดที่มี 90% และถูกกฎหมายมีเพียง 10% ดังนั้นมูลค่าตลาดทั่วโลกจริงๆ โตได้อีก 10 เท่า นี่ยังไม่นับรวมการเอาสารสกัดจากกัญชา ทั้ง THC และ CBD มาผสมในสินค้าอุปโภคบริโภค ที่หลายๆ ผู้ผลิตกำลังศึกษาและพัฒนา 

ความท้าทาย คือ การปลดล็อกทางกฎหมายให้ใช้ได้ในทางการแพทย์และสันทนาการ ในบางรัฐของสหรัฐฯ ที่ปลดล็อกแล้ว ไม่กลับมาแก้ให้เป็นแบบเดิม เก็บภาษีจากธุรกิจกัญชาได้เป็นพันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพราะกัญชาหมือนสินค้าแอลกอฮอล์และบุหรี่ ดังนั้นภาพระยะยาวยังเติบโตดี แต่ระยะสั้น คือ ปลดล็อกทางกฎหมาย ถ้าสหรัฐฯ ทำได้ในระดับประเทศตามนโยบายของ Joe Biden ประเทศอื่นๆ ก็ทำตาม แล้วภาพรวมหุ้นในธุรกิจกัญชาจะกลับมาดีขึ้น 

Q: Jitta Wealth มีแผนสำหรับการลงทุนลดหย่อนภาษีอย่าง RMF และ SSF บ้างไหม 

ปัจจุบันยังต้องเป็นกองทุนรวมที่จะออกการลงทุนเพื่อลดหย่อนภาษีตามกฎหมาย แต่เราก็ศึกษาอยู่ ดูข้อดีข้อเสีย และโอกาส เพราะภารกิจของ Jitta Wealth คือ พอร์ตลงทุนที่ค่าธรรมเนียมถูก ได้ผลตอบแทนดีขึ้น 

ทีมงานมีเว็บไซต์ให้ความรู้ด้านสินทรัพย์และการลงทุน Passive Way มีบทความที่ศึกษามาแล้วว่า กองทุนรวมลดหย่อนภาษี สิทธิประโยชน์ที่ได้ในระยะยาว เมื่อเทียบกับกองทุนส่วนบุคคล แบบไหนคุ้มกว่ากัน เมื่อกองทุนรวมคิดค่าธรรมเนียมการจัดการสูง ผลประโยชน์จากภาษีในระยะยาวอาจจะน้อยกว่า 

Q: Jitta Wealth มีมาตรการป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์อย่างไร

เรามีทีมคอยเฝ้าระวังอยู่ แพลตฟอร์มที่ใช้อยู่ปัจจุบันอยู่บนคลาวด์ของ Google และ Amazon ที่มีความปลอดภัยสูงมาก ถ้าโดนโจมตี ก็โดนทั่วโลก หรือต่อให้มีคนแฮ็กเข้าสู่แพลตฟอร์มของ Jitta และ Jitta Wealth ได้ แม้โอกาสเกิดขึ้นจะต่ำกว่า 1% แต่ก็ไม่สามารถถอนเงิน ระบบของเราต้องให้ลูกค้ายืนยันตัวตนผ่าน SMS ทางโทรศัพท์อยู่แล้ว การโอนเงินลงทุนชื่อบัญชีรับเงินก็ต้องตรงกับเจ้าของบัญชี หากมีปัญหาที่ไม่น่าไว้วางใจ ทึมงานจะถามผู้ลงทุนก่อนเสมอ เงินไม่สูญหายแน่นอน

Q: Jitta Wealth ดีกว่าอย่างไร

ทุกบริการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นกองทุนรวมหรือกองทุนส่วนบุคคลที่มีจุดแข็งและจุดอ่อน สำหรับ Jitta Wealth พยายามสร้างกองทุนส่วนบุคคลที่เหมาะสม ค่าธรรมเนียมถูก ได้ผลตอบแทนเต็มเม็ดเต็มหน่วย ใช้เทคโนโลยีมาช่วยสนับสนุนการคัดเลือกสินทรัพย์และจัดพอร์ต ตัดอคติการลงทุนจากมนุษย์ เลือกหลักการลงทุนแบบ Passive ที่เหมาะสมกับการลงทุนระยะยาว 

ศัตรูที่ยิ่งใหญ่ คือ ภาวะจิตใจของคน ถ้าตัดไปแล้ว ให้เงินทำงาน พอร์ตลงทุนเติบโตแน่นอน ยิ่งเมื่อทำค่าธรรมเนียมให้ต่ำ พอร์ตยิ่งเติบโตได้ดี


อ่าน Exclusive Q&A with CEO ย้อนหลัง 

Exclusive Q&A with CEO อัปเดทการลงทุน Jitta Wealth เดือนกันยายน 

Exclusive Q&A with CEO อัปเดตการลงทุน Jitta Wealth เดือนสิงหาคม