เวียดนามอัปเกรดสู่ Emerging Market วิเคราะห์โอกาสและกลยุทธ์การลงทุน

ไฮไลต์
- FTSE Russell ยกระดับเวียดนามสู่ Emerging Market มีผล 21 กันยายน 2569 คาดเงินทุนต่างชาติไหลเข้ากว่า 6,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
- เศรษฐกิจเวียดนามโตต่อเนื่อง GDP คาดขยายตัวเฉลี่ย 6-7% ต่อปี หนุนจาก FDI และนโยบายพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
- หุ้นเวียดนามเริ่มไม่ถูกเหมือนเดิม นักลงทุนควรถือลงทุนระยะยาวและทยอยสะสมอย่างมีวินัย
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ข่าวใหญ่ที่สร้างความตื่นตัวให้กับนักลงทุนทั่วโลก คือการที่ FTSE Russell ประกาศยกระดับสถานะ ตลาดหุ้นเวียดนาม จากเดิมที่อยู่ในกลุ่ม Frontier Market ขึ้นมาเป็น Emerging Market (Secondary Emerging) โดยจะมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการในวันที่ 21 กันยายน 2569
การเปลี่ยนผ่านครั้งนี้ถือเป็นหมุดหมายสำคัญของตลาดทุนเวียดนาม สะท้อนถึงการพัฒนาอย่างต่อเนื่องของประเทศทั้งในด้านโครงสร้างเศรษฐกิจ ระบบตลาดทุน และการกำกับดูแลที่มีความโปร่งใสมากขึ้น
เหตุผลที่ยกระดับเวียดนาม
เกณฑ์การพิจารณาของ FTSE Russell ครอบคลุมหลายด้าน ตั้งแต่ความโปร่งใสและประสิทธิภาพของระบบซื้อขาย ความยืดหยุ่นของกฎเกณฑ์สำหรับนักลงทุนต่างชาติ ขนาดและสภาพคล่องของตลาด ไปจนถึงมาตรฐานธรรมาภิบาลของบริษัทจดทะเบียน
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เวียดนามอยู่ในกลุ่มตลาดชายขอบ หรือ Frontier Market แม้เศรษฐกิจจะเติบโตเฉลี่ยกว่า 6-7% ต่อปี แต่ยังติดข้อจำกัดด้านโครงสร้าง โดยเฉพาะระบบการชำระบัญชีและการโอนเงินระหว่างประเทศสำหรับนักลงทุนต่างชาติ
อย่างไรก็ตาม ในช่วงสองปีที่ผ่านมา ทางการเวียดนามได้เร่งปฏิรูปตลาดทุนครั้งใหญ่ เพื่อยกระดับให้เทียบเท่ามาตรฐานสากล หนึ่งในความเปลี่ยนแปลงสำคัญคือการเตรียมเปิดใช้ระบบซื้อขายใหม่จาก Korea Exchange (KRX) ซึ่งจะช่วยเพิ่มความรวดเร็วและลดข้อผิดพลาดในกระบวนการซื้อขาย
นอกจากนี้ รัฐบาลยังทยอยยกเลิกระบบ Pre-funding Requirement ที่เคยบังคับให้นักลงทุนต่างชาติต้องวางเงินเต็มจำนวนก่อนซื้อหุ้น รวมถึงปรับปรุงกฎระเบียบการเปิดบัญชีและโอนเงินต่างประเทศให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น
การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ทำให้ FTSE Russell มองเห็นพัฒนาการที่ชัดเจน และตัดสินใจยกระดับสถานะเวียดนามเข้าสู่รายชื่อ Emerging Market หลังจากอยู่ใน Watch List มาตั้งแต่ปี 2561
เงินทุนต่างชาติไหลเข้า
การยกระดับสู่ตลาดเกิดใหม่ไม่ได้มีความหมายแค่เชิงสัญลักษณ์ แต่ยังเป็นตัวกระตุ้นเงินทุนต่างชาติให้หลั่งไหลเข้าสู่เวียดนามอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากกองทุนต่างประเทศจำนวนมาก โดยเฉพาะกองทุนที่อ้างอิงตาม ดัชนี FTSE Emerging Markets จะต้องเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในเวียดนามโดยอัตโนมัติ
นักวิเคราะห์คาดว่าเม็ดเงินที่จะไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นเวียดนามหลังจากอัปเกรด จะอยู่ระหว่าง 5,000-6,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในระยะเวลาไม่นานหลังมีผลบังคับใช้
แรงซื้อจากนักลงทุนต่างชาติจะช่วยหนุนให้มูลค่าตลาด (Market Cap) ขยายตัวต่อเนื่อง และมีแนวโน้มผลักดันราคาหุ้นขนาดใหญ่ในกลุ่มธนาคาร พลังงาน และสินค้าอุปโภคบริโภคให้ปรับขึ้นต่อเนื่อง
ความคาดหวังเหล่านี้สะท้อนออกมาอย่างชัดเจนในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่อ ดัชนีตลาดหุ้นเวียดนาม (VN Index) ปรับตัวขึ้นทันทีหลังข่าวประกาศยกระดับเผยแพร่ออกไป
เวียดนามแพงไปแล้วหรือยัง
ถึงแม้แรงซื้อจากนักลงทุนต่างชาติจะหนุนให้ตลาดคึกคัก แต่ก็ต้องยอมรับว่าหุ้นเวียดนามในปัจจุบันอาจ ‘ไม่ได้ถูกเหมือนในอดีต’ อีกต่อไป
จากข้อมูล Market Prediction ของ Jitta Wealth พบว่า สัดส่วนหุ้นราคาถูกและหุ้นราคาแพงในตลาดปัจจุบันอยู่ในระดับใกล้เคียงกัน ต่างจากช่วงสองปีก่อนที่หุ้นราคาถูกมีมากกว่าอย่างชัดเจน ซึ่งบ่งชี้ว่าตลาดเริ่มสะท้อนความคาดหวังไปไม่น้อยแล้ว
หากอ้างอิงจากสถิติในอดีต ตลาดหุ้นเวียดนามมักอยู่ในช่วงที่มูลค่าสูงหรือ ‘แพง’ ได้ประมาณ 2-3 ปี ก่อนจะเริ่มปรับฐาน
ดังนั้น ในระยะสั้นถึงกลาง ตลาดยังคงมีแรงหนุนจากปัจจัยบวก แต่ก็ต้องระมัดระวังหากมูลค่าหุ้นปรับขึ้นเร็วเกินไป โดยเฉพาะเมื่อ ‘อัตราหุ้นถูกต่อหุ้นแพง’ ลดลงต่ำกว่า 0.3 เท่า ซึ่งอาจเป็นสัญญาณว่าตลาดเริ่มร้อนแรงและมีความเสี่ยงต่อการปรับฐาน
(นักลงทุนสามารถติดตามตัวเลข Market Prediction ได้ใน Live ผ่านช่องทาง YouTube ของ Jitta Wealth ทุกวันพุธเวลา 19.00 น.)
ภาพรวมเศรษฐกิจยังแข็งแกร่ง
ในมุมมหภาค เศรษฐกิจเวียดนามยังคงเติบโตต่อเนื่อง โดยคาดว่า GDP ปี 2568 จะขยายตัวประมาณ 6-7% ต่อปี การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ โดยเฉพาะในภาคการผลิต เทคโนโลยี และอุตสาหกรรมส่งออก
ขณะเดียวกัน ค่าแรงที่แข่งขันได้และนโยบายส่งเสริมการลงทุนจากภาครัฐ ทำให้เวียดนามกลายเป็นฐานการผลิตสำคัญของภูมิภาคเอเชีย
ภาครัฐยังคงเน้นเสถียรภาพทางเศรษฐกิจมหภาค ทั้งการควบคุมเงินเฟ้อ การบริหารค่าเงิน และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง เพื่อดึงดูดการลงทุนจากภาคเอกชนและต่างชาติ
ปัจจัยเหล่านี้ช่วยเสริมความมั่นใจให้กับนักลงทุนในระยะยาว และสร้างพื้นฐานที่แข็งแรงรองรับการเติบโตของตลาดทุนในอนาคต
กลยุทธ์ลงทุนหุ้นเวียดนาม
สำหรับผู้ที่มีพอร์ตการลงทุนในตลาดเวียดนามอยู่แล้ว ยังสามารถถือและทยอยลงทุนต่อเนื่องได้ เพราะแนวโน้มระยะกลางยังเป็นบวก แต่ควรระวังไม่เพิ่มน้ำหนักมากเกินไป เนื่องจากราคาหุ้นจำนวนมากเริ่มสะท้อนความคาดหวังไปบางส่วนแล้ว
ส่วนผู้ที่ยังไม่มีการลงทุนในเวียดนาม อาจเริ่มทยอยสะสมได้ในช่วงนี้ โดยเน้นกลยุทธ์ลงทุนระยะยาวมากกว่าการเก็งกำไรระยะสั้น
สำหรับผู้ที่ลงทุนผ่าน Global ETF ซึ่งมีการลงทุน Vanguard FTSE Emerging Markets ETF (VWO) ก็จะได้รับประโยชน์โดยอัตโนมัติ เพราะเมื่อเวียดนามได้รับการอัปเกรด ดัชนีเหล่านี้จะเพิ่มน้ำหนักประเทศเวียดนามในพอร์ตการลงทุนทันที
ถึงแม้เวียดนามจะเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูง แต่อย่าลืมหลักการสำคัญของการลงทุนคือ ‘การกระจายความเสี่ยง’ ตลาดที่มีมูลค่าถูกกว่า เช่น จีนหรือฮ่องกง ยังคงเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจในการกระจายพอร์ต เพื่อสร้างความสมดุลระหว่างโอกาสและความเสี่ยงในระยะยาว
ให้ Jitta Wealth ช่วยคว้าโอกาสลงทุน
สำหรับนักลงทุนที่สนใจโอกาสเติบโตในตลาดหุ้นเวียดนาม นอกจากการลงทุนใน Global ETF แล้ว ยังสามารคว้าโอกาสการเติบโตผ่าน Jitta Ranking หุ้นเวียดนาม ที่มี AI คอยคัดเลือก ‘หุ้นดีราคาถูก’ ให้ลงทุน พร้อมช่วยปรับพอร์ตให้ทุกๆ 3 เดือนเริ่มต้น 500,000 บาท
แต่หากใครกังวลว่าตลาดหุ้นเวียดนามเริ่มมีมูลค่าสูงขึ้น อยากกระจายความเสี่ยงไปประเทศอื่นๆ แต่ไม่รู้จะเลือกลงทุนประเทศไหนดีก็สามารถเลือกลงทุนผ่าน Jitta Ranking Alpha ที่มี Alpha AI คอยเลือกตลาดหุ้นที่น่าลงทุนที่สุดจาก 4 ตลาดหลักของโลกอย่าง สหรัฐฯ จีน ญี่ปุ่น และฮ่องกง พร้อมกับคัดหุ้นดีราคาถูก จากนั้นก็ปรับพอร์ตหุ้นให้ทุกๆ 3 เดือน รีวิวปรับประเทศให้ทุกปี
หากสนใจลงทุนสามารถติดต่อเจ้าหน้าที่แนะนำการลงทุนของเราได้ที่ Line: @JittaWealth หรือ โทร 02-460-8888 ปรึกษาฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย