ชื่อของ ‘แบงค์’ สิทธินันท์ พลวิสุทธิ์ศักดิ์ น่าจะเป็นที่รู้จักกันดีทั้งในแวดวงสตาร์ทอัพและคอนเทนต์มาร์เก็ตติง แม้ว่าจะเรียนจบคณะวิศวกรรมศาสตร์ แต่ความใฝ่ฝันของแบงค์คือการทำธุรกิจ โดยได้คุณพ่อเป็นต้นแบบ จากนั้นเขาเบนเข็มสู่การทำธุรกิจมานาน 10 ปี เคยร่วมก่อตั้งบริษัท ZipEvent ควบตำแหน่งซีอีโอ ก่อนจะผันตัวมาเป็นผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทเอเจนซี Magnetolabs และเว็บไซต์ Content Shifu ซึ่งเน้นเรื่อง Inbound Marketing หรือการตลาดแบบสร้างแรงดึงดูดโดยเฉพาะ
การสวมหมวกหลายใบในวัย 31 ปี ทำให้เขาต้องจัดการชีวิตแต่ละด้านไปพร้อมกัน ตั้งแต่การบริหารธุรกิจ ดูแลทีมงาน ติดต่อลูกค้า จัดการงานบัญชีและกฎหมาย รวมไปถึงการใช้เวลากับครอบครัวอย่างเต็มที่ สำหรับเขา ‘การบริหารเวลา’ จึงเป็นสิ่งสำคัญ
ตอนจบมหาวิทยาลัยใหม่ๆ ผมได้เข้าโครงการ New Investor Progrom ที่สอนเกี่ยวกับเรื่องหุ้นและการลงทุน ช่วงนั้นยังไม่ค่อยรู้เรื่องนี้มากเท่าไร แต่ผมก็อยากรู้ อยากศึกษา หลังจากนั้นค่อยเริ่มลงทุนด้วยจริงๆ ซึ่งตอนนั้นก็เจ็บหนักมากครับ (หัวเราะ) ตอนนั้นผมไปเปิดบัญชีที่บริษัทหลักทรัพย์ ลองศึกษาหาหุ้นที่น่าสนใจ หาความรู้เอง บางทีก็มีคนวงในบอกมา กูรูบอกมา เราก็อยากซื้อหุ้นที่มีพื้นฐานดี สามารถทำกำไรให้ได้ในระยะยาว เพียงแต่ว่าหุ้นที่เราคิดว่ามันดี จริงๆ แล้วมันอาจจะไม่ดี จริงๆ เขาไม่ได้ผิดอะไร แต่เนื่องด้วยว่าความรู้ ประสบการณ์ และเวลาที่เราใช้ศึกษาอาจยังไม่เพียงพอ เราไม่ได้ศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนตัดสินใจ ไม่ได้ดูงบการเงินหรือพื้นฐานธุรกิจของเขา ทำให้มีช่วงหนึ่งที่ขาดทุนไปเยอะ แล้วเราเองก็ไม่ได้มีเวลาลงไปศึกษา เพราะตอนนั้นต้องโฟกัสกับการทำธุรกิจซึ่งอยู่ในระยะเริ่มต้น
ส่วนตัวผมเองเป็นวิศวกร ผมเชื่อมั่นในเรื่องตัวเลขกับอัลกอริทึมอยู่แล้ว เพราะเคยเรียนวิชา Engineering Statistics ว่าด้วยการเอาข้อมูลในอดีตมาสร้างอัลกอริทึม เพื่อทำนายผลลัพธ์ในปัจจุบันและอนาคต ตอนนั้นผมเคยทำโปรแกรมทำนายผลฟุตบอล ซึ่งมันคล้ายกับหลักการของ Jitta ในระดับหนึ่ง แต่ต่างกันในแง่ของ operation และข้อมูล Jitta จะดูข้อมูลในอดีตของแต่ละบริษัท เช่น performance งบการเงิน และปัจจัยต่างๆ แล้วเอามาทำนายสิ่งที่จะเกิดขึ้น การมี Jitta Wealth ทำให้ผมเปลี่ยนจากการฟังสิ่งที่กูรูหรือวงในบอก มาฟังอัลกอริทึมแทน ซึ่งมันมีข้อมูลที่ดีและมากเพียงพอที่จะทำนายผลลัพธ์ในปัจจุบันได้ ก็เลยเชื่อว่า Jitta Wealth เป็นบริการที่ตรงกับความต้องการของเรา ที่สำคัญการที่ Jitta เป็นพาร์ทเนอร์กับบริษัทหลักทรัพย์ที่น่าเชื่อถืออย่าง Phillip และได้รับการลงทุนจาก Beacon Venture Capital ของธนาคารกสิกรไทย ก็เป็นตัวพิสูจน์ให้เรามั่นใจได้ว่า Jitta ดูแลเราได้จริงๆ
อีกอย่างคือ ถ้าเราลองศึกษาดูแล้วจะเห็นว่าค่าบริการ ค่าธรรมเนียมการจัดการ ค่าเทรดของ Jitta ถือว่าต่ำกว่าบริษัทหลักทรัพย์นะครับ บริษัทจะได้กำไรจริงๆ ก็ต่อเมื่อเขาทำกำไรให้เราได้ โดยคิด 10% ของกำไร ถ้าเขาไม่ช่วยให้เราได้กำไร เขาก็จะได้แค่ค่าบริการ หมายความว่า Jitta จะโตได้ก็ต่อเมื่อเขาทำกำไรให้กับผู้ใช้บริการนั่นเอง ซึ่งผมก็คิดว่าแฟร์ดี และเป็นการลงทุนแบบ performance-based ดีครับ
ถามว่าผมวางแผนการเงินบ้างไหม ก็มีครับ แต่ไม่ได้กำหนดว่าจะต้องถึงร้อยล้านภายในระยะเวลาเท่าไร แค่มีเป้าหมายกว้างๆ อย่างแรกคือ ผมอยากมีแรง มีเวลาในการทำงานที่ชอบ เพราะเชื่อว่าถ้าเราทำในสิ่งที่ชอบ เราจะอยากมีแรงตื่นมาทุกๆ วัน อย่างที่สองคือ อยากดูแลครอบครัวได้โดยไม่ต้องกังวลปัญหาเรื่องการเงิน
ความมั่นคงทางการเงินถือเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จในชีวิตแน่นอนอยู่แล้ว แต่เราก็ต้องบาลานซ์เรื่องอื่นๆ ด้วยเหมือนกัน ถ้าเรารวยมาก แต่สุขภาพแย่มาก ก็คงไม่ดี หรือแม้แต่การมีเวลาให้กับครอบครัวและตัวเอง การลงทุนเป็นเรื่องสำคัญนะ แต่ผมไม่ถนัด Jitta Wealth ก็เข้ามาตอบโจทย์ตรงนี้ ทำให้ผมได้โฟกัสกับการสร้างธุรกิจของตัวเองจริงๆ ดูแลลูกค้าและคนในทีม
คนรุ่นผมเติบโตมาพร้อมกับเทคโนโลยี เราจะเข้าใจพลังของเทคโนโลยีและรู้จักใช้งานให้เกิดประโยชน์มากที่สุด เพราะฉะนั้นผมคิดว่ามันไม่แปลกอะไรที่จะเอาเทคโนโลยีอย่าง Machine Learning เข้ามาช่วยเรื่องการลงทุนมากขึ้น