Skip to content - ข้ามไปที่เนื้อหา
Blog

ลงทุนแบบเน้นคุณค่า หลักการที่ไม่มีวันตาย


Jitta Wealth

ไฮไลต์

  • การลงทุนแบบเน้นคุณค่า (Value Investing) คือการเลือกหุ้นดี ราคายุติธรรม มั่นคงในระยะยาว
  • หุ้นเติบโต (Growth) จะมองหาธุรกิจที่โตเร็ว เน้นโอกาสทำกำไรสูง
  • ในช่วงเศรษฐกิจขยายตัว การลงทุนในหุ้นเติบโตอาจทำผลตอบแทนได้ดีกว่า แต่ก็แลกมากับความเสี่ยงที่จะขาดทุนสูงเช่นกัน
  • กลยุทธ์ลงทุนแบบเน้นคุณค่า สามารถสร้างผลตอบแทนได้ในทุกวัฏจักรเศรษฐกิจ เพราะเน้นความมั่นคงและกระแสเงินสด
  • โนยบาย Jitta Ranking ช่วยคุณลงทุนแบบเน้นคุณค่า ใช้ AI คัดหุ้นที่สถานะการเงินแข็งแรง และคอยปรับพอร์ตให้ เหมาะสำหรับนักลงทุนระยะยาวที่ต้องการวินัยและความสม่ำเสมอ โดยไม่ต้องเฝ้าตลาดรายวัน

อาจคุ้นหูกันมาไม่มากก็น้อย กับคำว่า ‘การลงทุนแบบเน้นคุณค่า’ หรือที่เรามักเรียกกันว่า ‘การลงทุนแบบ VI’ เป็นแนวทางที่ Jitta Wealth ยึดมั่น ซึ่งมีต้นแบบมาจาก ปู่ Warren Buffett นักลงทุนระดับตำนาน 

ตรงกันข้ามกับการลงทุนแบบเน้นคุณค่า ก็คือการลงทุนในหุ้นเติบโต หรือหุ้น Growth ซึ่งเปรียบเทียบง่ายๆ ก็คือ การมองหาของดีราคาถูก เน้นความปลอดภัย กับ มองหาธุรกิจที่โตเร็ว เน้นโอกาสทำกำไรสูง

แล้วแบบนี้หุ้นเติบโต ที่ได้ชื่อว่าโตเร็ว ก็น่าลงทุนกว่าหรือไม่?

ถ้าในมุมการเติบโตก็อาจใช่ และมีบางปีที่การลงทุนในหุ้นเติบโตทำผลตอบแทนได้ดีกว่า การลงทุนแบบเน้นคุณค่าจริงๆ แต่ทำไม ปู่ Buffett ถึงเลือกลงทุนแบบเน้นคุณค่า จนสร้างผลตอบแทนได้มหาศาล ตลอดเส้นทางการลงทุนกว่า 60 ปี เราจะพาไปดูกัน

ย้อนอดีต หุ้นคุณค่าแพ้จริงหรือ?

ช่วงหลายปีที่ผ่านมา (2017-2021) หุ้นคุณค่าทำผลตอบแทนแพ้หุ้นเติบโตหรือหุ้น Growth ติดๆ กันหลายปี ถึงขนาดที่นักวิเคราะห์ต่างฟันธงว่า ‘หมดยุคทองของหุ้นคุณค่า’ เลยด้วยซ้ำ แถมยังบอกอีกว่าวิธีลงทุนของปู่ Buffett ที่เน้นแต่หุ้นคุณค่ามันล้าหลังไปแล้ว ใช้ไม่ได้แล้วกับโลกยุคเทคโนโลยีแบบนี้

แต่หลังจาก Fed ประกาศขึ้นดอกเบี้ยในปี 2022 หุ้นคุณค่ากลับได้รับการพูดถึงอีกครั้ง และปู่ Buffett ก็กลับมาทำกำไรมหาศาลจากการลงทุนหุ้นคุณค่า ในขณะที่นักลงทุนหลายคนเจอพอร์ตติดลบกันหนักหน่วง

ทำไมหุ้นคุณค่าถึงกลับมาเฉิดฉายได้อีกครั้ง? 

แม้จะมีช่วงที่หุ้นเติบโตทำผลตอบแทนได้ดีกว่า แต่เราจะพามาดูเบื้องหลังว่าทำไม ‘การลงทุนแบบเน้นคุณค่า’ ถึงไม่มีวันตาย

ที่หุ้นคุณค่ากลับมาถูกพูดถึงมาจากเรื่องเงินเฟ้อ ซึ่งไปบังคับให้ธนาคารกลางหลายแห่งต้องปรับดอกเบี้ยนโยบายให้สูงขึ้น

ผลที่ตามมาก็คือดอกเบี้ยของสินเชื่อจะสูงขึ้นด้วย ถ้าบริษัทกู้เงินมาลงทุนจะต้องจ่ายดอกเบี้ยเยอะขึ้นเป็นเงาตามตัว ก็ต้องคิดหน้าคิดหลังมากหน่อย

ดังนั้น บริษัทก็จะลงทุนเฉพาะโครงการที่เห็นผลดีชัดเจน และตัดโครงการที่ยังไม่จำเป็นออกไปเพื่อลดค่าใช้จ่าย ซึ่งทำให้บริษัทเติบโตช้าลงในที่สุด

ผลของดอกเบี้ยสูงขึ้นอีกทางคือเศรษฐกิจจะชะลอตัวลงซึ่งทำให้การขยายธุรกิจยากขึ้นไปอีก กลุ่มที่โดนเต็มๆ ก็คือหุ้น Growth เพราะเป็นหุ้นที่ถูกซื้อเพราะความคาดหวังถึงการเติบโตในอนาคตเป็นหลัก เมื่อบริษัททำท่าว่าจะเติบโตช้าลงกว่าที่คาดไว้ ราคาหุ้นก็จะปรับตัวลง

ส่วนหุ้นคุณค่านั้นไม่ได้มีจุดเด่นเรื่องการเติบโตอยู่แล้ว แต่เน้นไปที่ความมั่นคงของธุรกิจและการสร้างกระแสเงินสดได้อย่างสม่ำเสมอมากกว่า

และหุ้นคุณค่าก็มักอยู่ในอุตสาหกรรมที่จำเป็น เช่น อาหารและเครื่องดื่ม ของใช้ส่วนตัว สาธารณูปโภค ทำให้เมื่อต้นทุนสูงขึ้นจากเงินเฟ้อก็ขึ้นราคาได้โดยยอดขายไม่ตกมาก แม้ในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัวลง

หุ้นคุณค่าจึงเป็นที่ต้องการของนักลงทุนในช่วงเวลาแบบนี้เพราะมักทำผลประกอบการได้ดี ราคาหุ้นก็จะสูงขึ้นตามกลไกตลาด

ทำไมหุ้นคุณค่าถึงไม่มีวันตาย

เศรษฐกิจ หรือตลาดหุ้น มีขึ้นมีลง สักวันนึงคุณก็ต้องเจอช่วงที่เงินเฟ้อสูง ดอกเบี้ยสูง ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากตามวัฏจักรเศรษฐกิจ

การลงทุนในหุ้นคุณค่าที่มีธุรกิจมั่นคงแข็งแรง ทำให้คุณมั่นใจได้ว่าพอร์ตของคุณจะเอาชนะช่วงเวลาแบบนี้ไปได้ กลับกัน หุ้นเติบโต ที่ถ้าในมุมการเติบโตก็อาจน่าลงทุนกว่า แต่ในมุมความเสี่ยงแล้ว การลงทุนในหุ้นเติบโตแบบไม่ระวังก็อาจทำให้คุณถึงขั้นยุติเส้นทางการลงทุนได้เลยทีเดียว แม้จะเป็นในช่วงที่เศรษฐกิจดีก็ตาม

ลงทุนเน้นคุณค่าแบบ Jitta Ranking 

การลงทุนแบบ Jitta Ranking นั้นใช้ AI คอยเสาะหาหุ้นของบริษัทที่มีสถานะการเงินดี ธุรกิจแข็งแกร่ง และกำลังมีผลการดำเนินงานโดดเด่น เพื่อให้พอร์ตของคุณปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ไปตามสภาพเศรษฐกิจอยู่เสมอ 

ที่สำคัญคือ AI จะปรับพอร์ตให้คุณแบบไม่นำอารมณ์เข้ามาปะปน ช่วยให้คุณรักษาวินัยในการลงทุนได้ง่ายมากขึ้นไปอีก

หากคุณเป็นผู้ยึดมั่นในการลงทุนระยะยาวแต่อยากมีเวลาในชีวิตมากขึ้น ไม่ต้องการติดตามข่าวสารรายวัน ก็สามารถลงทุนใน ‘หุ้นคุณค่า’ ไปกับแผน Jitta Ranking ของเราได้ โดยคุณสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่นี่