Skip to content - ข้ามไปที่เนื้อหา
blog

หุ้นทั่วโลกแพง ลงทุนยังไงดี? กลยุทธ์จัดพอร์ตฉลาดในยุค Valuation สูง


All Category Global ETF Jitta Wealth

ไฮไลต์

  • หุ้นทั่วโลกขึ้นแรงจน Valuation สูง ทั้งสหรัฐฯ ญี่ปุ่น ทองคำ ทำจุดสูงสุด นักลงทุนเริ่มกังวลฟองสบู่ แต่จริงๆ สิ่งสำคัญไม่ใช่ ‘ตลาดแพงแค่ไหน’ แต่คือ ‘เราจัดพอร์ตอย่างไร’
  • คำว่า ‘หุ้นแพง’ ไม่ได้หมายความว่าราคาสูงเสมอไป แต่หมายถึง ‘ราคาสูงกว่ามูลค่าที่แท้จริง (Fair Value)’ 
  • 4 กลยุทธ์จัดพอร์ตในยุคหุ้นแพง กระจายความเสี่ยงข้ามประเทศ / Rebalance / เพิ่มสินทรัพย์กันชน / หลีกเลี่ยงการจับจังหวะตลาด
  • หุ้นแพงควรขายบางส่วนเมื่อสัดส่วนเบี้ยวจากแผนเดิม ไม่จำเป็นต้องขายหมด แต่ทยอยลดเพื่อล็อกกำไรและคุมความเสี่ยง

ช่วงที่ผ่านมาราคาหุ้นทั่วโลก ส่วนใหญ่ปรับตัวขึ้นมา จนปัจจุบันอยู่ในจุดที่เรียกได้ว่า ‘ราคาแพง’ หุ้นสหรัฐฯ ทำจุดสูงสุดใหม่ (All Time High) หลายครั้ง หุ้นญี่ปุ่นที่เคยถูกมองข้ามกลับพุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 30 ปี ส่วนทองคำเองก็วิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องก่อนเริ่มอ่อนตัวลงในช่วงหลัง

ในเวลาเดียวกัน นักลงทุนทั่วโลกเริ่มตั้งคำถามว่า ‘นี่คือจุดเริ่มต้นของฟองสบู่รอบใหม่หรือไม่?’ และ ‘ถ้าหุ้นทั่วโลกแพงขนาดนี้…ยังควรลงทุนอยู่ไหม?’

ความจริงแล้ว ปรากฏการณ์ ‘หุ้นแพง’ ไม่ใช่เรื่องใหม่ในโลกการลงทุน เพราะราคาทรัพย์สินทุกชนิดล้วนหมุนเวียนอยู่ในวัฏจักร (Cycle) มีขึ้น มีลง มีรอบขยาย และมีรอบปรับฐาน แต่สิ่งสำคัญคือ เราจะจัดการพอร์ตอย่างไรให้พร้อมรับทุกสถานการณ์ โดยไม่หวั่นไหวไปกับอารมณ์ตลาด

คุณคาดเดาตลาดไม่ได้ แต่คุณเตรียมพร้อมรับมือได้

“You can’t predict, but you can prepare” ประโยคอมตะของ Warren Buffett ที่ว่า ‘คุณไม่สามารถคาดเดาตลาดได้ แต่คุณสามารถเตรียมตัวได้เสมอ’ ยังคงใช้ได้ในทุกยุค

แม้ Buffett จะถือเงินสดในพอร์ตมากเป็นประวัติการณ์ในปีนี้ แต่ก็ไม่ใช่เพราะเขามองว่าตลาดล่มสลาย เพียงแต่เขา ‘ไม่อยากจ่ายแพงเกินไป’ ในช่วงที่ราคาทรัพย์สินหลายอย่างสูงเกินมูลค่าพื้นฐาน (Overvalued) และที่สำคัญคือ เขา ‘พร้อมเสมอ’ เมื่อโอกาสมาถึง

นักลงทุนทั่วไปอาจไม่มีธุรกิจสร้างเงินสดพันล้านเหมือน Buffett แต่สามารถใช้หลักคิดเดียวกันได้ คือ อย่าตื่นตระหนกกับความผันผวน แต่ต้องเข้าใจวงจรของตลาดและบริหารความเสี่ยงให้ดีพอ

เข้าใจ ‘Valuation’ ก่อนคิดว่าหุ้นแพง

คำว่า ‘หุ้นแพง’ ไม่ได้หมายความว่าราคาสูงเสมอไป แต่หมายถึง ‘ราคาสูงกว่ามูลค่าที่แท้จริง (Fair Value)’ ซึ่งประเมินได้จากหลายตัวชี้วัด เช่น

  • P/E Ratio (Price-to-Earnings) ดูว่าราคาหุ้นเทียบกับกำไรต่อหุ้นสูงเกินไปหรือไม่
  • P/B Ratio (Price-to-Book) เปรียบเทียบราคาหุ้นกับมูลค่าทางบัญชีของบริษัท
  • Earnings Yield ผลตอบแทนจากกำไรเทียบกับราคาหุ้น
  • Dividend Yield ผลตอบแทนจากเงินปันผล

ยกตัวอย่างเช่นตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่แม้ดัชนีจะพุ่งขึ้นต่อเนื่อง แต่จากข้อมูล Market Prediction ล่าสุด (ณ วันที่ 11 พฤศจิกายน 2568) พบว่า ภายหลังการประกาศงบไตรมาส 3 ปี 2568 จำนวนหุ้นถูก กลับเพิ่มขึ้นมากกว่าจำนวนหุ้นแพงที่ 1.27 เท่า (หุ้นถูก 28 ตัว > หุ้นแพง 22 ตัว)

ในทางกลับกัน แม้ดัชนีตลาดหุ้นอินเดียจะปรับตัวลงต่อเนื่อง แต่จำนวนหุ้นถูก กลับน้อยกว่าจำนวนหุ้นแพงที่ 0.79 เท่า (หุ้นถูก 22 ตัว < หุ้นแพง 28 ตัว)

จะเห็นว่า แม้ตลาดหุ้นอินเดียร่วงมาเยอะ แต่ยังถือว่าอยู่ในโซนแพง ขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ขึ้นมาเยอะ กลับมีหุ้นถูกมากกว่าหุ้นแพง เพราะฉะนั้น เวลาดูตลาดหุ้น อย่าดูแค่ดัชนีเพิ่มขึ้นหรือลงต่ำแค่ไหน ต้องเปรียบเทียบความถูกแพงด้วย

และในตลาดหุ้นที่ภาพรวมดูแพง ก็ยังคงมีหุ้นคุณภาพดี ราคาถูกแฝงตัวอยู่เสมอ 

(สำหรับนักลงทุนที่สนใจข้อมูล Market Prediction สามารถติดตามได้ใน Jitta Wealth Live ทุกวันพุธเวลา 19.00 น. ผ่าน YouTube Jitta Wealth)

กลยุทธ์จัดพอร์ตในยุคหุ้นทั่วโลกแพง

ในภาวะที่ราคาหุ้นส่วนใหญ่ ถูกมองว่าอยู่ในโซนแพง สิ่งสำคัญที่สุดคือ ‘การไม่โลภ’ และ ‘การไม่กลัว’ เพราะนักลงทุนที่ตัดสินใจบนพื้นฐานของอารมณ์ มักทำผิดพลาด หรือเดินผิดทางเสมอ

1. กระจายความเสี่ยง(Diversification)

อย่าทุ่มอยู่ในตลาดเดียว แม้สหรัฐฯ จะเป็นตลาดใหญ่และมีบริษัทชั้นนำระดับโลก แต่การกระจายไปยังตลาดอื่น เช่น ยุโรป ญี่ปุ่น จีน อินเดีย หรือเวียดนาม จะช่วยลดความผันผวนของพอร์ตและเปิดโอกาสให้รับผลตอบแทนจากรอบขาขึ้นของภูมิภาคอื่นด้วย หรือการกระจายสินทรัพย์ เช่นมีทั้งหุ้น และตราสารหนี้ ก็จะช่วยลดความผันผวนให้กับพอร์ตโดยรวมของคุณได้

2. ทบทวนปรับพอร์ตสม่ำเสมอ (Rebalancing)

หากตลาดหุ้นเติบโตต่อเนื่องจนสัดส่วนในพอร์ตเปลี่ยนแปลงไปที่ตั้งไว้มาก เช่น จากเดิมถือหุ้น 50% แต่ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นจนสัดส่วนกลายเป็น 70% ควรทยอยขายเพื่อลดความเสี่ยงและย้ายเงินไปสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น ตราสารหนี้หรือทองคำ เพื่อรักษาสมดุลพอร์ตให้เหมาะกับระดับความเสี่ยงที่รับได้

3. ถือสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยง (Hedge Assets)

พันธบัตรรัฐบาล หรือสินทรัพย์ทางเลือก สามารถช่วยป้องกันพอร์ตในช่วงตลาดหุ้นปรับฐานได้ แม้จะไม่ได้สร้างกำไรสูงสุด แต่ทำหน้าที่เป็น ‘กันชน’ เวลาตลาดผันผวน

4. อย่าพยายามจับจังหวะตลาด (Avoid Market Timing)

ไม่มีใครรู้ว่าตลาดจะขึ้นต่ออีกแค่ไหนหรือจะเริ่มลงเมื่อไร แม้แต่นักลงทุนระดับโลกยังผิดพลาดได้เสมอ สิ่งที่สำคัญกว่าคือ กระจายความเสี่ยงให้เหมาะสม จัดพอร์ตให้เหมาะกับสถานการณ์ มากกว่าการพยายามเดาทิศทางตลาดในระยะสั้น

หุ้นทั่วโลกแพง ลงทุนยังไงดี? กลยุทธ์จัดพอร์ตฉลาดในยุค Valuation สูง

หุ้นแพงแค่ไหนถึงควร ‘พัก’ หรือ ‘ขายบางส่วน’?

หากสินทรัพย์ในพอร์ตปรับตัวขึ้นจนทำให้สัดส่วนสินทรัพย์ให้พอร์ตเปลี่ยนแปลงไปมาก จากกลยุทธ์หรือความตั้งใจเดิมก็ควร ‘ทยอยขายบางส่วน’ เพื่อทำกำไรและลดความเสี่ยงสะสม

ยกตัวอย่างเช่น ทองคำ หากตั้งใจถือ 5% ของพอร์ต แต่ราคาขึ้นจนสัดส่วนเพิ่มเป็น 10% การขายครึ่งหนึ่งออกมา และกระจายไปซื้อสินทรัพย์ตัวอื่นๆ ให้สัดส่วนกลับมาเป็นที่ตั้งใจไว้ตอนแรก จะช่วยรักษาสมดุลโดยไม่ต้องขายหมด

กลยุทธ์เหล่านี้เรียกว่า ‘การจัดพอร์ตเชิงรุกอย่างมีวินัย’ (Dynamic Rebalancing) ที่ช่วยให้คุณอยู่ในเกมได้โดยไม่ต้องเสี่ยงเกินไปในช่วงตลาดร้อนแรง

ในช่วงที่หุ้นต่างพากันปรับตัวขึ้น จนราคาแพง ไม่ใช่เรื่องใหม่ หรือ เป็นเรื่องที่น่ากลัวอะไร สิ่งที่น่ากลัวคือ การพุ่งตามกระแสโดยไม่ระวัง เห็นเขาว่าดีก็เข้าตาม แบบนั้นคุณอาจเจอกับความผันผวนเกินกว่าจะรับไหวได้

ดังนั้น สิ่งที่ควรทำ ไม่ว่าจะช่วงหุ้นแพง หรือหุ้นถูก คือการจัดพอร์ตอย่างเหมาะสม กระจายความเสี่ยง และการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ คือหลักการที่พิสูจน์แล้วว่าสามารถช่วยให้พอร์ตคุณข้ามผ่านความผันผวนของจลาดหุ้นไปได้


ตัวช่วยกระจายความเสี่ยง พร้อมระบบดูแลให้อัตโนมัติ

หากคุณต้องการพอร์ตที่กระจายความเสี่ยงครอบคลุม ทั้งในแง่ของสินทรัพย์ ลงทุนหุ้นทั่วโลก และตราสารหนี้ ในสัดส่วนที่เหมาะสมตามหลักการระดับโลกอย่าง Modern Portfolio Theory พร้อมระบบคอยดูแลปรับพอร์ต บาลานซ์สัดส่วนให้อัตโนมัติ 

ไม่ต้องกังวลว่าหุ้นจะถูกจะแพง ตลาดจะผันผวนมากแค่ไหน ก็จะมีระบบคอยดูแลให้พอร์ตเติบโตไม่กับเศรษฐกิจโลกในระยะยาว 

คุณสามารถลงทุน Global ETF ที่ลงทุนผ่าน ETF เริ่มต้น 10,000 บาท (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม)

แต่ถ้าอยากกระจายความเสี่ยงเหมือนกันแต่ ไม่อยากต้องมากังวลภาษีต่างประเทศ ก็สามารถลงทุน Omni Fund ที่ลงทุนผ่าน กองทุนรวม เริ่มต้น 1,000 บาท (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม)

หรือจะดูความแตกต่าง ว่าคุณเหมาะกับนโยบายไหนสามารถอ่านเพิ่มเติมที่นี่หากคุณสนใจลงทุน สามารถติดต่อเจ้าหน้าที่ของเราได้ที่ Line: @JittaWealth หรือโทร 02 460 8888