Skip to content - ข้ามไปที่เนื้อหา
blog

เจาะลึก 3 ดัชนีหุ้นสหรัฐฯ ที่มือใหม่ไม่ควรพลาด?


All Category

ไฮไลต์

  • ตลาดหุ้นสหรัฐฯ แหล่งรวมบริษัทระดับโลก เป็นเป้าหมายอันดับหนึ่งของนักลงทุนที่ต้องการการเติบโตระยะยาว
  • Dow Jones (DJIA) – พี่ใหญ่สายมั่นคง ดัชนีที่เก่าแก่ที่สุด (ก่อตั้งปี 1896) คัดเน้นๆ 30 บริษัท Blue Chip ระดับตำนาน (เช่น Coca-Cola, McDonald’s) เปรียบเสมือนมาตรวัดสุขภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่เน้นความแข็งแกร่ง
  • S&P 500 – ตัวแทนตลาดที่สมดุล รวม 500 บริษัทชั้นนำ ครอบคลุม 80% ของมูลค่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ (เช่น Apple, Microsoft) เป็น Benchmark มาตรฐานโลกที่นักลงทุนใช้เป็น ‘พอร์ตหลัก’ (Core Port) ในการสร้างความมั่งคั่ง
  • Nasdaq 100 – เจ้าแห่งเทคโนโลยี ดัชนีสาย Growth ที่คัดเฉพาะ 100 บริษัทนวัตกรรม (ไม่รวมการเงิน) โดดเด่นด้วยหุ้น Tech ยักษ์ใหญ่ (เช่น NVIDIA, Tesla) เหมาะสำหรับคนที่เชื่อมั่นในโลกอนาคต
  • เลือกดัชนีให้เหมาะกับจริตลงทุน เลือก Dow Jones เน้นรักษาเงินต้น นอนหลับสบาย เหมาะกับวัยเกษียณ เลือก S&P 500 เน้นทางสายกลาง มั่นคงระยะยาว เหมาะกับมนุษย์เงินเดือนและ DCA เลือก Nasdaq 100 เน้นสร้างตัว เร่งผลตอบแทน เหมาะกับคนรับความผันผวนได้สูง
  • เคล็ดลับความสำเร็จ ไม่ว่าเลือกดัชนีไหน กุญแจสำคัญคือ ‘วินัย’ และการลงทุนระยะยาว

การลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ เป็นหนึ่งในตัวเลือกยอดนิยมของนักลงทุนทั่วโลก เพราะตลาดแห่งนี้เต็มไปด้วยบริษัทระดับโลก ที่มีทั้งโอกาสในการเติบโต และเต็มไปด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย แต่คำถามสำคัญคือ… ดัชนีหุ้นสหรัฐฯ ตัวไหนน่าลงทุนที่สุด?

วันนี้ Jitta Wealth ขอพาคุณมาทำความรู้จักและเปรียบเทียบ 3 ดัชนีหลักของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้แก่ S&P 500, Dow Jones และ Nasdaq เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจได้ว่า ดัชนีไหนเหมาะกับเป้าหมายการลงทุนระยะยาวของคุณ

Dow Jones – ดัชนีหุ้นเก่าแก่ที่สะท้อนบริษัทยักษ์ใหญ่

เริ่มที่พี่ใหญ่รุ่นเก๋าอย่าง ดัชนี Dow Jones หรือ Dow Jones Industrial Average (DJIA) เป็นดัชนีตลาดหุ้นที่เก่าแก่และมีการอ้างอิงถึงมากที่สุดดัชนีหนึ่งในสหรัฐฯ ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม ปี 1896 โดย Charles Dow และ Edward Jones

ดัชนี Dow Jones ประกอบด้วยหุ้นของบริษัทชั้นนำ 30 แห่งในสหรัฐฯ อย่าง Coca-Cola (KO) McDonald’s (MCD) หรือ UnitedHealth Group (UNH) เป็นต้น

ซึ่งได้รับการคัดเลือกโดยคณะกรรมการของ S&P Dow Jones Indices โดยพิจารณาจากชื่อเสียง สถานะทางการเงิน และความสำคัญของบริษัทในเศรษฐกิจ

โดยองค์ประกอบของดัชนีมีการเปลี่ยนแปลงเป็นครั้งคราวเพื่อให้สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงในเศรษฐกิจและตลาด

ดัชนีนี้จึงถูกมองว่าเป็นมาตรวัดสุขภาพโดยรวมของเศรษฐกิจสหรัฐฯ 

S&P 500 – ดัชนีตัวแทนเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยรวม

มาต่อกันที่ดัชนีซึ่งนักลงทุนทั่วโลกต่างให้ความสนใจอย่าง S&P 500 หรือ Standard & Poor’s 500 Index ซึ่งก่อตั้งโดยบริษัท Standard & Poor’s และเปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 4 มีนาคม ปี 1957

เป็นดัชนีที่ครอบคลุมบริษัทขนาดใหญ่จากหลากหลายอุตสาหกรรม 500 บริษัท ตัวอย่างหุ้น ได้แก่ Apple (AAPL) Microsoft (MSFT) หรือ Berkshire Hathaway Class B (BRK.B) เป็นต้น

คิดเป็นประมาณ 80% ของมูลค่าตลาดรวมของหุ้นสหรัฐฯ ถือเป็นหนึ่งในดัชนีหุ้นที่มีการติดตามมากที่สุด และมักถูกใช้เป็นเกณฑ์มาตรฐาน (Benchmark) สำหรับวัดผลตอบแทนของการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยรวม

Nasdaq – ดัชนีแห่งเทคโนโลยีและการเติบโต

สุดท้ายที่เราจะพามารู้จักคือ ดัชนี Nasdaq 100 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของดัชนี Nasdaq Composite แต่จะติดตามผลการดำเนินงานของบริษัทที่ไม่ใช่สถาบันการเงินที่มีขนาดใหญ่ที่สุด 100 อันดับแรกที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ Nasdaq เช่น NVIDIA (NVDA) Tesla (TSLA) หรือ Meta Platforms (META) เป็นต้น

เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 31 มกราคม ปี 1985 ผู้ก่อตั้งคือองค์กร NASD (National Association of Securities Dealers) หรือ ‘สมาคมผู้ค้าหลักทรัพย์แห่งชาติ’ ของสหรัฐฯ (ปัจจุบัน NASD ได้เปลี่ยนชื่อและโครงสร้างเป็น FINRA หรือ Financial Industry Regulatory Authority) 

เนื่องจากดัชนี Nasdaq 100 ไม่นับรวมสถาบันการเงิน จึงถูกมองว่าเป็นตัวแทนของหุ้นเทคโนโลยีและนวัตกรรม ซึ่งถูกพูดถึงและเป็นที่นิยมมากกว่าดัชนี Nasdaq Composite ที่นับรวมหุ้นทุกตัวในตลาดหลักทรัพย์ Nasdaq 


เทียบฟอร์ม 3 พี่ใหญ่ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ 
(Dow Jones vs S&P 500 vs Nasdaq)
ต่างกันอย่างไร? ลงทุนตัวไหนเหมาะกับคุณ?

Dow Jones vs S&P 500 vs Nasdaq 100 ดัชนีไหนน่าลงทุนที่สุด?

ทีม Dow Jones: สายเพลย์เซฟ เน้นนอนหลับสบาย

เหมาะกับใคร: 

  • คนใกล้เกษียณ หรือเกษียณแล้ว ที่ต้องการเสี่ยงต่ำเน้นรักษาเงินต้นให้ปลอดภัย
  • คนขี้ตกใจ รับความผันผวนไม่ได้ ไม่อยากเห็นกราฟสวิงแรงๆ
  • คนที่ชอบหุ้นที่จับต้องได้: ชอบธุรกิจดั้งเดิม (Old Economy) ธนาคาร, ค้าปลีก, ยา, ของกินของใช้

ถ้าโจทย์ของคุณคือ ‘รักษาเงินต้น’ สำคัญกว่า ‘การเติบโต’ เลือกตัวนี้ เพราะเป็นหุ้นบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ล้มยากที่สุด

ทีม S&P 500: สายทางสายกลาง เน้นมั่นคงระยะยาว

เหมาะกับใคร:

  • นักลงทุนมือใหม่ หรือมือเก๋า ที่ต้องการลงทุนเป็น ‘พอร์ตหลัก’ (Core Port) ของชีวิต
  • มนุษย์เงินเดือน: ที่ต้องการ DCA ทุกเดือนเพื่อวัยเกษียณ
  • คนที่ไม่ชอบเลือกหุ้นเอง อยากได้ผลตอบแทนตามค่าเฉลี่ยตลาด (ประมาณ 8-10% ต่อปี)

ถ้าคุณเลือกไม่ถูกว่าจะไปสายไหน เซฟ หรือ ซิ่ง ให้เลือกตัวนี้ เพราะนี่คือตัวแทนเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ไม่เสี่ยงไป ไม่ช้าไป

ทีม Nasdaq 100: สายซิ่ง วัยรุ่นสร้างตัว

เหมาะกับใคร:

  • คนอายุน้อย มีเวลาลงทุนนาน (10 ปีขึ้นไป) เพราะต้องใช้เวลาลดความผันผวน
  • คนที่รับความเสี่ยงได้สูงมาก เห็นพอร์ต -50% แล้วยังกินอิ่มนอนหลับ ไม่ขายทิ้ง
  • สาวก Tech & Innovation เชื่อมั่นว่า AI Robot และเทคโนโลยีคืออนาคตของโลก

ถ้าอยากเร่งผลตอบแทนและยอมเจ็บตัวได้ เลือกตัวนี้ ผลตอบแทนคาดหวังสูงที่สุด แต่ต้องใจนิ่งเหมือนหินให้ได้

แต่ไม่ว่าคุณจะเลือกดัชนีไหน สิ่งที่สำคัญกว่าคือ การลงทุนอย่างมีวินัยในระยะยาว เพราะไม่มีใครคาดเดาตลาดได้อย่างแม่นยำ แต่การลงทุนอย่างสม่ำเสมอ กระจายความเสี่ยง และมีระบบที่ดีจะช่วยให้พอร์ตของคุณเติบโตอย่างมั่นคง


ไม่มีดัชนีไหนดีที่สุด มีแต่ดัชนีที่ ‘เหมาะกับเป้าหมาย’ ของคุณที่สุด ถ้าคุณอยากลงทุนหุ้นสหรัฐฯ ปรึกษาเจ้าหน้าที่แนะนำการลงทุนของเราได้ที่ Line: @JittaWealth หรือโทร 02-460-8888 ได้ทุกวันทำการ ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย