Skip to content - ข้ามไปที่เนื้อหา
blog

คู่มือกองทุนรวมสำหรับมือใหม่ 2025 สรุปครบ เริ่มลงทุนได้เลย


All Category

ไฮไลต์

  • กองทุนรวมคือ ‘จุดเริ่มต้นที่ดี’ สำหรับนักลงทุนมือใหม่ เพราะไม่ต้องมีเงินเยอะ ไม่ต้องเฝ้าตลาด และมีผู้เชี่ยวชาญดูแลการลงทุนแทนคุณ
  • เลือกลงทุนได้ตามระดับความเสี่ยง ตั้งแต่กองทุนรวมตลาดเงิน กองทุนรวมตราสารหนี้ กองทุนรวมหุ้น ไปจนถึงกองทุนรวมต่างประเทศ
  • ปี 2025 เป็นจังหวะสำคัญของตลาดโลก หลัง Fed เริ่มลดดอกเบี้ย หนุนให้สินทรัพย์เสี่ยงกลับมาน่าสนใจ ทั้งหุ้นสหรัฐฯ ญี่ปุ่น จีน และตลาดเกิดใหม่อย่างอินเดีย และเวียดนาม
  • มือใหม่เริ่มลงทุนได้ง่าย เริ่มจากตั้งเป้าหมาย จากนั้นเลือกกองทุนให้เหมาะกับความเสี่ยง และเปิดบัญชีกับผู้ให้บริการที่เชื่อถือได้

การลงทุน กองทุนรวม คือจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับมือใหม่ เพราะไม่ต้องมีความรู้ลึก ไม่ต้องมีเงินเยอะ และไม่ต้องนั่งเฝ้าหน้าจอทุกวัน ก็สามารถให้เงินทำงานแทนเราได้

วันนี้ Jitta Wealth สรุปให้ครบว่า กองทุนรวมคืออะไร มีกี่ประเภท และควรเริ่มยังไงให้พอร์ตเติบโตอย่างมั่นคงในปี 2025

กองทุนรวมคืออะไร?

กองทุนรวม (Mutual Fund) คือการรวมเงินจากนักลงทุนจำนวนมากเข้ามาไว้ในกองกลางเดียวกัน เพื่อให้ ‘ผู้จัดการกองทุนมืออาชีพ’ นำเงินนั้นไปลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท เช่น หุ้น ตราสารหนี้ พันธบัตรรัฐบาล ทองคำ อสังหาริมทรัพย์ หรือแม้แต่น้ำมัน โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนทุกคนตามระดับความเสี่ยงที่เลือกไว้

พูดง่ายๆ กองทุนรวมคือ ‘การจ้างมืออาชีพลงทุนแทนเรา’ ผู้จัดการกองทุนจะเป็นคนตัดสินใจว่า ควรซื้อ-ขายสินทรัพย์อะไร เมื่อไหร่ และในสัดส่วนเท่าไร เพื่อให้ผลตอบแทนของพอร์ตโดยรวมเติบโตอย่างมั่นคงในระยะยาว

ข้อดีของกองทุนรวมคือ นักลงทุนไม่จำเป็นต้องมีความรู้เชิงลึกหรือใช้เวลาวิเคราะห์หุ้นเอง เพราะผู้เชี่ยวชาญจะช่วยบริหารจัดการทั้งหมดให้เรียบร้อย อีกทั้งยังเปิดโอกาสให้เข้าถึง ‘สินทรัพย์ระดับโลก’ ได้ แม้จะเริ่มลงทุนเพียงหลักพันบาทเท่านั้น

นอกจากนี้ กองทุนรวมยังเหมาะกับผู้ที่ต้องการ ‘กระจายความเสี่ยง’ เพราะการลงทุนในกองทุนรวมบางประเภทไม่ได้อยู่ในสินทรัพย์เดียว เช่น กองทุนรวมผสม ถ้าหุ้นบางส่วนราคาลดลง ส่วนที่เป็นตราสารหนี้หรือทองคำอาจยังให้ผลตอบแทนดีอยู่ จึงช่วยลดความผันผวนของพอร์ตโดยรวมได้มากกว่าการลงทุนเองโดยตรง

กองทุนรวมมีกี่ประเภท

กองทุนรวมมีหลายประเภทให้เลือกตาม ‘เป้าหมายการลงทุน’ และ ‘ระดับความเสี่ยง’ ที่แต่ละคนรับได้ ไม่มีคำว่าดีหรือแย่ แต่ขึ้นอยู่กับว่าเราต้องการผลตอบแทนแบบไหนและถือได้นานแค่ไหน โดยหลักๆ สามารถแบ่งออกได้เป็น 5 ประเภท ดังนี้

1. กองทุนรวมตลาดเงิน (Money Market Fund)
เป็นกองทุนที่มี ‘ความเสี่ยงต่ำที่สุด’ เพราะเน้นลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้น หรือเงินฝากธนาคาร ผลตอบแทนอาจไม่สูงมาก แต่ค่อนข้างมั่นคงและปลอดภัย เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการ ‘พักเงินระยะสั้น’ หรืออยากเก็บเงินไว้ใช้ในอนาคตอันใกล้ เช่น ภายใน 6-12 เดือน

2. กองทุนรวมตราสารหนี้ (Bond Fund)
ลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐหรือเอกชน เช่น พันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้บริษัทขนาดใหญ่ ให้ผลตอบแทนมากกว่าการฝากเงิน มีความเสี่ยงต่ำ เหมาะกับนักลงทุนที่เน้น ‘รักษาเงินต้น’ มากกว่าการเติบโตเร็ว

3. กองทุนรวมหุ้น (Equity Fund)
เหมาะกับคนที่รับความผันผวนได้ดี เพราะลงทุนในหุ้นโดยตรง เพื่อโอกาสสร้างผลตอบแทนสูงในระยะยาว แม้อาจมีขึ้นลงตามภาวะตลาด แต่หากถือยาว 5-10 ปี ผลตอบแทนเฉลี่ยมักสูงกว่ากองทุนประเภทอื่น เหมาะกับผู้ที่ต้องการ ‘สร้างความมั่งคั่ง’ หรือ ‘วางแผนเกษียณ’

4. กองทุนรวมผสม (Mixed Fund)
เป็นการ ‘ผสมหุ้นกับตราสารหนี้’ ในสัดส่วนที่เหมาะสม เพื่อสร้างสมดุลระหว่างความเสี่ยงและผลตอบแทน เหมาะกับนักลงทุนที่อยากบาลานซ์ ‘ความมั่นคง’ และ ‘โอกาสเติบโต’ ในเวลาเดียวกัน เช่น ลงทุนในหุ้น 60% และตราสารหนี้ 40% เพื่อให้พอร์ตไม่ผันผวนจนเกินไป

5. กองทุนรวมต่างประเทศ (Feeder Fund / Global Fund)
เป็นกองทุนที่นำเงินไปลงทุนในต่างประเทศ เพื่อกระจายความเสี่ยงออกจากตลาดไทย เช่น หุ้นสหรัฐฯ จีน ญี่ปุ่น ฯลฯ จุดเด่นคือช่วยเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนจากเศรษฐกิจหลายภูมิภาค เหมาะกับคนที่อยาก ‘ลงทุนทั่วโลก’ 

กองทุนรวม คืออะไร ทางลัดสู่การลงทุนมืออาชีพ กองทุนรวมคือเครื่องมือที่รวมเงินของนักลงทุนหลายคน มาลงทุนโดยมืออาชีพ (ผู้จัดการกองทุน) เพื่อให้ทุกคนเข้าถึงสินทรัพย์ใหญ่ๆ ได้ แม้เริ่มต้นด้วยเงินเพียงหลักพัน กองทุนรวมมีกี่แบบ 1 กองทุนรวมตลาดเงิน (Money Market Fund) ลงทุนในพันธบัตรระยะสั้น ความเสี่ยงต่ำ ผลตอบแทนใกล้เคียงเงินฝาก 2 กองทุนรวมตราสารหนี้ (Bond Fund) ลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐและเอกชน ผลตอบแทนสม่ำเสมอ 3 กองทุนรวมหุ้น (Equity Fund) ลงทุนในหุ้น มีโอกาสได้ผลตอบแทนสูง แต่ก็มีความผันผวน 4 กองทุนรวมผสม (Mixed Fund) ผสมหุ้นกับตราสารหนี้ เหมาะกับคนต้องการสมดุล 5 กองทุนรวมต่างประเทศ (Feeder Fund / Global Fund) ลงทุนในสินทรัพย์ทั่วโลก เพื่อกระจายความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทน ข้อดีของกองทุนรวม เริ่มลงทุนได้ด้วยเงินน้อย มีผู้เชี่ยวชาญดูแลกระจายความเสี่ยงหลายสินทรัพย์ Omni Fund จัดสรรกองทุนรวมคุณภาพ กระจายความเสี่ยงทั่วโลก เริ่มเพียง 1,000 บาท

​​ทำไมกองทุนรวมเหมาะกับมือใหม่

เพราะกองทุนรวมคือทางเลือกการลงทุนที่เริ่มต้นง่ายที่สุด แต่ให้โอกาสเติบโตในระยะยาวได้จริง โดยเฉพาะสำหรับคนที่มีเวลาจำกัด ไม่ชำนาญในการเลือกหุ้น หรือไม่อยากเฝ้าหน้าจอตลอดเวลา ก็ยังสามารถให้เงินทำงานแทนตัวเองได้อย่างมีระบบ

1. เริ่มง่าย ใช้เงินไม่มาก
มือใหม่หลายคนอาจคิดว่าการลงทุนต้องใช้เงินก้อนใหญ่ แต่กองทุนรวมเปิดโอกาสให้เริ่มได้เพียงหลักร้อยหรือหลักพันบาทต่อเดือนเท่านั้น เหมาะกับคนที่อยาก ‘ลองเริ่มต้น’ และค่อยๆ สร้างวินัยการลงทุนระยะยาว

2. มีผู้เชี่ยวชาญดูแลการลงทุนแทนคุณ
ผู้จัดการกองทุนคือมืออาชีพที่คอยติดตามสภาวะเศรษฐกิจ วิเคราะห์แนวโน้มตลาด และจัดพอร์ตให้เหมาะกับช่วงเวลา ช่วยลดภาระในการตัดสินใจซื้อ-ขายเอง เหมาะกับคนที่ยังไม่มีประสบการณ์หรือต้องการเริ่มอย่างมั่นใจ

3. กระจายความเสี่ยงได้ในพอร์ตเดียว
กองทุนรวม กระจายลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ตามนโยบายของกองทุนรวมนั้นๆ เช่น กองทุนรวมหุ้น ก็ลงทุนในหุ้นหลายตัว หรือ กองทุนรวมผสม ที่กระจายความเสี่ยงครอบคลุมหลายสินทรัพย์ โดยกระจายไปยังหุ้น ตราสารหนี้ ทองคำ หรือสินทรัพย์ต่างประเทศ ทำให้พอร์ตมีเสถียรมากกว่า และลดผลกระทบหากตลาดฝั่งใดฝั่งหนึ่งผันผวน

4. ใช้พลังของผลตอบแทนทบต้น (Compound Return) ได้เต็มที่
กองทุนรวม มีผู้จัดการกองทุนคอยบริหารเงินให้ เมื่อคุณ DCA หรือลงทุนต่อเนื่องทุกเดือน ผลตอบแทนที่ได้จะถูกนำกลับมาลงทุนเพิ่ม ทำให้เงินโตเร็วขึ้นเรื่อยๆ แบบ ‘ทบต้น’ โดยไม่ต้องคอยจับจังหวะตลาดเอง

สรุปคือ กองทุนรวมคือ ‘ประตูบานแรก’ ของนักลงทุนมือใหม่ ที่อยากเริ่มต้นสร้างความมั่งคั่งอย่างมั่นคง มีมืออาชีพดูแล กระจายความเสี่ยงครบ และใช้เวลาเพียงเล็กน้อยในการติดตามพอร์ตเท่านั้น

วิธีเริ่มลงทุนกองทุนรวม (3 ขั้นตอนง่ายๆ + 1 กลยุทธ์)

1. กำหนดเป้าหมายการลงทุนให้ชัดเจน

ก่อนจะเริ่มลงมือ ควรถามตัวเองก่อนว่าเราลงทุนไปเพื่ออะไร เช่น อยากเก็บเงินก้อนเพื่ออนาคต อยากมีเงินเกษียณ หรืออยากสร้างรายได้ระยะยาว เพราะเป้าหมายจะเป็นตัวกำหนดทั้งระยะเวลาและระดับความเสี่ยงของพอร์ตลงทุน

2. เลือกกองทุนรวมให้เหมาะกับระดับความเสี่ยงของตัวเอง

หากคุณเป็นมือใหม่หรือไม่ชอบความผันผวน อาจเริ่มจากกองทุนรวมตราสารหนี้หรือกองทุนรวมผสม แต่ถ้ารับความเสี่ยงได้มากและอยากเห็นเงินโตเร็วขึ้น กองทุนรวมหุ้นหรือกองทุนรวมต่างประเทศจะตอบโจทย์กว่า สำคัญคือเลือกให้เหมาะกับ ‘ใจ’ และ ‘เป้าหมาย’ ของตัวเอง

3. เปิดบัญชีกองทุนรวมกับผู้ให้บริการที่น่าเชื่อถือ

คุณสามารถเปิดบัญชีผ่านบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) หรือแพลตฟอร์มออนไลน์ที่น่าเชื่อถือ มีใบอนุญาตชัดเจน เช่น Jitta Wealth ที่ช่วยให้เปิดบัญชีและเริ่มลงทุนได้ง่ายภายในไม่กี่นาที โดยไม่ต้องไปที่สาขาหรือกรอกเอกสารซับซ้อน

กลยุทธ์ลงทุนอย่างสม่ำเสมอ (DCA) เพื่อให้ผลตอบแทนทบต้นทำงานแทนคุณ

เมื่อคุณลงทุนในกองทุนรวมคุณภาพที่เหมาะสมกับเป้าหมายแล้ว สามารถ DCA หรือลงทุนเท่ากันทุกเดือน เช่น เดือนละ 1,000 บาท จะช่วยถัวเฉลี่ยต้นทุนและสร้างวินัยการลงทุนโดยไม่ต้องจับจังหวะตลาด เมื่อเวลาผ่านไป พลังของผลตอบแทนทบต้นจะช่วยให้เงินเติบโตขึ้นอย่างมั่นคง

เลือกกองทุนรวมยังไงให้เหมาะกับตัวเอง

การเลือกกองทุนรวมให้เหมาะกับตัวเอง ไม่ได้ขึ้นอยู่กับผลตอบแทนสูงสุดเท่านั้น แต่ขึ้นอยู่กับ ‘เป้าหมาย’ และ ‘ระดับความเสี่ยงที่เรารับได้’ ด้วย เพราะแต่ละคนมีสถานะทางการเงินและความคาดหวังไม่เหมือนกัน

ถ้าคุณเป็นคนที่มองระยะยาว รับความผันผวนของตลาดได้ และอยากเห็นเงินโตมากในอนาคต กองทุนรวมหุ้น จะตอบโจทย์ที่สุด เพราะแม้ระยะสั้นอาจมีขึ้นลง แต่ในระยะยาวมักให้ผลตอบแทนเฉลี่ยสูงกว่าสินทรัพย์อื่นๆ

แต่ถ้าคุณต้องการความมั่นคงมากกว่า เน้นรักษาเงินต้นและได้ผลตอบแทนสม่ำเสมอ กองทุนรวมตราสารหนี้ จะเหมาะกว่า เพราะมีความผันผวนน้อยและคาดการณ์รายได้ได้ง่าย

สำหรับคนที่อยากได้ความสมดุลระหว่าง ‘ความเสี่ยง’ และ ‘ผลตอบแทน’ กองทุนรวมผสม คือทางสายกลางที่ดี เพราะกระจายการลงทุนทั้งในหุ้นและตราสารหนี้ ช่วยลดผลกระทบหากตลาดฝั่งใดฝั่งหนึ่งผันผวน

สุดท้าย หากคุณไม่มั่นใจว่าจะเลือกกองทุนรวมแบบไหนดี การเลือก ‘พอร์ตที่จัดสรรให้อัตโนมัติ’ ก็เป็นอีกทางเลือกที่ดี เพราะระบบจะช่วยกระจายความเสี่ยง ปรับสมดุล และบริหารพอร์ตให้เหมาะกับเป้าหมายของคุณโดยไม่ต้องจัดการเองทั้งหมด

กองทุนรวมอะไรดี (โค้งสุดท้ายปี 2025)

ปี 2025 ถือเป็น ‘จุดเปลี่ยนสำคัญ’ ของตลาดการลงทุนทั่วโลก เพราะหลังจากที่เศรษฐกิจหลายประเทศผ่านช่วงดอกเบี้ยขาขึ้นมาหลายปี ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) เริ่มส่งสัญญาณลดดอกเบี้ย เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้กลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง ส่งผลให้บรรยากาศการลงทุนเริ่มสดใส นักลงทุนกลับมาถือสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น ทั้งหุ้น กองทุน และ ETF ต่างๆ

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงเป็นจุดสนใจหลักของนักลงทุนทั่วโลก เพราะบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ เช่น Apple Microsoft Nvidia และ Amazon ยังคงขับเคลื่อนนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่ม AI และ Cloud ที่กำลังกลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานของเศรษฐกิจยุคใหม่ กองทุนหุ้นสหรัฐฯ จึงยังคงมีศักยภาพเติบโตระยะยาว

ขณะที่ ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ก็กลับมาน่าจับตามองอีกครั้ง หลังเงินเยนอ่อนค่า ส่งผลดีต่อภาคการส่งออก และรัฐบาลเดินหน้าปฏิรูปเศรษฐกิจในประเทศ รวมถึงเพิ่มแรงจูงใจให้นักลงทุนต่างชาติกลับเข้ามาซื้อหุ้นญี่ปุ่นมากขึ้น

ส่วน ตลาดหุ้นจีน แม้จะเผชิญแรงกดดันจากภาคอสังหาริมทรัพย์และการบริโภคในประเทศที่ยังไม่ฟื้นเต็มที่ แต่ราคาหุ้นหลายตัวอยู่ในระดับ ‘ต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐาน’ ทำให้กลายเป็นจังหวะที่นักลงทุนระยะยาวเริ่มมองว่า ‘น่าซื้อเก็บ’ อีกครั้ง โดยเฉพาะเมื่อรัฐบาลจีนเดินหน้ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ และเร่งพัฒนาอุตสาหกรรมเทคโนโลยี พลังงานสะอาด และรถยนต์ไฟฟ้า

นอกจากสามตลาดหลักนี้แล้ว นักลงทุนยังสามารถมองหาการเติบโตจาก ตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) เช่น เวียดนาม อินเดีย และอินโดนีเซีย ที่ได้รับอานิสงส์จากการย้ายฐานการผลิตของบริษัทระดับโลก รวมถึงโอกาสในการเข้าถึงตลาดทุนระดับสากลมากขึ้น

เปิดพอร์ตกองทุนรวมที่ไหนดี

หากคุณอยากเริ่มลงทุนแต่ยังไม่แน่ใจว่าจะเปิดพอร์ตที่ไหนดี Omni Fund จาก Jitta Wealth คือคำตอบที่ลงตัว ทั้งสำหรับมือใหม่และนักลงทุนที่ต้องการความสะดวก เพราะระบบจะช่วยจัดพอร์ตให้อัตโนมัติครบจบในที่เดียว

Omni Fund ลงทุนผ่านกองทุนรวมคุณภาพที่จดทะเบียนในไทย โดยคัดเลือกจากการวิเคราะห์ครอบคลุมในแง่มุมต่างๆ เช่น ความน่าเชื่อถือ ข้อมูลผลตอบแทนย้อนหลัง ความเสี่ยง และค่าธรรมเนียม ระบบยังใช้หลัก Modern Portfolio Theory (MPT) เพื่อกระจายความเสี่ยงในสินทรัพย์หลากหลาย ทั้งหุ้น พันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้คุณภาพดี ทั้งในและต่างประเทศ แบ่งออกเป็น 3 แผนสมดุล พอเพียง และเติบโต แยกตามผลตอบแทนคาดหวัง และระดับความเสี่ยงที่รับได้

คุณไม่ต้องเลือกกองทุนรวม หรือจัดสัดส่วนพอร์ตด้วยตัวเอง เพราะระบบจะช่วยบริหารและ ปรับสมดุล (Rebalance) ให้อัตโนมัติ โดยจะปรับพอร์ตการลงทุน เมื่อสัดส่วนการลงทุนในตราสารทุนหรือตราสารหนี้ เพิ่มขึ้นหรือลดลงเกิน 5% จากสัดส่วนที่จัดสรรไว้ตามแผนการลงทุน หรือ เมื่อครบรอบ 1 ปี หลังจากที่มีการปรับพอร์ตครั้งล่าสุด

การรักษาสัดส่วนของสินทรัพย์ให้อยู่ตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้ จะช่วยรักษาความสามารถในการสร้างผลตอบแทน และระดับความเสี่ยงให้อยู่ในจุดที่เหมาะสมกับคุณมากที่สุด

เริ่มต้นง่ายๆ เพียง 1,000 บาท ก็สามารถลงทุนได้ทั่วโลก ปล่อยให้เทคโนโลยีดูแลแทนคุณ ทั้งเลือกสินทรัพย์ คัดกองทุน และจัดพอร์ตให้อย่างสมดุล ทำให้การลงทุนกองทุนรวมกลายเป็นเรื่องง่ายและมั่นคงในระยะยาว

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

ลงทุนกองทุนรวมขาดทุนไหม?
มีโอกาสขาดทุนได้ เพราะมูลค่าหน่วยลงทุน (NAV) ขึ้นลงตามภาวะตลาด แต่หากถือระยะยาว โอกาสขาดทุนก็จะลดลง และการเลือกกองทุนที่เหมาะกับความเสี่ยงของตัวเองจะช่วยให้ลงทุนได้อย่างอุ่นใจมากขึ้น

ต้องเริ่มลงทุนเท่าไหร่?
กองทุนรวมส่วนใหญ่เริ่มต้นเพียง 500-1,000 บาทเท่านั้น เหมาะกับมือใหม่ที่อยากฝึกวินัยการลงทุนผ่านวิธี DCA (ลงทุนทุกเดือนในจำนวนเท่ากัน) ซึ่งช่วยเฉลี่ยต้นทุนและลดความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาดได้ดี

ถอนเงินได้ไหม?
สามารถถอนเงินได้ตลอดเวลา ยกเว้นกองทุนที่มีเงื่อนไขพิเศษ เช่น RMF หรือ SSF ที่ต้องถือครบตามระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด การขายคืนจะได้เงินภายใน 2-5 วันทำการ ขึ้นอยู่กับกองทุนรวมนั้นๆ

ลงทุนกองทุนรวมที่ไหนดี?
สามารถเปิดบัญชีได้ทั้งกับธนาคาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) หรือแพลตฟอร์มลงทุนออนไลน์ จุดสำคัญคือควรเลือกผู้ให้บริการที่ได้รับใบอนุญาตจาก ก.ล.ต. เพื่อความปลอดภัย และตรวจสอบค่าธรรมเนียมก่อนลงทุนทุกครั้ง

ควรเลือกกองทุนแบบไหนให้เหมาะกับตัวเอง?
ขึ้นอยู่กับเป้าหมายและระดับความเสี่ยงที่รับได้ ถ้าอยากให้เงินเติบโตในระยะยาว กองทุนหุ้นอาจเหมาะกว่า แต่ถ้าเน้นความมั่นคงหรือเก็บเงินระยะสั้น กองทุนตราสารหนี้หรือตลาดเงินจะปลอดภัยกว่า

สรุปแนวทางสร้างพอร์ตเริ่มต้น

การลงทุน ‘กองทุนรวม’ คือจุดเริ่มต้นที่ดีที่สุดสำหรับมือใหม่ เพราะไม่ต้องมีเงินเยอะ ไม่ต้องเฝ้าตลาดทุกวัน และยังเปิดโอกาสให้เงินเติบโตระยะยาวผ่านพลังของผลตอบแทนทบต้น แค่เริ่มลงทุนสม่ำเสมอ คุณก็จะเห็นพอร์ตค่อยๆ งอกเงยขึ้นทุกปี

แต่ถ้าอยากให้การลงทุนง่ายกว่านั้นอีกขั้น ไม่ต้องเลือกกองเอง ไม่ต้องปรับพอร์ตเอง และยังได้กระจายความเสี่ยงทั่วโลกในพอร์ตเดียว Omni Fund จาก Jitta Wealth คือคำตอบที่ออกแบบมาเพื่อคุณโดยเฉพาะ

พอร์ตเดียวครบทุกสินทรัพย์ ทั้งหุ้น พันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้เอกชนชั้นดี ทั้งในและต่างประเทศ โดยระบบอัตโนมัติช่วยจัดพอร์ต ปรับสมดุล ให้เงินของคุณเติบโตต่อเนื่องในระยะยาว เริ่มต้นเพียง 1,000 บาท ก็สามารถลงทุนทั่วโลกได้แล้วหรือติดต่อเจ้าหน้าที่แนะนำการลงทุนของเราได้ที่ Line: @JittaWealth หรือ โทร 02-460-8888 ปรึกษาฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย