Skip to content - ข้ามไปที่เนื้อหา
Blog

ลงทุนเมื่อไหร่ดี ดูจากงานปาร์ตี้แบบ Peter Lynch


Jitta Wealth

ไฮไลต์

  • ตอบคำถาม ควรลงทุนเมื่อไหร่? ด้วย ‘ทฤษฎี Cocktail Party’ ของ Peter Lynch แบ่งตลาดหุ้นออกเป็น 4 ช่วงตามบรรยากาศในงานเลี้ยง
    • ไม่มีใครพูดเรื่องหุ้น = ตลาดตก
    • คนเริ่มฟังแต่ยังไม่สนใจ = ตลาดฟื้นตัว
    • ถามหุ้นเด็ดกันสนั่น = ตลาดร้อนแรงขึ้น
    • ผู้คนแนะนำกันเอง = ตลาดใกล้ถึงจุดพีก
  • วิธีสังเกตตลาดจริงๆ ไม่จำเป็นต้องไปงานเลี้ยง ลองฟังเพื่อนคุยเรื่องหุ้น หรือดูหนังสือขายดีเกี่ยวกับการลงทุน
  • แม้ Lynch จะเสนอวิธีดูจังหวะตลาด แต่เขาเชื่อในการลงทุนในบริษัทดีๆ ที่มีโอกาสเติบโต แม้ในช่วงตลาดซบเซา มากกว่าการคอยจับจังหวะ
  • ไม่ว่าตลาดจะเป็นอย่างไร การลงทุนแบบมีวินัยและยึดหลักการที่ถูกต้อง จะนำพาไปสู่ผลตอบแทนระยะยาว

เข้าลงทุนเมื่อไหร่ดี? จังหวะไหนควรซื้อหุ้น? เป็นคำถามคลาสสิก ที่ใครๆ ก็ถามกัน ช่วงที่ตลาดหุ้นทั่วโลกผันผวนเป็นไบโพลาร์ หากคุณไม่ได้ลงทุนแบบ DCA คงคิดเหมือนกันว่า เมื่อไหร่ตลาดหุ้นขาลงจะจบ จะได้กลับมาซื้อหุ้นสักที

แต่การจะหาคำตอบมันยากมาก เรียกได้ว่าเป็น Million Dollar Question ตลอดกาลของโลกการลงทุนเลยก็ว่าได้

ซึ่งนักลงทุนชั้นครูหลายคน มีวิธีในการประเมินสภาวะตลาดหุ้นแตกต่างกันไปตามกลยุทธ์ส่วนตัว บางคนมีวิธีจับจังหวะตลาดของตัวเอง บางคนสนใจราคาหุ้นเทียบกับพื้นฐานเพียงอย่างเดียว หรือบางคนเป็นชาวสวน เน้นลงทุนสวนกระแสตลาดอยู่เสมอ

แต่วิธีที่เรียบง่ายกว่าใคร ไม่ต้องมีความรู้ทางเศรษฐกิจหรือคำนวณอะไรให้ยุ่งยาก

เราขอยกให้ ‘ทฤษฎี Cocktail Party’ ของ Peter Lynch ที่เรากำลังจะเล่าให้คุณอ่านในบทความนี้

ทฤษฎี Cocktail Party อันโด่งดังของ Peter Lynch

ในหนังสือ ‘One Up On Wall Street’ หรือชื่อไทยว่า ‘เหนือกว่าวอลสตรีท’ ได้เล่าว่า Lynch ใช้เวลานานหลายปีในการคิดค้นทฤษฎีนี้ขึ้นมาโดยการแอบไปฟังผู้คนในงานปาร์ตี้ค็อกเทลคุยกันเรื่องตลาดหุ้นในแต่ละช่วง

ทฤษฎี Cocktail Party แบ่งตลาดหุ้นออกเป็น 4 ช่วง

ช่วงที่ 1 – ช่วงตลาดหุ้นตก 

ช่วงนี้ในงานเลี้ยงจะไม่มีใครพูดถึงเรื่องการลงทุนเลย ถ้ามีคนเดินเข้ามาคุยกับ Lynch และรู้ว่าเขาเป็นผู้จัดการกองทุน ทุกคนก็จะแค่พยักหน้าอย่างสุภาพพอเป็นพิธีและเดินจากไป หรือไม่ก็รีบเปลี่ยนหัวข้อไปคุยเรื่องอื่น

ถ้ามีหมอฟันกำลังอธิบายเรื่องคราบหินปูนอยู่ใกล้ๆ ทุกคนจะอยากเดินไปฟังหมอฟันมากกว่าจะคุยกับผู้จัดการกองทุน ซึ่ง Lynch บอกว่าถ้ารูปการณ์เป็นแบบนี้ให้สันนิษฐานไว้เลยว่า คุณกำลังอยู่ในช่วงตลาดหุ้นตก

ถ้าคุณมีประสบการณ์ในแวดวงการลงทุนมาแล้ว จะรู้ว่าช่วงนี้เป็นช่วงที่ตลาดหุ้นเริ่มกลับตัวจากขาลงเป็นขาขึ้น หุ้นที่อยู่ในช่วงนี้ก็จะเงียบหายจากหน้าข่าวไปสักพัก เพราะแทบไม่มีใครสนใจเลย

ช่วงที่ 2 – ช่วงตลาดหุ้นเริ่มเป็นขาขึ้น 

ช่วงนี้แม้ราคาหุ้นจะเริ่มปรับตัวขึ้น แต่ผู้คนยังไม่สนใจตลาดหุ้นมากนัก Lynch บอกว่าในงานเลี้ยงคนจะอยู่คุยด้วยนานขึ้นจนเขาพอจะเล่าได้ว่าตลาดหุ้นช่วงนั้นเป็นอย่างไร แต่หลังจากนั้นทุกคนก็พากันไปคุยกับหมอฟันเหมือนเดิม

Lynch บอกว่าถ้าเป็นแบบนี้ ตลาดหุ้นจะขึ้นมาแล้วประมาณ 15% แต่คนส่วนใหญ่ยังไม่ได้สนใจการลงทุนมากนัก

ช่วงที่ 3 – ช่วงตลาดหุ้นขึ้นมา 30% จากจุดต่ำสุด 

คนในงานเลี้ยงจะเริ่มเข้ามาคุยกับ Lynch มากขึ้นจนไม่ได้สนใจหมอฟันอีกต่อไป ผู้คนจะเข้ามาขอคำแนะนำจากเขาว่า ช่วงนี้ควรซื้อหุ้นไหนดี แม้แต่หมอฟันก็ยังมาขอหุ้นเด็ดจากเขา

Lynch บอกว่า ถ้าเห็นทุกคนในงานเลี้ยงทุ่มเงินซื้อหุ้นที่ตัวเองสนใจ และถกเถียงเกี่ยวกับหุ้นรายบริษัท แปลว่า ตลาดหุ้นจะยังขึ้นต่อไปได้อีก

ช่วงที่ 4 – ช่วงตลาดหุ้นร้อนแรง 

เป็นช่วงสุดท้าย Lynch บอกว่า ช่วงนี้เขาจะเป็นเหมือนดาราในงานเลี้ยง มีแต่คนมารายล้อม แต่แทนที่คนในงานเลี้ยงจะมาขอคำแนะนำจากเขา 

กลายเป็นว่าทุกคนกลับให้คำแนะนำผู้จัดการกองทุนอย่างเขาซะงั้น ขนาดหมอฟันคนเก่งยังบอกเคล็ดลับการลงทุนให้ Lynch มา 3-4 ข้อเลย (Lynch น่าจะต้องมีปัญหาอะไรสักอย่างกับหมอฟันคนนี้แน่ๆ) 

ถ้าเป็นแบบนี้ Lynch บอกว่า เป็นสัญญาณว่าตลาดหุ้นขึ้นถึงจุดพีกแล้วและกำลังจะถล่มลงมา นักลงทุนควรรีบขายทำกำไร

หลังจากนี้ เมื่อเขาไปงานเลี้ยงหลังตลาดหุ้นร่วง บรรยากาศในงานก็จะกลับไปเป็นเหมือนช่วงที่ 1 อีกรอบ เพราะตลาดหุ้นก็วนเป็นวัฏจักรเรื่อยๆ อยู่แบบนี้

ถึงจะไม่ใช่งานเลี้ยงก็ยังสังเกตได้

เราแนะนำให้คุณลองสังเกตหัวข้อการพูดคุยในกลุ่มเพื่อนฝูง เวลาไปสังสรรค์กันก็ได้ว่า ช่วงก่อนหน้านี้เพื่อนๆ ของคุณคุยกันเรื่องการลงทุนบ่อยแค่ไหน และตอนนี้ที่ตลาดหุ้นตกลงมา เพื่อนๆ คุณคุยกันเรื่องการลงทุนเยอะเท่าเดิมหรือไม่

เป็นอีกวิธีเอาทฤษฎี Cocktail Party ไปประยุกต์ใช้จริง ให้คุณรับรู้อารมณ์ของตลาดหุ้นได้พอสมควรเลย

อีกวิธีที่สุดแสนจะคลาสสิก คือ การไปยืนดูแผงการจัดอันดับหนังสือขายดี ว่ามีหนังสือด้านการลงทุนติดอันดับอยู่เยอะแค่ไหน ถ้ามีหนังสือสอนการลงทุนติดอันดับเยอะๆ แปลว่า ตลาดหุ้นน่าจะอยู่ในช่วงที่ 3 แล้วตามทฤษฎีของ Lynch 

Peter Lynch ‘ไม่เชื่อ’ เรื่องการจับจังหวะตลาด

ถึงจะเป็นคนคิดค้นทฤษฎี Cocktail Party แต่เราขอย้ำตัวโตๆ ว่า Peter Lynch เอง ไม่เชื่อเรื่องการจับจังหวะตลาด สิ่งที่เขาใช้เป็นกลยุทธ์การลงทุนคือ การซื้อบริษัทที่ดีเยี่ยมต่างหาก

เพราะในหนังสือ ‘เหนือกว่าวอลสตรีท’ Lynch บอกชัดเจนว่า สิ่งที่ทำให้คุณประสบความสำเร็จในการลงทุนได้คือ การลงทุนในบริษัทที่ดีและกำลังเติบโต ซึ่งคุณสามารถหาเจอได้ง่ายๆ จากการสังเกตสิ่งรอบตัวในชีวิตประจำวัน

ถือเป็นข้อได้เปรียบของนักลงทุนรายย่อยที่มีเหนือกว่าผู้จัดการกองทุนอย่างเขาที่มีกฎระเบียบและข้อจำกัดในการลงทุนมากมาย ทำให้ในหลายๆ ครั้งนักลงทุนรายย่อยสามารถลงทุนหุ้นโนเนมตัวเล็กๆ ที่กำลังเติบโตได้ก่อนผู้จัดการกองทุนหลายปี

และในบทสุดท้ายของหนังสือ Lynch ก็แนะนำให้คุณลงทุนในบริษัทที่ยอดเยี่ยมเป็นหลัก โดยไม่ต้องสนใจว่าเศรษฐกิจหรือตลาดหุ้นว่ากำลังขึ้นหรือตกลง เพราะเขาก็เคยได้กำไรจากหุ้นหลายเด้งในช่วงตลาดหมีมาแล้ว

ถ้าหุ้นตัวนั้นเป็นหุ้นที่ไม่มีใครสนใจ หรือกำลังขายในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าก็จะยิ่งตรงสเปกของ Lynch เข้าไปใหญ่

จะลงทุนตอนไหน ลองสังเกตจากบรรยากาศรอบตัว

จากทฤษฎี Cocktail Party ของ Lynch คุณน่าจะพอจับจุดอารมณ์ของตลาด เพื่อนำมาเป็นประโยชน์ในการลงทุนได้ ถ้าไม่ได้ลงทุนแบบ DCA 

หรือถ้า DCA อยู่แล้ว ก็อาจจะใส่เงินลงทุนเพิ่ม เพื่อสะสมหุ้นตอนราคาต่ำๆ ในช่วงที่บรรยากาศตลาดหุ้นอยู่ในช่วงที่ 1-2 ตามทฤษฎี Cocktail Party

แต่ต้องมั่นใจด้วยว่า บริษัทที่คุณจะลงทุนเป็นบริษัทที่ยอดเยี่ยม และกำลังขายในราคาที่เหมาะสม ยิ่งถ้าเป็นบริษัทเล็กๆ ที่ไม่ค่อยมีคนสนใจและกำลังขายในราคาที่ต่ำกว่าพื้นฐาน ตัว Peter Lynch ก็บอกให้รีบคว้าเอาไว้เลยครับ แต่ก็ต้องใช้แรงกายแรงใจในการขุดหุ้น ด้วยตัวเองเพิ่มเล็กน้อย

แต่ถ้าไม่มีเวลา ไม่มีความรู้เชิงลึกในการวิเคราะห์ธุรกิจหรืองบการเงิน ก็ให้ทีมงาน JittaWealth ดูแลเงินลงทุนของคุณ รับรองได้ว่า คุณได้ลงทุนใน ‘หุ้นดีราคาถูก’ หรือ ‘หุ้นดีมีโอกาสเติบโต’ อยู่ตลอด ด้วยหลักการลงทุนที่ถูกพิสูจน์แล้วว่า สร้างผลตอบแทนทบต้นในระยะยาว

ตลาดหุ้นช่วงนี้อาจสับสนวุ่นวายไปบ้างตามวัฏจักรเศรษฐกิจ แต่อย่างไรก็ตามทุกการเปลี่ยนแปลงย่อมหมายถึงอนาคตที่ดีกว่า

ทีมงาน Jitta Wealth พร้อมอยู่เคียงข้างคุณไปตลอดในเส้นทางการลงทุน เพื่อช่วยให้คุณสร้างผลตอบแทนที่ดีขึ้นด้วยวิธีการที่เรียบง่ายกว่าเดิม ไม่ว่าตลาดหุ้นจะเป็นอย่างไร