สรุป Live หุ้นจีน หุ้นโลก ประเทศไหนน่าลงทุนสุด
Investor Exclusive ของ Jitta Wealth ประจำเดือนพฤษภาคม 2567 Live สดของคุณเผ่า ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ CEO และคุณอ้อ พรทิพย์ กองชุน CGO ของ Jitta Wealth กับ Live หุ้นจีน หุ้นโลก ประเทศไหนน่าลงทุนสุด AI วิเคราะห์ ‘จีน ฮ่องกง’ ยังถูกอยู่หรือไม่ หุ้นจีนขึ้นแรงตั้งแต่ต้นปี ‘ถือต่อหรือพอแค่นี้’ พร้อมส่องแนวคิด จัดพอร์ตปัง! หลังวิกฤติ
หากคุณสนใจอยากรับชม Live ของเราแบบสดๆ ในโอกาสต่อไปติดตามเราได้ที่ FacebookหรือYoutube ของ Jitta Wealth ได้เลย
ดูวิดีโอย้อนหลัง
สถานการณ์ตลาดปัจจุบัน
คุณเผ่า : เรื่องใหญ่ที่สุดก็คือ นโยบายดอกเบี้ยของ Fed ที่นักลงทุนคาดการณ์ว่าปีนี้มีโอกาสที่ Fed จะลดดอกเบี้ย ตอนแรกปีนี้ก็เก็งไว้ว่าจะลดประมาณ 3 ครั้ง แต่ล่าสุดเก็งว่าอาจจะลดรอบเดียวเท่านั้น หรืออาจจะไม่ลดแล้ว อาจจะสูงแบบนี้ ในระยะเวลาที่ยาวนานขึ้น
แต่ภาพของตลาดหุ้นอเมริกาตอนนี้ คนไม่ได้กลัวเหมือนตอนประกาศขึ้นดอกเบี้ยแรกๆ แล้ว ซึ่งผมมองว่าเคสที่แย่ที่สุดคือ อาจจะไม่ลดก็ได้ หรืออาจจะขึ้นดอกเบี้ยอีกสัก 1 ครั้ง ถ้าสงครามยังคงดำเนินต่อไป หรือมีปัญหาอะไรขึ้นมาอีก แต่ก็คงไม่ขึ้น 11 ครั้งต่อเนื่องเหมือนที่ผ่านมา
ตลาดหุ้นจะผันผวนที่สุดเมื่อมีความไม่แน่นอน ตอนนี้ต่อให้การขึ้นดอกเบี้ยของ Fed จะยังต้องจับตาดูอยู่แต่น่าจะอยู่ในระดับ 5 กว่าๆ ไปสักพัก นักลงทุนสามารถเอาตัวเลขนี้ไปช่วยในการตัดสินใจคัดเลือกหุ้นได้ ว่าหุ้นไหนจะได้ประโยชน์จากตรงนี้ แต่ก็ต้องพิจารณาความถูกแพงของหุ้นนั้นควบคู่ไปด้วย
เราจะเห็นได้ว่าถ้า Fed ไม่ลดดอกเบี้ย ตลาดหุ้นอาจจะร่วงไปพักหนึ่ง แล้วมันก็เด้งกลับขึ้นมา ซึ่งหลายๆ ตัวยังเติบโต และราคาขึ้นได้อยู่
แต่ถ้า Fed ยังไม่ลดดอกเบี้ย ก็จะกดดันตลาดหุ้นทั้งโลกอยู่ดี ให้ขึ้นยากขึ้น ถ้าไม่ได้หุ้นราคาถูกจริง หุ้นมันต้อง P/E ต่ำๆ มาก ต่ำกว่า 10 เท่า มันถึงจะน่าลงทุนมากๆ ถ้า 15-20 เท่า มันก็เริ่มเสี่ยงแล้ว
คุณอ้อ : อีกเรื่องก็คือสงครามในตะวันออกกลาง ที่เดือนที่ผ่านมาก็รุนแรงขึ้นมาอีก
คุณเผ่า : จริงๆ แล้วถ้าพูดถึงสงครามก็เป็นสิ่งที่มีมาอยู่เรื่อยๆ แต่ถ้าดูตลาดหุ้นในช่วงสงครามที่ผ่านๆ มา สุดท้ายตลาดหุ้นก็จะกลับมา
แล้วสงครามที่เราเห็นทั้งหมดตอนนี้ ก็แทบจะไม่มีผลกระทบเป็นวงกว้างเท่าไหร่ ไม่กระทบดอกเบี้ย ถ้ามันไม่ลุกลามใหญ่โตไปมากกว่านี้ แล้วไปทำให้ราคาพลังงาน ราคาน้ำมัน ขึ้นสูงมากๆ และตอนนี้อัตราดอกเบี้ยก็ไม่ได้สูงมากแล้ว
คราวก่อนสงครามรัสเซีย-ยูเครนมีผลกระทบ เพราะว่ามีเรื่องเงินเฟ้อเข้ามาด้วย ยิ่งทำให้ราคาพลังงานมันสูงขึ้น เงินเฟ้อมันก็ยิ่งสูง แต่ตอนนี้ไม่ได้เป็นแบบนั้น
ปู่ Warren Buffett เคยบอกว่า เวลาเกิดสงคราม สิ่งที่น่าลงทุนที่สุด ไม่ใช่ทองคำ แต่คือหุ้นธุรกิจดี ที่ราคาร่วงลง เป็นคำพูดที่ใช้ได้ทุกยุคทุกสมัยเลย
เพราะฉะนั้นการลงทุนระยะยาวควรดูว่า ธุรกิจของคุณรายได้และกำไรยังเติบโตหรือไม่ ถ้ามันยังโต แล้วราคามันร่วงสวนทางมา มันก็เป็นโอกาสการลงทุนที่ดีมากๆ
คุณอ้อ : อีกหนึ่งเรื่องที่ถูกพูดถึงมาโดยตลอดก็คือวิกฤติอสังหาริมทรัพย์จีน ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง
คุณเผ่า : เมื่อช่วงปลายปี ต้นปีที่ผ่านมาเราเคย Live ไปว่าเรามองเห็นจุดเริ่มต้นของจุดสิ้นสุดของวิกฤติแล้ว นั้นก็คือ China Evergrande ถูกฟ้องล้มละลายไปแล้ว ต้นตอปัญหามันจบแล้ว คนเริ่มปรับตัวได้ ธุรกิจเริ่มปรับตัวได้ อาจมีการชะลอตัวบ้างในกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ แต่กลุ่มที่ไม่เกี่ยวข้องจะเติบโตได้ดี และจะทำผลงานได้ดีมาก
ในตอนนี้วงกว้างของความเสียหายค่อนข้างจำกัดแล้ว แล้วก็เริ่มเห็นแล้วว่า Sector ที่ไม่ได้เกี่ยวข้อง ราคามันตกลงมามากๆ แล้ว เพราะฉะนั้น ถ้าใครที่อยากลงทุนจริงๆ ก็แค่หลีกเลี่ยง Sector ที่ไม่เกี่ยวข้องกับอสังหาฯ เราสามารถไป sector อื่นๆ ที่ธุรกิจเขายังเติบโตได้ดี
เหมือนอย่างช่วง Live ตอนตรุษจีน เราก็เปิดหลายๆ หุ้นดู ก็เห็นว่า 3 ปีที่ผ่านมาที่เกิดวิกฤติอสังหาฯ หุ้นหลายๆ ตัว รายได้กำไรเขาโตขึ้น ทำ New High หมดเลย นั่นคือตัวอย่างของหุ้นที่ไม่ได้รับผลกระทบในวิกฤตินี้เลย คุณจะต้องลงทุนในหุ้นเหล่านั้น
สรุปทั้ง 3 เรื่องใหญ่ๆ ที่หยิบยกมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องนโยบายดอกเบี้ยของ Fed ความไม่สงบในตะวันออกกลาง และวิกฤติอสังหาริมทรัพย์จีน ความกดดันในตลาดหุ้นไม่ได้สูงมากแล้ว โอกาสลงทุนยังมีอยู่มาก ใช้วิกฤติต่างๆ นี้มองหาหุ้นดีราคาถูกได้
ผ่าวิกฤติ 24 ปีตลาดหุ้นผ่านดัชนี MSCI World
คุณอ้อ : วิกฤติคือโอกาสของเรา เราลองมาย้อนดูกันว่า แต่ละวิกฤติดัชนีหุ้นเป็นอย่างไร และหลังวิกฤติดัชนีจะพุ่งขึ้นมาแค่ไหน
คุณเผ่า : เราลองมาดูว่าดัชนี MSCI World ที่ผ่านมาว่าเป็นอย่างไรบ้างเช่นในภาพนี้ที่จะแสดงให้เห็นว่า กว่า 24 ปี ดัชนี MSCI World เจอวิกฤติอะไรมาบ้าง ก็จะเห็นว่ามีวิกฤติมาอยู่เรื่อยๆ แต่สุดท้ายดัชนีก็เพิ่มขึ้นกว่า 4 เท่า
จะเห็นได้ว่าถ้าคุณเข้าใจตลาดหุ้น และมองภาพระยะยาวเป็น จะเข้าใจว่าวิกฤติเป็นโอกาสทั้งนั้น สำหรับคนที่มีความรู้เรื่องการลงทุน วิกฤติเหล่านี้จะเป็นโอกาส แต่ถ้าคุณมองไม่ออกมันก็อาจจะไม่ใช่โอกาส เพราะถ้าหุ้นตกหมด แล้วคุณไปซื้อหุ้นที่มันแย่ คุณก็ไม่สามารถที่จะสร้างความมั่งคั่งหรือกำไรได้ แต่ถ้าคุณเลือกหุ้นได้ถูกต้องในวิกฤติ คุณจะทำผลตอบแทนได้ดีมากตอนที่ตลาดมันฟื้นกลับขึ้นมา
คุณอ้อ : หลายคนก็อาจจะรู้สึกกดดัน เพราะฉะนั้นเวลามีวิกฤติ นักลงทุนต้องทำอย่างไร
สิ่งที่นักลงทุนควรทำช่วงวิกฤติ
คุณอ้อ : แต่เมื่อเกิดวิกฤติเข้าจริง หลายคนก็อาจจะรู้สึกกดดัน เพราะฉะนั้นเวลามีวิกฤติ นักลงทุนต้องทำอย่างไร
คุณเผ่า : อย่างแรกที่ควรทำคือ ต้องตั้งสติ ต้องบอกก่อนว่าตลาดหุ้นเป็นสิ่งที่มีเหตุผลมีผล คนที่จะทำเงินจากตลาดหุ้นได้ต้องเป็นคนที่มีเหตุผลก่อน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการวิเคราะห์ข้อมูล แต่ตลาดหุ้นที่มันผันผวนอยู่เรื่อยๆ มาจากจากอารมณ์ของคน คุณต้องไม่หวั่นไหวไปตามอารมณ์ คุณต้องตั้งสติ ลองดูว่า ณ ตอนนั้นมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น แล้วลองไปเทียบกับอดีตว่า ก่อนหน้านี้มีเหตุการณ์ที่คล้ายๆ กันเกิดขึ้นหรือเปล่า แล้วการลงทุนแบบไหนดี หุ้นตัวไหนที่ควรจะดี จะกลับมาได้
เช่น ช่วง Covid-19 มีการปิดเมือง หุ้นอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจะมีความไม่แน่นอนที่สูง เพราะฉะนั้นควรหลีกเลี่ยงไปก่อน ถ้าเรายังไม่เคยลงทุน ก็ไม่ควรแตะมัน แม้ว่ามันจะตกลงมาเยอะ แล้วเราควรกลับไปดูว่าเมื่อปิดเมือง หุ้นไหนได้ประโยชน์ เช่น หุ้นที่เกี่ยวกับอาหาร เพราะคนต้องสั่งอาหารดิลิเวอรี หุ้นอุปกรณ์ไอที เพราะคนต้อง Work From Home
เราสามารถเลือกหุ้นได้ถูกต้อง และสามารถทำผลตอบแทนได้ แล้วเราก็ค่อยๆ ปล่อยให้มันเติบโตไปตามเวลา เพราะการลงทุนมีสิ่งที่เราควบคุมได้และไม่ได้ สิ่งที่เราควบคุมได้คือเราซื้อหุ้นถูก ที่เหลือก็รอเวลา
ยกตัวอย่างปู่ Buffett ซื้อ Washington Post ไปแล้วราคาร่วงลงมาเยอะมาก ซื้อแล้วยังขาดทุนต่ออีก แต่สุดท้ายถือไป 30 ปี กำไรเป็นพันเท่า
อีกอย่างคือไม่ Panic Sell ถ้าทำอะไรไม่ได้เลย ก็นั่งทับมือไป เพราะสุดท้ายสถิติมันสรุปออกมาแล้วว่า คุณไปขายตอนตกใจ ส่วนมากมันจะเป็นราคาที่แทบจะแย่ที่สุด ถ้าคุณสามารถอดทนผ่านช่วงตกใจไปได้อีกเดือนสองเดือน ราคามันจะดีกว่าช่วงตกใจด้วยซ้ำ
และถ้าใครมีหลักการลงทุนที่แน่ชัด มีทรัพย์สินการลงทุนที่เรามั่นใจอยู่แล้ว การ DCA ก็ตอบโจทย์ที่สุด พอมีเงินก็ใส่เพิ่มไป เหมือนได้ของถูก ลดราคา ก็ต้องรีบซื้อ นี่คือสิ่งที่นักลงทุนควรที่จะทำตลอดเลย
คุณอ้อ : ช่วงวิกฤติที่ผ่านมาก็มีนักลงทุนเข้ามาปรึกษาว่าควรทำอย่างไร ขายตอนนี้ก็ขาดทุนอยู่แล้ว เราไม่รู้เลยว่าอะไรจะเป็นอย่างไร จะนานมั้ย คนส่วนมากก็กังวล
คุณเผ่า : เราควรมองระยะยาวและ คำในตลาดหุ้นที่ผมชอบคือ This too shall pass. โลกนี้จะเกิดอะไรขึ้นสุดท้ายมันก็จะผ่านไป แล้วมันก็จะเป็นอดีต เช่น Covid-19 ตอนนั้นมันน่าตกใจมาก แต่พอผ่านมา โลกก็ปกติขึ้น เพราะฉะนั้น ตลาดหุ้นก็เหมือนกัน ทุกอย่างจะผ่านไป สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือเราต้องไม่ปล่อยโอกาสให้มันผ่านไป เมื่อเราเห็นทุกอย่างมันดูเลวร้าย นักลงทุนหดหู่เกินจริง ตอนนั้นเป็นจังหวะที่เราต้องเฟ้นหาทรัพย์สินที่คุณภาพดีราคาถูกลงทุน
ผลตอบแทนดัชนีพุ่งหลังวิกฤติ
คุณเผ่า : ย้อนกลับไปดูสงครามโลกครั้งที่ 2 ดัชนี Dow Jones ตั้งแต่เขาเริ่มรบจนจบสงครามดูมันร้ายแรงมาก ดัชนี Dow Jones +24.65% หมายความว่าช่วงสงครามระยะยาวมันก็บวก เพียงแค่ช่วงแรกๆ ก่อนที่จะมีสงคราม ตลาดหุ้นอาจจะลง ตกใจ อย่างที่เขาบอก สงครามหุ้นจะตกรอไว้ก่อนเลย ละพอเริ่มสงครามตลาดหุ้นก็เริ่มกลับขึ้นมา
เรามาดูสงครามรัสเซีย-ยูเครน ก็จะเห็นว่าตอนนั้นก็ดูน่ากลัว แต่สุดท้ายแล้วเราก็จะสามารถทำกำไรได้ ถ้าเรามี Mindset ที่ถูกต้อง ว่าสงครามมันก็คือ Playbook ที่ VI ชอบใช้
เรื่อง Fed ปรับขึ้นดอกเบี้ย มีการปรับขึ้นย่อยๆ จะเห็นว่าดัชนี S&P 500 ปรับขึ้นมา +21.79% ล่าสุดปี 2565-2567 ดัชนีขึ้นมาถึง +4.98% ทำให้รู้แล้วว่ามันเริ่มขึ้นแล้วต้องมีจุดจบในการลดดอกเบี้ย นักลงทุนมองไปข้างหน้าเหมือนกันแล้ว คล้ายๆ กับช่วง 2516-2517 ช่วงที่ Fed ขึ้นดอกเบี้ย แล้วพอลดดอกเบี้ย ตลาดหุ้นก็วิ่งได้อีกเป็น 10 – 20 ปีเลย
อีก 1 ตัวอย่างย้อนไปช่วง Spanish Flu ตอนนั้นคนตายเยอะมาก ดัชนี Dow Jones อยู่ที่ +19.07% แต่สมัยก่อนคนไม่ค่อยกลัวขนาดนั้นเพราะไม่มีโซเชียลมีเดีย แล้วถ้าเทียบกับ Covid-19 สุดท้ายดัชนีบวกมาแล้ว +54.57%
เพราะฉะนั้นก็กลับมาเรื่องเดิมที่เราเน้นย้ำกับนักลงทุนตลอดว่า อย่าไปกลัวมาก ทุกวิกฤติคือโอกาส จะช้าจะเร็ว สุดท้ายตลาดหุ้นจะกลับมาขึ้น ขอแค่เราเลือกทรัพย์สินการลงทุนที่ถูกต้อง สุดท้ายเราก็จะทำกำไรได้เอง
โอกาสในการลงทุนปี 2567
คุณอ้อ : มาดูโอกาสในการลงทุนของปีนี้ มีตลาดไหนที่ Jitta Wealth เองมองว่าเป็นโอกาสสูงสุดในปัจจุบัน
คุณเผ่า : ตอนแรกที่เราเก็งไว้ว่า Fed อาจจะมีอัตราดอกเบี้ยที่สูงแบบนี้ยาวนานขึ้น เพราะฉะนั้นเราต้องเลือกลงทุนในตลาดหุ้นที่มีการเติบโตที่ดี และราคายังถูกอยู่
เราต้องซื้อหุ้นดีราคาถูก ตลาดหุ้นก็เหมือนกัน เราต้องเลือกตลาดที่มีการเติบโตที่ดี แล้วราคายังถูก ซึ่งสามารถดูได้จากเศรษฐกิจโดยรวมยังมีการเติบโตที่ดีอยู่ เช่นถ้า GDP ประเทศไหนโตเยอะๆ แสดงว่าเศรษฐกิจเขายังโต ธุรกิจในประเทศก็ยังโต กำไรต่อหุ้นของบริษัทโดยรวมจะเติบโต ซึ่ง จีน ฮ่องกง เวียดนาม ยังเป็นอย่างนั้นอยู่
ต่อมาต้องมาดูที่ราคา เพราะราคาควรจะถูกด้วย เพราะฉะนั้นถ้าเราดู 2 ข้อนี้แล้ว เศรษฐกิจประเทศนั้นๆ เติบโต และตลาดหุ้นไม่แพงมาก
เราลองมาดูที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ GDP อาจจะไม่โตมากแล้ว ส่วน P/E ก็ไม่ได้ถูกขนาดนั้น ถ้าเราจะลงทุน ควรจะเลือกเป็นกลุ่มที่โตเยอะๆ เช่น กลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มสุขภาพ
ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ช่วงที่ปู่ Buffett เข้าไปซื้อตอนนั้นถูกมาก P/E น่าจะต่ำกว่า 15 เท่า ได้ปันผลจน ปู่บอกว่าคุ้มแล้ว แต่ตอนนี้ตลาดหุ้นญี่ปุ่นไม่ได้ถูกขนาดนั้นแล้ว เพราะมันวิ่งกลับมา New High แล้ว GDP อาจจะยังโตได้ดีระดับหนึ่ง เทียบกับในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา เงินจากการท่องเที่ยวยังไหลเข้าไป แต่ถ้ามองแล้วก็ถือว่ายังไม่ได้เติบโตมาก และไม่ได้ถูกมาก
ส่วนตลาดหุ้นอินเดีย เศรษฐกิจเติบโตดีมาก แต่แพงมาก เศรษฐกิจน่าจะเติบโตได้ดีแข่งกับจีนด้วยซ้ำ แต่การลงทุน เราต้องมองด้วยว่า มีการเติบโตที่ดี และราคาต้องไม่แพง เพราะปู่ Buffett บอกชัดเจนว่า ธุรกิจที่ดี ที่ยอดเยี่ยม อาจเป็นการลงทุนที่ยอดแย่ ถ้าเราซื้อมาแพงเกินไป เช่นเดียวกัน สมมติอินเดียอาจจะเติบโตแซงจีน แต่ราคาหุ้นถ้ามันแพงมากๆ ก็จะอันตราย
กลับมา 3 ตลาดที่เราพูดว่ามันเป็นโอกาสลงทุนตอนนี้ ก็จะพบว่า มีการเติบโตที่ดี ราคายังถูก จีนกับฮ่องกงจะเห็นว่า P/E อยู่ที่ประมาณ 10 – 12 เท่า ตัว ดัชนี CSI 300 อยู่ที่ 12 เท่า ส่วนดัชนี HSI อยู่ที่ 10 เท่า ตลาดหุ้นเวียดนามประมาณ 15 เท่า ถือว่ามีการเติบโตที่ดีแต่แพงกว่าจีน แต่ถ้าต้องเลือก เราก็จะเลือกไปจีนก่อน เพราะมี GDP ขยายตัว แต่ราคาถูกกว่าเวียดนาม แต่เวียดนามก็ไม่ได้แย่ ถ้าเทียบกับหลายๆ ประเทศที่ลงทุน เป็นโอกาสการลงทุนที่ดีที่เรามองเห็น
คุณอ้อ : Jitta มีการนำข้อมูลหุ้นรายตัวที่อยู่ในตลาดเหล่านี้ มาวิเคราะห์ด้วยเหมือนกันว่าหุ้นเป็นราคาที่เหมาะสมหรือยัง ถูกแพงอย่างไร
คุณเผ่า : เป็นข้อดีของ Jitta ที่มีการนำ AI มาพัฒนาการลงทุนไปเรื่อยๆ เราจะเห็นว่า Jitta Ranking หลังวิกฤติทำผลตอบแทนได้ดี เราก็เลยไปหาเหตุผลว่า แสดงว่าในช่วงวิกฤติเราซื้อหุ้นถูกๆ ดีๆ ได้เยอะ และส่วนมากจะวิ่งเร็ว ถือว่า Jitta ทำผลงานได้ดีมาก เราก็เลยมีตัว Market Prediction มาเลย เพื่อทำให้เห็นว่าในแต่ละปีแต่ละเดือน ตลาดหุ้นมีความถูกแพงแค่ไหน
สมมติว่าตัว P/E ที่บอกไปเป็นการใช้วัดทั้งตลาด แต่สิ่งที่จะใช้วัดเพิ่มเติมของ Jitta Ranking ด้วย คือ เราดูหุ้นถูกแพงได้เลย
ถ้าเราไปดูหุ้นจีน ณ วันที่ 30 เมษายน 2567 เลือกหุ้นพรีเมียม งบการเงินดีที่สุดของหุ้นจีนประมาณ 50 ตัว จะเห็นว่ามีหุ้นถูกประมาณ 46 ตัว หุ้นแพง 4 ตัว คิดเป็นอัตราส่วนหุ้นต่อถูกแพง 11.5 เท่า หมายความว่า มีหุ้น 100 ตัวหุ้นราคาถูกมันมากกว่าหุ้นราคาแพง 11.5 เท่า ปาเป้าไป 10 ครั้ง เจอหุ้นถูก 8-9 ครั้ง เจอหุ้นแพงครั้งเดียว เพราะฉะนั้นถ้าลงทุนในสภาพแวดล้อมแบบนี้ ก็มีโอกาสได้กำไรมากกว่าขาดทุนอยู่แล้ว ถือว่าปัจจุบันหุ้นจีนมีหุ้นถูกมากกว่าหุ้นแพงเยอะมาก
ขอยกตัวอย่างคำถามที่ว่า หุ้นจีนขึ้นมา 20% ซื้อได้ไหม ต้องบอกว่ายังซื้อได้ คนส่วนมากดูที่ราคาอย่างเดียว แล้วคิดว่าราคาขึ้นเยอะอาจขายหมู แต่เวลาที่ดูว่าหุ้นจะซื้อได้อีกมั้ย เราต้องไปดูว่าหุ้นมันแพงไปแล้วหรือยัง ซึ่งเราพบว่าผ่านมาหลายเดือนตลาดหุ้นจีนขึ้นมาเยอะ แต่สุดท้ายจำนวนหุ้นถูกก็ยังใกล้เคียงของเดิม เพราะแม้ราคามันจะขึ้น
เราก็จะเห็นว่า แม้ว่าราคาหุ้นขึ้นมาเยอะ แต่ก็ยังน่าลงทุนต่อรวมถึงตัวฮ่องกงด้วยเช่นกัน ยังเป็นไปในทางเดียวกัน ตัวอัตราส่วนหุ้นถูกแพงปัจจุบันอยู่ที่ 7.33 เท่า
Jitta Ranking หุ้นจีน ผลตอบแทนดี!
คุณอ้อ : ที่ผ่านมาเราพูดถึงหุ้นจีนค่อนข้างเยอะ เรามาดูผลงานกันว่าเป็นอย่างไรบ้าง
คุณเผ่า : เรามี Market Prediction ว่าตลาดหุ้นจีนน่าจะถูก เรามี Algorithm ตัว Jitta Ranking ที่ซื้อหุ้นดีราคาถูกมาได้อีก ซึ่งถ้ามันเป็นช่วงที่เราคาดการณ์ได้ถูกต้อง Jitta Ranking
ต้องทำผลตอบแทนได้ดี เพราะมันคือ ตลาดที่ดี และหุ้นราคาถูกดัชนี CSI 300 ขึ้นมา +6.44% ดัชนี Hang Seng +5.80% และ Jitta Ranking ขึ้นมาเยอะ มีผลตอบแทน YTD ที่ดี และถ้าเทียบกับกองทุนจีนในไทยกว่า 115 กอง Jitta Ranking หุ้นเทคโนโลยีจีน ทำผลตอบแทนได้เป็นอันดับ 1
Jitta Ranking vs กองทุนรวม
คุณอ้อ : จริงๆ แล้ว Jitta Wealth ก็มี Jitta Ranking หลายแผน เราลองมาดูกันต่อว่าแล้วแต่ละแผน ทำผลตอบแทนเป็นอย่างไร และเทียบกับกองทุนรวมแล้วเป็นอย่างไร
คุณเผ่า : จากตารางคือข้อมูลเปรียบเทียบระหว่าง Jitta Ranking แต่ละนโยบาย ที่บริหารด้วย AI และกองทุนรวมอื่นๆ ผลตอบแทน Jitta Ranking หุ้นเวียดนาม 4 ปี 1 ไตรมาส เราทำผลตอบแทนได้กว่า +140.27% ซึ่งเป็น 4 ปีที่ AI ของเราก็ผ่านวิกฤติต่างๆ มามากมาย และเมื่อเทียบกับกองทุนรวมในไทยที่ลงทุนในเวียดนามที่เปิดมานานกว่า 4 ปี มี 8 กอง เราได้อันดับหนึ่ง
ส่วน Jitta Ranking หุ้นจีน จะพิเศษหน่อยเพราะเราเพิ่งเปิดให้ลงทุน ระยะเวลา 2 ปี 1 ไตรมาส จะเห็นได้ว่าการลงทุนก็สามารถมีช่วงที่ผลตอบแทนติดลบได้ แต่ถึงแม้จะติดลบ ก็ยังชนะดัชนี และมีผลตอบแทนดีเป็นอันดับ 2
Jitta Ranking หุ้นสหรัฐฯ เช่นเดียวกัน ระยะเวลา 4 ปี 1 ไตรมาส ได้เป็นอันดับ 3 จาก 24 กองทุนในไทยที่ลงทุนในสหรัฐฯ ส่วนของ Jitta Ranking หุ้นไทย ตอนที่ตลาดไม่ดี เราก็ยังทำผลตอบแทนเฉลี่ยเป็นอันดับที่ 44 จาก 315 อาจดูเหมือนอันดับไม่ดี แต่มี percentile อยู่ที่ 86.35%
เวลาที่เราเทียบผลตอบแทนเป็นอันดับๆ จำนวนกองจะไม่เท่ากันเลยต้องมาเปรียบเทียบเป็น Percentile เต็มร้อย เวลาเทียบ Percentile ก็จะเห็นได้ชัดขึ้น
อีกหนึ่งทางเลือกในการลงทุน Global ETF
คุณอ้อ : Jitta Wealth มีการบริหารจัดการแบบอื่นๆ ที่ไม่ใช่หุ้นรายตัวแบบนี้ด้วย เราก็ยังมี Global ETF ด้วย ซึ่งเป็นการลงทุนทั่วโลกเลย เราไปเลือก ETF มาให้ ใช้หลักการ Modern Portfolio Theory ที่ได้รับรางวัลโนเบลด้วย
ซึ่งจริงๆ แล้วนโยบายนี้มีผลตอบแทนคาดหวังไม่ได้สูงมาก อยู่ที่ 4-8% แต่กลับได้เป็นลูกรักของหลายๆ คน เพราะผลตอบแทนได้เกินคาด เรามาดูกันว่าผลตอบแทนของ Global ETF เป็นยังไง
คุณเผ่า : Global ETF เป็นการลงทุนแบบ Asset Allocation ก็คือไม่ได้ซื้อแค่หุ้น เราซื้อทั้ง ETF ที่ลงทุนในหุ้น พันธบัตร หุ้นกู้ และมีการจัดสัดส่วน ไม่ต้องวิเคราะห์เยอะมาก แต่เมื่อไหร่สัดส่วนของพอร์ตมีการเปลี่ยนแปลง เราก็จะปรับพอร์ตรีบาลานซ์ให้เหมาะสม เพื่อให้ในระยะยาวได้ผลตอบแทนที่ดี ซึ่งผลตอบแทนคาดหวังของ Global ETF แผนเติบโต มากสุดก็จะอยู่ที่ 8% ต่อปี
แล้วตั้งแต่เราเปิดนโยบายนี้มาถึงตอนนี้ก็ประมาณ 3 ปี 1 ไตรมาส ผลตอบแทนรวมทั้งหมด +41.46% หรือเฉลี่ยก็จะได้ประมาณ +10% นิดๆ ซึ่งเท่ากับว่าเกินผลตอบแทนที่เราคาดหวังเอาไว้
แต่ผลตอบแทนก็ยังเทียบไม่ได้กับอันดับที่ได้เมื่อเทียบกับผลตอบแทนกองทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ทั้งหมด อย่าง Jitta Ranking เท่ากับเราต้องไปเทียบกับกองทุนที่ลงในประเทศเดียวกัน แต่ตัว Global ETF เราจะเทียบกับกองทุนรวมทั้งหมดเลย ไม่ว่าคุณจะลงทุน ทรัพย์สินอะไร ประเทศไหน ผ่านไป 3 ปี 1 ไตรมาส Global ETF ของเราอยู่ในอันดับที่ 43 จาก 1,454 กองทุน เท่ากับ 97.11% หมายความว่า ถ้าเลือกกองทุนมา 100 กอง กองทุน Global ETF ของเราเอาชนะกองต่างๆ ไปกว่า 97%
แสดงว่าถ้าคุณอยากลงทุนแต่ไม่รู้จะลงทุนอะไร โอกาสที่คุณจะลงทุนใน Global ETF แล้วได้ผลตอบแทนดีกว่าก็มีสูง แสดงว่า Global ETF ก็ถือว่าเป็นทางเลือกที่ดี ซึ่งสถิติที่เห็นนี้ก็พิสูจน์ได้อีกระดับหนึ่งแล้วว่าตลอด 3 ปี ด้วยวิกฤติต่างๆ Global ETF ก็ผ่านมาได้ คิดว่าอีก 5 ปี 10 ปี มันก็จะดีขึ้นเรื่อยๆ ได้
อ่านเพิ่มเติม วิธีปั้นพอร์ตเงินล้านด้วย Global ETF เริ่มเร็ว ‘ล้าน’ เร็ว
บทสรุป
Q&A
Q: ย้ายเงินลงทุนไปต่างประเทศทำอย่างไรได้บ้าง
ถ้าคุณจะย้ายพอร์ต ผมขอให้ข้อคิดไว้นิดนึงว่าเวลาที่คุณจะย้ายสินทรัพย์ A ไป B ไม่ว่าจะเป็นหุ้น เป็นกองทุน คุณต้องคิดให้ดีๆ ว่าเมื่อขายแล้วจะไปที่ไหน
ถ้าตามหลักการก็คือ คุณต้องย้ายเงินไปในที่ที่คุณจะมีโอกาสทำกำไรได้มากขึ้น เช่นเราลงทุนในหุ้นไทยอยู่ เราเห็นแล้วว่าการเติบโตอาจจะน้อยกว่าจีน เวียดนาม P/E ก็อาจจะแพงกว่าจีนและพอๆ กับเวียดนาม เพราะฉะนั้นถ้าคุณจะย้าย คุณก็ควรจะย้ายไปจีนหรือเวียดนาม เพราะดูมีโอกาสที่ดีกว่า
สรุปคือถ้าคุณจะย้ายไปไหนก็แล้วแต่ ต้องดูให้ดีก่อนว่าย้ายไปที่ไหน ด้วยเหตุผลอะไร
Q: สงครามโลก ระบบอินเทอร์เน็ตล่ม หุ้นที่ลงทุนต่างประเทศจะกระทบมั้ย
สงครามเกิดขึ้น เราต้องมาดูด้วยว่าความยิ่งใหญ่ของสงครามนั้นมันแค่ไหน แต่ในช่วงแรกๆ หุ้นมักจะตกทั่วโลกอยู่แล้ว ถ้าเกิดอินเทอร์เน็ตล่ม หุ้นเทคโนโลยีอาจจะตกแรง แต่ในช่วงสงคราม การสื่อสารเป็นเรื่องสำคัญ ทุกประเทศคงไม่ยอมให้ล่มนาน
สงครามจบหุ้นหลายๆ อย่างก็จะขึ้นมา เมื่อเกิดสงครามเมื่อไหร่ ให้มองหาหุ้นดีๆ ที่จำเป็นกับการดำรงชีวิต เมื่อสงครามจบ หุ้นเหล่านี้ก็จะขึ้นมาในที่สุด
Q: ตลาดหุ้นอินโดนิเซีย น่าสนใจมั้ย
Jitta Wealth ก็ดูๆ ไว้ แต่หุ้นใหญ่ๆ ไม่ได้เยอะมาก แต่เป็นประเทศหนึ่งที่เราจับตาอยู่ หุ้นสหราชอาณาจักร หรืออินเดียก็เป็นตลาดหุ้นที่เราจับตาอยู่
บทความที่เกี่ยวข้อง
สรุป Live เปิดโลก VI เลือกลงทุนประเทศไหนดี
ลงทุนชนะทุกสงครามด้วย Global ETF
หากคุณมีข้อสงสัยหรือคำถามเกี่ยวกับการอัปเดตอัลกอริทึมและการบริหารจัดการพอร์ต Jitta Wealth สามารถติดต่อสอบถามในกลุ่ม Jitta Wealth Official หรือทาง Line ID: @JittaWealth ได้ในวันและเวลาทำการ
หรืออ่านรีวิวพอร์ตลงทุน Jitta Wealth ของนักลงทุนอีกมากมายได้ที่ Facebook และ เว็บไซต์ของเรา
กองทุนส่วนบุคคล Jitta Wealth บริหารจัดการโดย บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน จิตตะ เวลธ์ จำกัด ซึ่งเป็น WealthTech แห่งแรกของไทยที่ได้รับใบอนุญาตจากกระทรวงการคลัง กำกับโดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ใบอนุญาตเลขที่ ลค-0105-01 ผลตอบแทน การเปรียบเทียบหรือการจัดอันดับการดำเนินงานในอดีตที่เกี่ยวข้องกับการลงทุน ไม่การันตีผลตอบแทนในอนาคต การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจนโยบายการลงทุน เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน และความเสี่ยงอื่นๆ ก่อนตัดสินใจลงทุน