หุ้นเวียดนามเริ่มแพง นักลงทุนควรปรับพอร์ตอย่างไร

ไฮไลต์
- หุ้นเวียดนามพุ่งแรง +32.5% YTD และ ETF เวียดนามบางกอง +58.22%
- นักลงทุนรายย่อยทะลุ 10 ล้านบัญชี ปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่า
- ตลาดเริ่มเข้าสู่โซนแพง นักลงทุนกู้เงินมาเล่นหุ้น หากตลาดตกลงมา เสี่ยงถูก Forced Sell ทำให้เกิดแรงขายมหาศาล
- แนวทางคือ ทยอยลดสัดส่วน กระจายความเสี่ยงไปตลาดอื่นเพิ่มเติม หรือให้ AI ช่วยเลือกหุ้น และประเทศที่น่าลงทุนให้
ตลาดหุ้นเวียดนามกำลังถูกจับตามอง หลังปรับตัวขึ้น 32.5% นับตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน (31 สิงหาคม 2568) ขณะที่ ETF ธีมตลาดหุ้นเวียดนามบางกอง เช่น VNM ซึ่ง Jitta Wealth คัดมาให้เลือกลงทุนใน Thematic DIY ก็สร้างผลตอบแทน YTD ได้ถึง 58.22% ความร้อนแรงนี้สะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั่วโลกต่อเศรษฐกิจเวียดนามที่ยังคงเติบโตอย่างโดดเด่น
รัฐบาลเวียดนามตั้งเป้าการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ที่ 8% ต่อปี โดยมีปัจจัยสนับสนุนชัดเจน ได้แก่ โครงสร้างประชากรหนุ่มสาว แรงงานต้นทุนต่ำ การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่ทะลักเข้ามา และความสามารถในการแข่งขันด้านการผลิต ส่งผลให้เวียดนามถูกมองว่าเป็น ‘โรงงานโลกแห่งใหม่’ ที่ดึงดูดทุนต่างชาติอย่างต่อเนื่อง
นอกจากเศรษฐกิจแล้ว ตลาดทุนเวียดนามยังมีแรงหนุนจากความคาดหวังว่าสถานะตลาดจะถูกปรับจาก ‘ตลาดชายขอบ’ (Frontier Market) ไปสู่ ‘ตลาดเกิดใหม่’ (Emerging Market) ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้น เม็ดเงินลงทุนต่างชาติจะหลั่งไหลเข้ามาเพิ่มขึ้นอีกมหาศาล
แต่เบื้องหลังความร้อนแรงนี้ ไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างจะสดใส เพราะราคาหุ้นเวียดนามเริ่มแพงขึ้นเรื่อยๆ และกำลังเข้าสู่จุดที่นักลงทุนต้องระวังมากกว่าจะไล่ตาม
สัญญาณว่าตลาดเริ่มแพง
อัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E) ของตลาดหุ้นเวียดนามอยู่ที่ 16.1 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปีที่ 15.9 เท่า ถ้าเจาะลึกจะพบว่าหุ้นบางกลุ่ม โดยเฉพาะบริษัทขนาดใหญ่ เช่น Vingroup ปรับตัวแรงจนมูลค่าตลาดสูงเกินจริงไปแล้ว ทำใ้ห้นักลงทุนที่เข้าช้า เสี่ยงแบกรับราคาที่ ‘สูงเกินความเป็นจริง’ (Overvalue)
และจากการออกนโยบายส่งเสริมตลาดทุน กระตุ้นให้บัญชีลงทุนในเวียดนามเพิ่มขึ้นทะลุ 10 ล้านบัญชีไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คิดเป็น 10% ของประชากร ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนรายย่อยที่เข้ามาเก็งกำไร ดันปริมาณการซื้อขายในตลาดเดือนสิงหาคม 2568 พุ่งทะลุ 1,000 ล้านล้านดอง เพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่าจากปีก่อน
แม้จะดูคึกคัก แต่เงินจำนวนไม่น้อยมาจากการกู้ยืม (Margin Account) ซึ่งตอนนี้สัดส่วน Margin ต่อ Equity ของเวียดนามเกิน 1 เท่าไปแล้ว หมายความว่า เงินที่ซื้อหุ้นอยู่ตอนนี้ เกินกว่าครึ่งเป็นเงินกู้ หากสถานการณ์ไม่เป็นไปตามคาด เช่น เวียดนามไม่ได้รับการเลื่อนขั้นเป็น Emerging Market นักลงทุนพากันเทขาย ก็อาจเกิด ‘การบังคับขายหุ้น’ (Forced Sell) ในกลุ่มที่ใช้บัญชี Margin อีกทอด นำไปสู่แรงขายมหาศาลได้
และเมื่อเปรียบเทียบกับวัฏจักรทางอารมณ์ตลาด (Psychology & Stock Market Cycle) เวียดนามอาจอยู่ในช่วง ‘ตื่นเต้น’ (Excitement) และ ‘เร้าใจ’ (Thrill) ที่คนส่วนใหญ่กำลังแห่เข้ามา และเชื่อว่าตลาดจะขึ้นต่อไม่หยุด ซึ่งมักเป็นจุดที่ความเสี่ยงซ่อนอยู่มากที่สุด
วิธีรับมือสำหรับนักลงทุน ในช่วงตลาดหุ้นร้อนแรง
คำถามที่ทุกคนอยากรู้ คือ ในช่วงที่ตลาดหุ้นเวียดนามดูจะแพงเกินมูลค่าที่แท้จริงแบบนี้นักลงทุนควรทำอย่างไร ทั้งนี้ คำตอบไม่ได้มีแบบเดียว แต่สามารถมองเป็น 3 แนวทางหลักๆ ที่ช่วยให้นักลงทุนยังสามารถคว้าโอกาสสร้างผลตอบแทนได้ แบบที่ไม่เสี่ยงมากเกินไป
1. ทยอยลดความเสี่ยง
ไม่ควรทุ่มพอร์ตทั้งหมดไปที่เวียดนามเพียงอย่างเดียว
หากคุณลงทุนในตลาดเวียดนาม และเริ่มกังวล ให้ค่อยๆ ลดสัดส่วนลงมา เช่น ลดเหลือราว 20% ของพอร์ต เพื่อจำกัดความเสี่ยงจากตลาดที่กำลังอยู่ในช่วงตื่นเต้น นักลงทุนมั่นใจเกินไป ซึ่งช่วงนี้มีความเสี่ยงที่ตลาดจะผันผวนได้ง่ายที่สุด
วิธีนี้ทำให้คุณสามารถล็อกกำไรบางส่วนไว้ โดยไม่เสียโอกาส หากตลาดยังไปต่อ
2. กระจายการลงทุนไปตลาดอื่นที่น่าสนใจ
ลดความเสี่ยงจากการกระจุกตัว โดยเพิ่มน้ำหนักไปยังตลาดที่มีมูลค่า (Valuation) ยังไม่แพง เช่น หุ้นจีนแผ่นดินใหญ่ (A-Shares) หรือตลาดหุ้นไทย (SET)
จีนมีโอกาสเป็นขาขึ้น (Upside) สูงกว่า และกำลังได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ขณะที่ไทย แม้ในมุมของโอกาสเติบโตอาจด้อยกว่า แต่ราคาถูกและยังเป็นจังหวะสะสมได้
การกระจายตลาดช่วยบาลานซ์พอร์ต ไม่ต้องขึ้นอยู่กับเวียดนามอย่างเดียว
3. ให้ AI ช่วยเลือกหุ้น และประเทศที่น่าลงทุนให้
ถ้าคุณกังวลว่าหุ้นเวียดนามแพงไปแล้ว ยังไม่มั่นใจว่าตลาดไหนน่าลงทุน กังวลว่าจะลงทุนผิดจังหวะ สามารถลงทุนใน Jitta Ranking Alpha
ซึ่งจะมี Alpha AI คอยเลือกประเทศที่น่าลงทุนที่สุดจาก 4 ตลาดหุ้นหลักของโลก ได้แก่ สหรัฐฯ จีน ญี่ปุ่น และฮ่องกง จากนั้น Jitta Ranking AI จะเลือก ‘หุ้นดีราคาถูก’ ระดับท็อปของตลาดมาจัดพอร์ตให้คุณอีกที
พร้อมกับคอยปรับพอร์ตหุ้นทุกๆ 3 เดือน และรีวิวปรับประเทศให้คุณทุกปี เพื่อให้คุณได้ลงทุน ‘หุ้นดีราคาถูก’ ในตลาดหุ้นที่มีโอกาสเติบโตดีที่สุดในแต่ละปี

หุ้นเวียดนามยังมีอนาคต
แม้ตลาดหุ้นเวียดนามจะดูเหมือนเข้าสู่โซนแพง แต่ไม่ได้หมายความว่า โอกาสจะหมดไป ความเชื่อมั่นภายในประเทศยังแข็งแกร่ง กระแสเงินลงทุน (Fund Flow) จากนักลงทุนต่างชาติยังคงไหลเข้า และปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจเวียดนามยังคงน่าสนใจ
สิ่งสำคัญคือ นักลงทุนต้องไม่ลืมว่าตลาดหุ้นมีขึ้นมีลง วันนี้พุ่งแรง อนาคตก็อาจมีวันที่ปรับฐานลงมา ดังนั้น การจัดพอร์ตให้ยืดหยุ่น กระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสม คือกุญแจที่จะทำให้พอร์ตเติบโตได้ต่อเนื่อง โดยไม่พังจากความผันผวนที่เข้ามากระแทก
สุดท้าย ไม่ว่าเวียดนามจะไปต่อหรือเริ่มพักฐาน การลงทุนระยะยาวด้วยหลักการและวินัยที่ถูกต้อง ย่อมดีกว่าการวิ่งตามกระแส เพราะเป้าหมายไม่ใช่แค่กำไรในวันนี้ แต่คือความมั่งคั่งที่ยั่งยืนในวันข้างหน้า