สำหรับ แสงพล จิรายุกูล การลงทุนก็เหมือนการวิ่งมาราธอน ที่นักลงทุนจำเป็นต้องมีวินัย ใช้ความอดทน เพื่อจะรักษาความเร็วในการเคลื่อนตัวไปข้างหน้าแบบยืนระยะ ไม่ล้มลงกลางทาง ก่อนจะเข้าเส้นชัยไขว่คว้าความมั่งคั่งตามที่คาดหวังไว้ตอนออกสตาร์ท
จากนักลงทุนที่เคยโหมแรงเต็มที่ในช่วงออกสตาร์ท แสงพลเคยผ่านทั้งช่วงเวลาวิกฤตของตลาดการเงิน และความรุ่งโรจน์ที่เกิดขึ้นภายในช่วงข้ามคืน ในแต่ละวันที่ผ่านไปในฐานะนักลงทุนมือใหม่ สิ่งที่เขาต้องทำคือการค้นคว้าหาข้อมูล นั่งจ้องกราฟตัวเลขขึ้นๆ ลงๆ ก่อนจะพบว่านั่นไม่ใช่งานที่สนุก โดยเฉพาะในวันที่เริ่มสร้างครอบครัว ในขณะเดียวกันยังต้องมองหาโอกาสใหม่ๆ ให้กับธุรกิจส่วนตัวที่นับวันการแข่งขันยิ่งจะทวีมากขึ้นทุกที
เริ่มต้นชีวิตนักลงทุน กับการบ้านที่มีให้ทำอย่างไม่รู้จบ ผมเริ่มสนใจการลงทุนครั้งแรกในปี 2007 โดยเริ่มจากได้เงินมาก้อนหนึ่งจากครอบครัว แต่ติดปัญหาว่าไม่รู้จะเอาเงินไปลงทุนทำอะไรได้บ้าง เพราะถือเป็นเงินก้อนใหญ่สำหรับคนเพิ่งเรียนจบมาไม่นาน สมัยนั้นการลงทุนทองคำกำลังนิยม ก็เลยซื้อทองเก็บไว้บ้าง แบ่งไปฝากใน money market ที่ได้ผลตอบแทน 2% บ้าง ก่อนจะเริ่มลงทุนในหุ้นอย่างจริงจังด้วยการศึกษาตั้งแต่พื้นฐาน ที่ใช้เวลาในแต่ละวันไม่ต่ำกว่า 1 ชั่วโมงในแต่ละวันเพื่อนั่งดูกราฟ แกะงบบริษัท วางแผนการลงทุน ลงลึกในหุ้น technical หาจุด cut loss ที่เหมาะสม
แรกๆ ตอนมีเวลาว่างก็สนุกดี แต่พอเริ่มโตขึ้น หลายๆ อย่างในชีวิตก็เปลี่ยนไป ด้วยหน้าที่ ความรับผิดชอบต่อครอบครัว ทำให้รู้ว่ามันไม่ใช่งานที่สนุกเลย ประกอบกับการเจอวิกฤตมาหลายๆ รอบ ทั้งช่วงซับไพรม์ หรือช่วงที่มีวิกฤตค่าเงินบาท แม้จะเป็นเงินไม่มากนัก แต่สำหรับเราที่เป็นนักลงทุนรายย่อยก็ถือว่าเจ็บตัวมาพอสมควร
สิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากการลองผิดลองถูกลงทุนด้วยตัวเองคือ ทำให้รู้นิสัยตัวเองว่าชอบหรือไม่ชอบอะไร พอเราอายุมากขึ้น มีเวลาน้อยลง เราก็ไม่ได้คาดหวังผลตอบแทนเหมือนสมัยก่อน ไม่ได้คิดว่าปีหนึ่งจะต้องกำไร 30-40% เพราะพอถึงจุดหนึ่งแล้วรู้สึกว่ามันไม่ใช่ชีวิตจริง อาจจะมีคนทำได้ แต่ส่วนใหญ่ไม่มีใครทำได้ขนาดนั้น เลยอยู่กับความเป็นจริงว่าปีหนึ่งกำไร 7-8% ก็โอเคแล้ว หรือถ้าได้ 10% ก็แฮปปี้แล้ว ถ้าเทียบกับเวลาที่เราต้องเสียไป เพราะมันหมายความว่าเราต้องเอาเวลาที่จะใช้เล่นกับลูก ดูแลครอบครัวไปนั่งอ่านหรือศึกษาหุ้น ซึ่งก็ไม่ได้การันตีด้วยว่าจะได้กำไร 15-20% หรือเปล่า สุดท้ายประสบการณ์มันทำให้ผมอยู่กับความเป็นจริงมากขึ้น
สิ่งที่ผมชอบสำหรับวิธีการลงทุนของ Jitta คือ ผมเชื่อใน ranking และอัลกอริทึมในการหาหุ้นของเขา ที่พยายามมองหาหุ้นพื้นฐานที่ดูดี และซื้อในมูลค่าที่ต่ำกว่ามูลค่าจริง ที่สำคัญคือเขากระจายความเสี่ยงถึง 20-30 ตัว อาจจะมีทั้งตัวที่ดี และตัวที่ไม่ดีในแต่ละช่วงเวลา นานๆ ค่อยมาเปิดดูสักที ผมว่ามันเหมาะกับไลฟ์สไตล์ของนักลงทุนที่ไม่อยากจะแอคทีฟมาก โดยเฉพาะตัวผมเองที่ต้องทำงานเต็มเวลา มีธุรกิจของตัวเอง มีครอบครัว และมีลูก ผมชอบที่ได้ปล่อยให้เงินทำงาน แต่ขณะเดียวกันเราก็มั่นใจในทีม Jitta และพร้อมจะเติบโตไปด้วยกัน
อีกอย่างที่ผมชอบใน Jitta Wealth คือ ค่าธรรมเนียมที่ถูกกว่า Private Wealth อื่นๆ ขณะเดียวกันเขาก็มีแอพลิเคชันที่สามารถย้อนกลับไปดูได้ว่าเขาซื้อหุ้นตัวไหนบ้าง ซื้อด้วยเงินเท่าไหร่ ราคาปัจจุบันเท่าไหร่ ซึ่งสามารถเช็คแบบเรียลไทม์ได้ รวมถึงยังสามารถย้อนกลับไปดูได้ว่าตั้งแต่เปิดพอร์ตมา พัฒนาการของกองทุนเป็นยังไง ที่สำคัญคือเขามีระบบซื้อขายแบบออโต้ โดยตั้งจุด cut loss ไว้ในระดับที่เหมาะสม โดยไม่ต้องใช้ความรู้สึกของคนมาตัดสินใจ ด้วยระบบนี้เรียกได้ว่าเราไม่จำเป็นต้องมีวินัยมากนัก เพราะเขาทำให้ครบหมดแล้ว
ในวัย 40 สิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตตอนนี้สำหรับผมคือเรื่องสุขภาพ และครอบครัว ผมว่าในทุกๆ 5 ปี หรือ 10 ปี ความคิดของคนเราจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตอนอายุ 30 ผมก็แค่อยากรวยให้เร็วที่สุด ไม่สนใจเรื่องอื่น แต่โฟกัสในชีวิตผมตอนนี้คือเรื่องสุขภาพและครอบครัว เพราะต่อให้งานรุ่งสุดๆ แต่ครอบครัวมีปัญหา หรือสุขภาพไม่ดีก็คงไม่มีประโยชน์อะไร