Skip to content - ข้ามไปที่เนื้อหา
Blog

สรุป Live: เปิดผลตอบแทน Jitta Wealth 2567 พร้อมกลยุทธ์ลงทุนรับปีใหม่!


Events Jitta Wealth Live

เริ่มต้นปี 2568 แบบนี้ มาพบกับ Live สรุปผลตอบแทน Jitta Wealth ปี 2567 จากคุณเผ่า ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ CEO และคุณอ้อ พรทิพย์ กองชุน CGO ของ Jitta Wealth ที่มาเปิดผลตอบแทน Jitta Wealth ทุกนโยบาย เผยโอกาสน่าลงทุนที่น่าสนใจในปีนี้ พร้อมแนวทางลงทุน จัดพอร์ตให้ปัง ทั้งหมดนี้เราสรุปมาให้คุณแล้ว 

หากคุณสนใจอยากรับชม Live ของเราแบบสดๆ ในโอกาสต่อไปติดตามเราได้ที่ Facebook หรือ Youtube ของ Jitta Wealth ได้เลย 

ดูวิดีโอย้อนหลัง

จัดพอร์ตอุ่นใจ สไตล์ Jitta Wealth 

JItta Wealth มักแนะนำให้ลงทุนแบบ Core & Satellite ซึ่งเป็นกลยุทธ์การจัดพอร์ตที่จะประกอบไปด้วย Core Port (พอร์ตหลัก) ที่เป็นรากฐานของการลงทุน เน้นสินทรัพย์ที่พึ่งพิงได้ มีโอกาสเติบโตระยะยาว  ซึ่ง Jitta Wealth แนะนำให้ลงทุนในนโยบายการลงทุน Global ETF ทั้ง 3 แผน แผนใดก็ได้ เป็นพอร์ตหลัก

และ Satellite Port (พอร์ตรอง) ที่เป็นเหมือนส่วนต่อเติม เอาไว้บูสต์การเติบโต เน้นคว้าโอกาสทำกำไรให้สูงขึ้น และเสี่ยงมากขึ้นด้วย ซึ่งเราแนะนำให้ลงทุนในนโยบาย Thematic ที่คุณจะเลือกธีมเมกะเทรนด์เองก็ได้ ด้วยนโยบาย Thematic DIY ได้ หรือถ้าไม่รู้จะลงธีมไหนดี ก็ให้ AI ช่วยเลือกธีมระดับท็อปให้คุณได้ผ่านนโยบาย Thematic Optimize 

หรือถ้าคุณอยากลงทุนในหุ้นรายตัว ก็สามารถเลือกลงทุนแผนใดแผนหนึ่งใน Jitta Ranking รายประเทศ หรือรายอุตสาหกรรมได้เลย หรือถ้าคุณไม่มีตลาดไหนในใจเป็นพิเศษ ตอนนี้ก็มี Alpha AI ช่วยคุณเลือกตลาดหุ้นที่น่าลงทุนที่สุดให้ทุกปี ในนโยบาย Jitta Ranking Alpha 

ผลตอบแทนเฉลี่ย Global ETF ทั้งปี 2567 

นโยบาย Global ETF กระจายความเสี่ยงด้วยการลงทุนทั่วโลกและหลากหลายสินทรัพย์ ทั้ง ETF หุ้น หุ้นกู้ และพันธบัตร เพื่อกระจายความเสี่ยง มีการจัดพอร์ตตามทฤษฎี Modern Portfolio Theory ที่การันตีด้วยรางวัลโนเบล รีวิวและปรับพอร์ตให้อัตโนมัติ 

แบ่งออกเป็น 3 แผนตามความเสี่ยงที่คุณรับได้ ซึ่งแต่ละแผนจะลงทุนหุ้นและพันธบัตรผ่าน ETF ในสัดส่วนและผลตอบแทนคาดหวังที่ต่างกัน 

  • Global ETF แผนเติบโต ลงทุนในหุ้น 80% พันธบัตร 20% ผลตอบแทนคาดหวังอยู่ที่ 8% ต่อปี
    ผลตอบแทนเฉลี่ยทั้งปี 2567 อยู่ที่ +12.82%
  • Global ETF แผนสมดุล ลงทุนในหุ้น 50% พันธบัตร 50% ผลตอบแทนคาดหวังอยู่ที่ 6% ต่อปี
    ผลตอบแทนเฉลี่ยทั้งปี 2567 อยู่ที่ +8.40%
  • Global ETF แผนพอเพียง ลงทุนในหุ้น 20% พันธบัตร 80% ผลตอบแทนคาดหวังอยู่ที่ 4% ต่อปี
    ผลตอบแทนเฉลี่ยทั้งปี 2567 อยู่ที่ +3.38%

นักลงทุนส่วนใหญ่ที่ลงทุนกับ Jitta Wealth มักเลือกลงทุนในแผนเติบโต และลงทุนแบบระยะยาว พร้อม DCA ไปเรื่อยๆ หลายคนก็ปั้นเงินล้านสำเร็จไปแล้ว

ซึ่งถ้าเปรียบเทียบ Global ETF แผนเติบโตกับ Mutual Fund กองทุนรวมทั้งประเทศในช่วงเวลาเดียวกันจำนวน 1,659 กอง (ระยะเวลา 4 ปี ตั้งแต่ 31 ธันวาคม 2563-2567 Global ETF อยู่ในอันดับที่ 87 จาก 1,659 กอง ผลตอบแทน +37.04% หรือถ้าเทียบอัตราส่วน 100 กอง Global ETF จะอยู่อันดับต้นๆ ที่ชนะกองทุนไป 95 กองใน 100 กอง ถ้านักลงทุนคนไหนอยากลงทุน แต่ไม่รู้ว่าจะลงกองทุนอะไร Global ETF ก็เป็นตัวเลือกที่ดี

ผลตอบแทนเฉลี่ย Thematic ทั้งปี 2567 

นโยบาย Thematic ของ Jitta Wealth เป็นทางเลือกให้คุณได้ลงทุน ETF ธีมเมกะเทรนด์ ที่ผ่านการคัดสรรมาแล้วว่าน่าลงทุน มีโอกาสเติบโตในอนาคต

โดยจะแบ่งเป็น Thematic Optimize ให้ AI วิเคราะห์และคัดสรรธีมเมกะเทรนด์ 4 ธีมที่น่าลงทุนที่สุดในขณะนั้นมาให้เลย พร้อมทั้งรีวิวและปรับพอร์ตอัตโนมัติทุกๆ 3 เดือน

และในปีที่ผ่านมา Thematic Optimize มีผลตอบแทนเฉลี่ยทั้งปี 2567 อยู่ที่ +11.47%

อีกแผนหนึ่งคือ Thematic DIY ที่ให้นักลงทุนเลือกธีมที่จะลงทุนเอง ซึ่งสามารถเลือกได้สูงสุดถึง 5 ธีม 

ที่ผ่านมา Thematic DIY มีผลตอบแทนเฉลี่ยทั้งปี 2567 อยู่ที่ +6.88% 

คุณสามารถดูรายละเอียดนโยบาย Thematic เพิ่มเติมได้ที่นี่

ผลตอบแทนเฉลี่ย Jitta Ranking ทั้งปี 2567 

นโยบาย Jitta Ranking จาก Jitta Wealth คือนโยบายที่ลงทุนในหุ้นรายตัว 5-20 บริษัทขึ้นอยู่กับเงินลงทุนของคุณ โดยใช้ AI วิเคราะห์และคัดสรร ‘หุ้นดี ราคาเหมาะสม’ ตามหลักการของคุณปู่ Warren Buffett

พร้อมเทคโนโลยีบริหารจัดการพอร์ตอัตโนมัติทุก 3 เดือน ด้วยค่าธรรมเนียมที่ต่ำและยุติธรรม

ในปี 2567 ผลตอบแทนของ Jitta Ranking โดยรวมก็เป็นบวก 

Jitta Ranking หุ้นสหรัฐฯ ลงทุนในหุ้นดีราคาถูก ในตลาดหุ้น Nasdaq และ NYSE 5-20 บริษัท ผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ +19.10% ในปี 2567 

หากดูแค่ผลตอบแทนของปีนี้ อาจต่ำกว่าผลตอบแทนของ S&P 500 ก็จริง แต่เมื่อเทียบกับปี 2566 ที่ Jitta Ranking หุ้นสหรัฐฯ ทำผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ +44.26% เทียบกับผลตอบแทน S&P 500 ปีนั้น ก็สูงกว่ากันเท่าตัว 

ถ้ารวบรวมตั้งแต่ปี 2566 – 2567 ผลตอบแทนเฉลี่ยของ Jitta Ranking หุ้นสหรัฐฯ ก็ยังสูงกว่าผลตอบแทนของ S&P 500 อยู่ดี 

เป็นอีกหนึ่งข้อพิสูจน์ว่า ผลตอบแทน Jitta Ranking อาจไม่ได้เอาชนะตลาดได้ทุกปี แต่ถ้ามองในระยะยาว AI ของ Jitta Ranking ก็จะสามารถแสดงผลที่ดีกว่าได้

ต่อมาที่ Jitta Ranking หุ้นเทคโนโลยีจีน ลงทุนในหุ้นดีราคาถูก ในกลุ่มหุ้นเทคโนโลยีจีน ในตลาดหุ้น SSE และ SZSE 5-20 บริษัท ผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ +18.53% ในปี 2567

ช่วงต้นปีที่แล้ว เราก็แนะนำให้ลงทุนในประเทศจีน ทั้งจีนแผ่นดินใหญ่ ฮ่องกง และเทคโนโลยีจีน ซึ่งตัวที่โดดเด่นมากๆ คือเทคโนโลยีจีน

อันดับสามคือ Jitta Ranking หุ้นเวียดนาม ลงทุนหุ้นดีราคาถูก ในตลาดหุ้น HOSE และ HNX 5-20 บริษัท ผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ +16.33% ในปี 2567

เราพูดอยู่บ่อยครั้งว่าเวียดนามเป็นประเทศที่มีการเติบโตที่ดี มีแนวโน้มจะเปลี่ยนเป็น Emerging Markets ทำให้ตลาดหุ้นกลับมาขาขึ้นได้ 

ตลาดหุ้นเวียดนามช่วงปี 2564 ขึ้นไปเยอะ ถัดมาปี 2565 ก็ตกลงไปถึง 30% แต่ช่วงปี 2566-2567 ก็เริ่มกลับมาแล้ว คิดว่าพอร์ตโดยรวมสำหรับใครที่ลงทุนเวียดนามอยู่ก็สามารถกลับมาเป็นบวกได้

ต่อมา Jitta Ranking หุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ ลงทุนหุ้นเทคโนโลยีเติบโตสูง ในตลาดหุ้น Nasdaq และ NYSE 5-20 บริษัท ผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ +12.70% ในปี 2567

Jitta Ranking หุ้นจีน ลงทุนในหุ้นดีราคาถูก ในตลาดหุ้น SSE และ SZSE 5-20 บริษัท ผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ +7.98% ในปี 2567

Jitta Ranking หุ้นฮ่องกง ลงทุนในหุ้นดีราคาถูก ในตลาดหุ้น HKEX 5-20 บริษัท ผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ +7.24% ในปี 2567

Jitta Ranking หุ้นสุขภาพสหรัฐฯ ลงทุนหุ้นสุขภาพสหรัฐฯ ในตลาดหุ้น Nasdaq และ NYSE 5-20 บริษัท ผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ +6.25% ในปี 2567

ส่วนในโซนที่เป็นลบคือหุ้นญี่ปุ่น และหุ้นไทย 

Jitta Ranking หุ้นญี่ปุ่น ลงทุนในหุ้นดีราคาถูก ในตลาดหุ้น TSE 5-20 บริษัท ผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ -11.24% ในปี 2567

ที่ผลตอบแทนติดลบ โดยหลักแล้วมาจากเรื่องค่าเงิน เพราะเงินเยนอ่อนค่ามากๆ เมื่อเทียบกับบาทไทย อ่อนค่าถึง 10-11% 

แต่จริงๆ ถ้าดูผลตอบแทนเฉลี่ย โดยไม่นับเรื่องค่าเงิน ก็จะอยู่ที่ประมาณ 0% บวกลบ 

ซึ่งในตัวญี่ปุ่นเอง ในภาพใหญ่ ตลาดหุ้นที่ขึ้นมา จะเป็นหุ้นตัวใหญ่ค่อนข้างเยอะ AI จาก Jitta Ranking จะเลือกหุ้น Mid-Cap เยอะ เลยจะมีปีที่ผลตอบแทนดีและปีที่ผลตอบแทนแย่กว่าตัวดัชนีเอง 

Jitta Ranking หุ้นไทย ลงทุนในหุ้นดีราคาถูก ในตลาดหุ้น SET และ MAI 5-20 บริษัท ผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ -18.50% ในปี 2567

ช่วงหลังมานี้ นักลงทุนหลายๆ คน ทั้งไทยและต่างชาติ เริ่มหมดหวังกับหุ้นไทย เพราะเศรษฐกิจก็ไม่ได้ดีอย่างที่คิด

กลุ่มนักลงทุนต่างชาติก็เริ่มไม่ได้มีหุ้นไทยอยู่ในใจแล้ว อีกทั้งตอนนี้ถ้าพูดถึงตลาดหุ้นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก็จะพูดถึงแค่เวียดนาม หรืออินโดนีเซีย เพราะไทยเรายังไม่มีอะไรที่มายืนยันอย่างชัดเจนได้ว่าเศรษฐกิจจะดียิ่งขึ้น 

อีกทั้งตลาดหุ้นไทยก็ไม่ได้ถูกขนาดนั้น เมื่อเทียบกับจีนที่ถูกมาก กับเวียดนามที่ราคาพอๆ กัน แต่เศรษฐกิจเติบโตได้ดีกว่า 

เหตุผลเหล่านี้จึงทำให้ตลาดหุ้นไทยโดยรวมตกลง

อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้คือผลตอบแทนเฉลี่ยเท่านั้น เพราะการลงทุนกับ Jitta Wealth เป็นการลงทุนส่วนบุคคล เพราะฉะนั้นนักลงทุนคนไหนจะเข้ามาซื้อ หรือจะขาย หรือแม้กระทั่งการปรับพอร์ตของ AI ก็ตาม จะไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับช่วงเวลาที่นักลงทุนนั้นๆ ลงทุนด้วย

ประเทศไหนน่าลงทุนปีนี้ บอกได้ด้วย Market Prediction 

ตั้งแต่ช่วงสิ้นปี 2565 เราเล็งเห็นว่า Jitta Ranking สามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีมาก โดยเฉพาะในช่วงที่หุ้นตกเยอะๆ ราคาถูก 

เพราะฉะนั้น ถ้าเราสามารถตอบได้ว่า แต่ละปี ตลาดหุ้นไหนเข้าข่ายน่าลงทุน เราก็น่าจะทำผลตอบแทนได้ดี 

เราจึงพัฒนา AI Jitta Ranking มาสู่ AI Market Prediction 

ในปีแรกที่ลองใช้และนำมาเผยแพร่ คือการที่เราคาดการณ์ตลาดหุ้นสหรัฐฯ

ช่วงสิ้นปี 2565 ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ถูกกว่าค่าเฉลี่ยมากในรอบ 10 ปี อัตราส่วนหุ้นถูกต่อหุ้นแพงอยู่ที่ 2.57 เท่า โดยคัดมาจากหุ้นที่ดีที่สุด 50 ตัว

ผลตอบแทนปี 2566 ของนโยบาย Jitta Ranking หุ้นสหรัฐฯ อยู่ที่ +42.39% 

และตอนนั้นถ้าใครยังลงทุนต่อเนื่องจนถึงปี 2567 ที่มีผลตอบแทนเฉลี่ยที่ +19.10% รวมกันกับปีก่อนก็จะได้ผลตอบแทนถึง 60% 

ต่อมาในช่วงต้นปี 2566 เราได้เผยแพร่ Market Prediction ในตลาดหุ้นจีน ที่มีอัตราส่วนหุ้นถูกต่อหุ้นแพงอยู่ที่ 7.33 เท่า โดยคัดมาจากหุ้นที่ดีที่สุด 50 ตัว 

ผลตอบแทนปี 2567 ของนโยบาย Jitta Ranking หุ้นจีน อยู่ที่ +7.98% และ Jitta Ranking หุ้นเทคโนโลยีจีน อยู่ที่ +18.53%

ในช่วงสิ้นปี 2567 Market Prediction ของ Jitta Wealth ได้พบว่าผลการเปรียบเทียบจำนวนหุ้นถูกต่อหุ้นแพง (P/E) ของหุ้นจีน ผลคือ จำนวนหุ้นถูก 43 มีมากกว่าจำนวนหุ้นแพงที่มีอยู่เพียง 7 ตัว อัตราส่วนหุ้นถูกต่อหุ้นแพงอยู่ที่ 6.14 เท่า 

จากแนวคิดการทำ Market Prediction ทีละตัว ให้นักลงทุนไปวิเคราะห์ และเลือกประเทศที่จะลงทุนด้วยตนเอง ถูกสานต่อว่าควรจะเลือกประเทศที่ถูกที่สุด ดีที่สุด ในแต่ละปีให้นักลงทุนด้วย โอกาสที่จะขาดทุนนานๆ จะได้น้อยลง

จึงกลายมาเป็น Jitta Ranking Alpha ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อช่วงสิ้นปีที่แล้ว

นโยบายใหม่ Jitta Ranking Alpha 

นโยบาย Jitta Ranking Alpha จาก Jitta Wealth หลักๆ แล้วจะมี Alpha AI เพิ่มเข้ามา เพื่อเลือกประเทศที่มีโอกาสลงทุนสูงที่สุดให้ในทุกๆ ปี จาก 4 ตลาด ได้แก่ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ตลาดหุ้นจีน ตลาดหุ้นฮ่องกง และตลาดหุ้นญี่ปุ่น โดย Jitta Ranking AI จะทำงาน คัดหุ้นจากประเทศที่ Alpha AI เลืกมาให้อีกที และรีวิว ปรับพอร์ตให้ทุกๆ 3 เดือน และเมื่อครบรอบ 1 ปีอีกครั้ง ก็อาจจะทำการปรับเปลี่ยนประเทศให้ ตามความเหมาะสมและโอกาสของปีนั้นๆ 

ถ้าคุณสนใจ สามารถนัดหมายเวลากับเจ้าหน้าที่ เพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือปรึกษาเกี่ยวกับ Jitta Ranking Alpha นัดเวลาปรึกษาฟรีได้ที่นี่

โอกาสลงทุนปี 2568 

ปีหน้าตลาดหุ้นจะน่ากลัวหรือไม่ เมื่อ Trump เป็นประธานาธิบดี

ปัจจุบัน Trump อยู่ระหว่างเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ ซึ่งตลาดหุ้นตอนนี้ก็ผันผวนตกลงมาอยู่บ้าง แต่ในภาพระยะยาว การที่ Trump ได้ขึ้นเป็นประธานาธิบดีก็เป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ค่อนข้างมาก ด้วยนโยบายต่างๆ ที่เคยประกาศไว้ ไม่ว่าจะเป็นการลดภาษีนิติบุคคล หรือการขึ้นภาษีคู่ค้าต่างๆ ซึ่งชัดเจนมากๆ ว่าต้องการสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ

ย้อนกลับไปดูตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในช่วงที่ Trump ดำรงตำแหน่ง ตลาดหุ้นมีความผันผวนขึ้นๆ ลงๆ แต่ในภาพรวมตั้งแต่ปี 2560-2564 ดัชนี Nasdaq +142.24% ดัชนี S&P 500 +69.59% และดัชนี Dow Jones +57.30% 

ดังนั้นสำหรับปีหน้า ถ้ามองเป็นการลงทุนระยะยาวตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังสามารถลงทุนได้ แต่ถ้าใครกังวลเรื่องความผันผวน แนะนำให้เน้นลงทุนใน Core Port (พอร์ตหลัก) ในสัดส่วนที่มากกว่า Satellite Port (พอร์ตรอง) เยอะหน่อย 

ซึ่งหากใครยังกังวลว่าพอร์ตหลักอย่าง Global ETF แผนเติบโตที่ลงทุนในหุ้น 80% และพันธบัตร 20% ยังเสี่ยงไป ก็สามารถเปลี่ยนมาเป็นแผนสมดุล ที่สัดส่วน 50:50 ก็ได้ 

อย่างไรก็ตามหากคุณ DCA สม่ำเสมออยู่แล้วก็ลดความกังวลได้ เพราะเมื่อคุณ DCA ในช่วงที่หุ้นแพง เงินที่เพิ่มทุนเข้าไปจะถูกจัดสรรไปซื้อพันธบัตรในสัดส่วนที่มากกว่าอยู่แล้ว และพอหุ้นราคาต่ำลง ระบบก็จะปรับพอร์ตขายพันธบัตรไปซื้อหุ้นให้ นี่จึงเป็นเห็นผลว่าทำไมพอร์ต Global ETF ที่ถูกเพิ่มทุนสม่ำเสมอจึงสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว

ธีมมาแรงปี 2568

ในฝั่งของการลงทุนที่จะเป็นพอร์ตรอง หรือ Satellite Port อย่างธีมเมกะเทรนด์ต่างๆ จากการวิเคราะห์ของ AI ใน Thematic Optimize ก็จะได้ 4 ธีมที่น่าสนใจได้แก่ 

ธีมเทคโนโลยีการเงิน (FINX)

ธีมคลาวด์ (SKYY)

ธีมไซเบอร์ซิเคียวริตี้ (CIBR)

ธีมอีคอมเมิร์ซ (EBIZ) 

แต่ละธีมเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง สังเกตได้จากการใช้ชีวิตประจำวันที่คนเราต้องใช้บริการเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับธีมเหล่านี้มากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นธุรกรรมทางการเงิน การจัดเก็บและป้องกันข้อมูล หรือเทรนด์การช็อปปิงออนไลน์

และอีก 2 ธีมที่เกี่ยวข้องกับข้อมูล Market Prediction ที่บอกว่าตลาดหุ้นจีนมีสัดส่วนหุ้นคุณภาพดีราคาถูกอยู่เยอะมาก ธีมที่เกี่ยวกับจีนจึงเป็นอีกธีมที่มีโอกาสให้ผลตอบแทนที่ดี ได้แก่

ธีมเทคโนโลยีจีน (CQQQ)

ธีมพลังงานสะอาดจีน (KGRN)

หุ้นจีนมีโอกาสเติบโตที่ดีในปี 2568 และธีมเหล่านี้เองก็เป็นอุตสาหกรรมหลักที่ได้รับการผลักดันจากรัฐบาลทำให้มีโอกาสสูงที่จะเติบโตตามไปด้วย

มาดูที่ธีมรายประเทศกันบ้าง

จากข้อมูลเปรียบเทียบการเติบโตเฉลี่ยทบต้นของรายได้เทียบกับมูลค่าบริษัท (Market Cap) ซึ่งหากมูลค่าบริษัทหรือกราฟแท่งสีแดง โตแซงรายได้หรือกราฟแท่งสีเขียว นั่นแสดงว่า ราคาหุ้นในธีมนั้นๆ แพงกว่ารายได้ที่บริษัทสร้างได้ 

ซึ่งเห็นได้ว่าตลาดหุ้นจีนและเวียดนามเป็นตลาดที่ยังน่าลงทุนอยู่ ส่วนประเทศอินเดียก็จะเห็นได้ว่าราคาหุ้นค่อนข้างแพงแม้การเติบโตของรายได้จะค่อนข้างดี 

มาต่อกันที่ธีมด้านเทคโนโลยี 

จะเห็นได้ว่าธีมเซมิคอนดักเตอร์ ตอนนี้อยู่ในระดับที่ค่อนข้างแพงเมื่อดูจากรายได้เทียบ Market Cap ส่วนธีมที่เห็นได้ชัดว่ารายได้ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เติบโตดีและราคาหุ้นหรือมูลค่าบริษัทยังไม่สูงมาก ก็คือธีมเทคโนโลยีท่องเที่ยว เทคโนโลยีการเงิน เทคโนโลยีจีน และอีคอมเมิร์ซ

ต่อที่กลุ่มธีมด้านพลังงานสะอาด

ธีมพลังงานสะอาดเราเริ่มเห็นภาพชัดว่ารายได้สวนทางกับมูลค่าธุรกิจเนื่องจากที่ผ่านมาเคยมีช่วงที่กลุ่มพลังงานสะอาดพุ่งขึ้นเยอะมาก และร่วงลงมาเยอะมาก ซึ่งปัจจุบันดูราคาหุ้นจะพบว่ายังไม่ได้กลับขึ้นมาสักเท่าไหร่ ในขณะที่รายได้ยังมีการเติบโตที่ดีอยู่ ดังนั้นในอนาคตราคาธีมเหล่านี้ก็จะต้องกลับขึ้นมา

ส่วนธีมด้านสุขภาพ จะเห็นได้ว่าธีมที่น่าสนใจที่สุดจะเป็นธีมจีโนมิกส์ ส่วนธีมกัญชารายได้ก็ยังคงเติบโตแต่อย่างไรก็ตามยังคงมีความเสี่ยงด้านกฎหมายและนโยบายของภาครัฐ

ธีมต่างๆ เหล่านี้สามารถลงทุนได้ในนโยบาย Thematic ซึ่งหากคุณอยากเลือกธีมด้วยตัวเองก็สามารถลงทุน Thematic DIY หรือถ้ากังวลว่าเลือกแล้วจะเป็นยังไง จะต้องคอยปรับเปลี่นธีมอย่างไรบ้าง ก็สามารถลงทุนใน Thematic Optimize ให้ AI คอยบริหารจัดการให้ได้

Jitta Ranking ปีนี้ลงทุนอะไรดี

จากข้อมูล Market Prediction ตอนนี้ตลาดหุ้นจีนค่อนข้างหน้าสนใจ ในมุมความเสี่ยงและโอกาสสร้างผลตอบแทนค่อนข้างจะคุ้มมากๆ เนื่องจากมีจำนวณหุ้นคุณภาพดีราคาถูกเยอะมาก ปัจจุบันหากความเชื่อมั่นของนักลงทุนกลับมาก็จะพาให้ตลาดเติบโตได้ 

หรือถ้าใครไม่รู้จะเลือกอะไรดี ก็สามารถลง Jitta Ranking Alpha ให้ Alpha AI วิเคราะห์ปรับเลือกประเทศที่น่าลงทุนที่สุดให้ในแต่ละปีได้ 

ส่วนใครที่หมดศรัทธากับหุ้นไทย อยากรู้ว่าจะเปลี่ยนไปลง Jitta Ranking ประเทศไหนดี ก็สามารถย้ายไปลง Jitta Ranking หุ้นจีนตามข้อมูลของ Market Prediction ได้ 

ตลาดหุ้นเคลื่อนไหวเป็นวัฏจักร พอหุ้นลงมาหนักๆ มันก็จะวิ่งกลับขึ้นมาเหมือนกัน ซึ่งตลาดหุ้นจีนตกลงมาหลายปี และปีนี้ก็ยังขึ้นมาไม่เยอะมาก ในอนาคตมีโอกาสเติบโตได้อีก

Mindset การลงทุน 2568

ส่วนใหญ่นักลงทุนมักมองที่ผลตอบแทนเป็นหลัก ทำให้เมื่อเจอกับปีที่ตลาดผันผวน หรือการติดลบหนักๆ ก็รับไม่ไหวและออกจากตลาดไป ดังนั้นการกระจายความเสี่ยงจัดพอร์ต Core & Satellite จึงช่วยให้พอร์ตไม่ผันผวนมากนัก ทำให้คุณยังสามารถลงทุนต่อไปได้ในระยะยาว 

โดยสัดส่วนที่แนะนำก็คือ Core Port 80% และ Satellite Port 20% ซึ่งนโยบายที่แนะนำสำหรับเป็น Core Port ก็คือ Global ETF ส่วน Satellite Port แนะนำนโยบาย Thematic Optimize หรือ Jitta Ranking Alpha ที่มี AI คอยปรับคว้าโอกาสที่ดีที่สุดให้ครบจบอยู่แล้ว

ตัวอย่างพอร์ต Core & Satellite ในกรณีที่รับความเสี่ยงได้เยอะหน่อยก็สามารถจัดแบบ 50:50 จะเห็นได้ว่าแม้พอร์ต Thematic Optimize จะลงทุนช้ากว่า แต่ก็สามารถทำผลตอบแทนได้ใกล้เคียง Global ETF และจากกราฟ จะเห็นได้ว่ามีบางช่วงที่ผันผวนตกลงไปเยอะเหมือนกัน

แต่การ DCA หรือเพิ่มทุนสม่ำเสมอก็สามารถทำให้พอร์ตกลับมาเติบโตได้

สำหรับบางคนที่ต้องการปั้นพอร์ตสร้างความมั่งคั่งโดยเน้นไปที่การลงทุนความเสี่ยงสูงๆ สิ่งที่อยากเน้นย้ำก็คือ 

  • เสี่ยงสูงได้แต่คุณต้องจัดพอร์ตให้เหมาะสม เสี่ยงด้วยจำนวนเงินที่เหมาะสม
  • เสี่ยงสูงได้ก็ต้อง DCA ด้วย 

การ DCA ก็จะช่วยให้คุณถัวเฉลี่ยต้นทุน ไม่ต้องจับจังหวะ ทำให้พอร์ตมั่นคงขึ้น และสามารถเติบโตในระยะยาวได้

จากข้อมูลเปรียบเทียบการ DCA ในดัชนี Nasdaq เป็นเวลา 20 ปี นอกจากผลตอบแทนเฉลี่ยที่ต่างกันเกือบเท่าตัวแล้ว จำนวนเงินลงทุนที่ผ่านการสะสมทุกๆ เดือน เมื่อกลายเป็นจำนวนเงินสุทธิแล้วนั่นแตกต่างกันมาก 

ซึ่งคุณสามารถเลือก DCA ในจำนวนเงิน และความถี่ที่คุณสะดวก หรือใครที่ลงทุนกับ Jitta Wealth ก็สามารถตั้งค่าฝากเงินอัตโนมัติ (DCA) ในแอปพลิเคชัน Jitta Wealth เพื่อให้ระบบเราจัดการให้ก็ได้ 

สำหรับใครที่ยังไม่มั่นใจว่าจะเก็บเงินมา DCA ได้ทุกเดือน สามารถใช้ Jitta Card แพลตฟอร์มจ่าย ออม ลงทุนอัตโนมัติ เพียงคุณใช้จ่ายตามปกติผ่าน Jitta Card ที่สามารถนำไปผูกไว้กับ Wallet ต่างๆ ได้ ที่เหลือระบบจะปัดเศษเงินทอน เก็บเป็นเงินออม และนำมาลงทุนให้คุณอัตโนมัติเอง


ถ้าใครฟังมาทั้งหมดแล้ว สนใจอยากเริ่มลงทุน มือใหม่ที่กำลังตัดสินใจอยู่อาจจะได้คำตอบแล้ว ก็สามารถเริ่มต้นลงทุนได้เลย หรืออยากสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ 02-460-8888 หรือ Line:  @JittaWealth ในช่วงเวลาทำการได้เลย 


อ่านรีวิวพอร์ตลงทุน Jitta Wealth ของนักลงทุนอีกมากมายได้ที่ Facebook และ เว็บไซต์ของเรา


ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับนโยบาย Jitta Ranking Thematic Global ETF และ Jitta Money ผลตอบแทนในอดีต ไม่สามารถการันตีผลตอบแทนในอนาคต การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจนโยบายการลงทุน เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน การลงทุนต่างประเทศอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน