Skip to content - ข้ามไปที่เนื้อหา
Blog

ปั้นพอร์ตเมกะเทรนด์ ‘หุ้นสุขภาพสหรัฐฯ’ กับ Jitta Ranking


Jitta Ranking Jitta Wealth

เนื้อหาสำคัญ

ไฮไลต์

  • ธุรกิจเฮลท์แคร์อิงอยู่กับความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ ไม่ว่าเจอภาวะปกติ วิกฤต หรือสงคราม การรักษาพยาบาลล้วนจำเป็นทั้งนั้น 
  • โครงสร้างทางสังคมทั่วโลกกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยเต็มรูปแบบ นี่คือเมกะเทรนด์ที่จะอยู่บนโลกใบนี้ในอีก 10-20 ปีข้างหน้า ดังนั้นความต้องการระบบสาธารณสุขที่ดีมีมาตรฐานมีแต่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีทางลดลง
  • อุตสาหกรรมเฮลท์แคร์ของสหรัฐฯ มีขนาดใหญ่มากเป็นอันดับ 1 ของโลก มีมูลค่าอุตสาหกรรมคิดเป็น 18% ของ GDP จากมากกว่า 784,000 บริษัทเฮลท์แคร์สัญชาติอเมริกัน และกว่า 1,000 บริษัทที่อยู่ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ 
  • Jitta Ranking หุ้นสุขภาพสหรัฐฯ เป็นพอร์ตลงทุนที่อิงกับ 1 ในปัจจัยที่ 4 ของมนุษย์และการเติบโตของธุรกิจเฮลท์แคร์จากประเทศผู้นำโลก โดยใช้ AI มาวิเคราะห์พื้นฐานของหุ้นสุขภาพในตลาดหุ้นสหรัฐฯ และเลือก ‘หุ้นดีมีโอกาสเติบโต’ มาจัดพอร์ต 5-30 บริษัทและปรับพอร์ตอัตโนมัติทุก 3 เดือน

วิกฤตโรคระบาดครั้งใหญ่ Covid-19 เปลี่ยนแปลงชีวิตของคุณอย่างไรบ้าง

เมื่อ Covid-19 กำลังคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น มีอะไรใหม่ๆ เกิดขึ้นกับชีวิตคุณบ้าง

การประชุม TDRI Annual Public Virtual Conference 2021 เมื่อปลายปีที่ผ่านมา มีการถกประเด็นในหัวข้อ ‘ความท้าทายและจินตนาการแห่งโลกใหม่ : โมเดลการพัฒนาประเทศหลัง Covid-19’ โดยมีหัวข้อที่น่าสนใจ คือ ‘โลกใหม่หลัง Covid-19’ 

โลกใบใหม่โลกหนึ่งที่ถูกพูดถึงมีชื่อว่า Care Economy หรือเศรษฐกิจแบบใส่ใจ ที่ผู้คนเริ่มตระหนักและให้ความสำคัญกับสุขภาพกายและใจมากขึ้น 

การดูแลสุขภาพย่อมเป็นสิ่งที่มนุษย์ให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกๆ อยู่แล้ว เมื่อคุณเจ็บป่วย คุณก็ย่อมต้องการให้ร่างกายกลับมาแข็งแรงโดยเร็วที่สุด เพราะการไม่มีโรค…เป็นลาภอันประเสริฐ

เทรนด์การดูแลสุขภาพ เริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้นเรื่อยๆ ผู้คนเริ่มเรียนรู้ที่จะออกกำลังกาย ทานอาหารที่มีประโยชน์ กาลเวลาผ่านไปจากการดูแลแค่สุขภาพกายเพียงอย่างเดียว ผู้คนก็เริ่มหันมาใส่ใจการดูแลสุขภาพใจด้วยเช่นกัน 

จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้อุตสาหกรรมเฮลท์แคร์ทั่วโลกมีการพัฒนาอยู่เสมอ เติบโตไปพร้อมๆ กับความต้องการที่ไม่หยุดยั้งของผู้คนทั่วโลกในการดูแลสุขภาพกายและใจให้ดีที่สุด 

ส่งผลให้หุ้นสุขภาพ หรือหุ้นเฮลท์แคร์ มีความน่าสนใจและดึงดูดนักลงทุนทั่วโลกมาโดยตลอด เพราะเป็นเมกะเทรนด์ที่ไม่ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร มนุษย์ก็ขาดยารักษาโรคและระบบการแพทย์ที่มีคุณภาพไม่ได้ มันคือ 1 ในปัจจัยที่ 4 สำคัญพอๆ กับอาหาร เครื่องนุ่งห่ม และที่อยู่อาศัย

สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่มีอุตสาหกรรมเฮลท์แคร์ขนาดใหญ่เป็นอันดับ 1 ของโลก มีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 4.12 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2563 และคาดว่า จะเติบโตแตะ 6.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2571

หากคุณจะเลือกลงทุนในธุรกิจเฮลท์แคร์ ก็คงนึกถึง ‘หุ้นสุขภาพสหรัฐฯ’ เป็นประเทศแรก 

ทำไม ‘หุ้นสุขภาพสหรัฐฯ’ ถึงน่าลงทุน  

ก่อนที่คุณจะเลือกลงทุนในสินทรัพย์การเงินต่างๆ ภารกิจแรกที่คุณควรทำ คือ ทำความเข้าใจในสินทรัพย์นั้นให้รอบด้านมากที่สุด เพราะนอกจากภาพในปัจจุบันจะสะท้อนประสิทธิภาพของธุรกิจได้ดีแล้ว ยังทำให้คุณสามารถประเมินโอกาสเติบโตได้ ว่าสินทรัพย์นั้นจะไปได้ไกลแค่ไหน 

โดยปัจจัยที่ทำให้ ‘หุ้นสุขภาพสหรัฐฯ’ มีศักยภาพและโอกาสเติบโตในอนาคต มีดังต่อไปนี้ 

หุ้นสุขภาพสหรัฐฯ
  • อุตสาหกรรมเฮลท์แคร์ของสหรัฐฯ มีขนาดใหญ่มากเป็นอันดับ 1 ของโลก ดูได้จากตลาดแรงงาน โดย 1 ใน 8 ของชาวอเมริกันทำงานในธุรกิจสุขภาพ และมูลค่าอุตสาหกรรมคิดเป็น 18% ของ GDP หรือเรียกได้ว่า อุตสาหกรรมเฮลท์แคร์เป็นนายจ้างรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ มีมากกว่า 784,000 บริษัท 
  • อัตราค่าใช้จ่ายของชาวอเมริกันที่ต้องจ่ายเงินให้ธุรกิจบริการสุขภาพต่างๆ เป็นอันดับ 1 ของโลก อยู่ที่ 12,530 ดอลลาร์สหรัฐต่อคนต่อปี ในปี 2563 ทิ้งห่างจากอันดับ 2 อย่างนอร์เวย์มากกว่า 1 เท่าตัว และเงินจำนวนนี้ก็มากกว่าค่าเฉลี่ยของคนทั่วโลกเช่นเดียวกัน 
  • เม็ดเงินหมุนเวียนในธุรกิจเฮลท์แคร์ของสหรัฐฯ สูงกว่าประเทศอื่นๆ มาก เพราะมีการผูกขาดสูง โดยเฉพาะธุรกิจโรงพยาบาลและคลินิกแพทย์เฉพาะทาง ซึ่งการผูกขาดนี้ทำให้ราคาค่าใช้จ่ายในโรงพยาบาล รวมไปถึงค่าบริการทางการแพทย์เฉพาะทางของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นมากกว่า +5% ต่อปี ตั้งแต่ปี 2559-2563 ขยายตัวเร็วกว่า GDP สหรัฐฯ ที่ +2.8%  
  • โครงสร้างทางสังคมทั่วโลกที่เปลี่ยนแปลงไป มนุษย์มีอายุที่ยืนมากขึ้น (Longevity) ตามวิวัฒนาการทางการแพทย์ที่พัฒนาตลอดเวลา ทำให้คนเจนเนอเรชัน Baby Boomer ที่มีอายุมากกว่า 65 ปี มีสัดส่วนสูงมากขึ้นในหลายๆ ประเทศทั่วโลก รวมทั้งในสหรัฐฯ แน่นอนว่า พวกเขาต้องการระบบสาธารณสุขที่ดี เพื่อไม่เจ็บไข้ได้ป่วยและมีอายุยืนยาว
  • Baby Boomer ในสหรัฐฯ มีสัดส่วนสูงมาก และกำลังสมัครเข้าโครงการ Medicare ของรัฐบาล นี่คือ โอกาสเติบโตในระยะยาวของธุรกิจเฮลท์แคร์ เพราะคนเจนเนอเรชันต่อๆ ไป เจน X และ Y ก็ต้องมีอายุมากขึ้นตามเช่นเดียวกัน
  • Morgan Stanley สถาบันการเงินชั้นนำของโลก คาดการณ์สัดส่วนประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไปของสหรัฐฯ จะเพิ่มขึ้น +23% ในปี 2568 ตัวเลขนี้จะสะท้อนให้เห็นว่า ค่าใช้จ่ายในการดูแลสุขภาพ หรือ Healthcare Spending ต่อ GDP มีโอกาสเติบโตเฉลี่ย +5.3% ในช่วงปี 2564-2571
  • ศูนย์บริการด้านสุขภาพของสหรัฐฯ (CMS) คาดว่า ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพจะมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นทุกปี อาจจะมีสัดส่วนสูงถึง 26% ต่อ GDP ของสหรัฐฯ ในปี 2583 
  • นับตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา บริษัทยาในสหรัฐฯ ถือว่า เป็นผู้นำโลกในการแก้วิกฤตโรคระบาด Covid-19 ด้วยการคิดค้นและพัฒนายาและวัคซีน พร้อมทั้งแสดงความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมเฮลท์แคร์ ด้วยการอัดฉีดเงินสนับสนุนจากรัฐบาล เพื่อเอาชนะโรคร้ายที่คร่าชีวิตผู้ทั่วโลกมากกว่า 6 ล้านคน 
  • สหรัฐฯ เอาเทคโนโลยีมาต่อยอด ผนวกกำลังกับอุตสาหกรรมการแพทย์ได้ดี เช่น เทรนด์ Telehealth บริการทางการแพทย์ผ่านระบบอินเทอร์เน็ต ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากตั้งแต่ปี 2563 เพราะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการใช้บริการโรงพยาบาลและบุคลากรสนับสนุนทางการแพทย์ได้ จากงานวิจัยของ McKinsey พบว่า ผู้บริโภคในสหรัฐฯ หันมาใช้บริการ Telehealth เพิ่มขึ้น +46% ในปี 2563 
  • บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ในสหรัฐฯ ก็เริ่มก้าวเข้าสู่ธุรกิจเฮลท์แคร์ เช่น Apple มีนาฬิกาเพื่อสุขภาพอย่าง Apple Watch บริษัท Amazon ก็เข้าเทคโอเวอร์ PillPack ร้านขายยาออนไลน์ในสหรัฐฯ Microsoft เข้าซื้อกิจการ Nuance Communications ผู้พัฒนาปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในโรงพยายาลในสหรัฐฯ Google เองก็เข้าซื้อกิจการของ Fitbit นาฬิกา Smart Watch เพื่อสุขภาพ และ Walmart เปิดคลินิก Walmart Health
  • คำว่าเฮลท์แคร์ ขยายความจากการดูแลสุขภาพทั่วไป สู่การดูแลสุขภาพในโลกดิจิทัล เช่น Electrionic Health Record เทคโนโลยีการแชร์ข้อมูลทางการแพทย์ผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล Wearables เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์สำหรับสวมใส่ ที่ช่วยในการดูแลสุขภาพ 

ด้วยปัจจัยเหล่านี้ ต่างผลักดันให้ธุรกิจเฮลท์แคร์ของสหรัฐฯ เติบโตสูง เฉลี่ยที่ +5.4% ต่อปีในช่วงปี 2563-2571 นอกจากนี้อุตสาหกรรมสุขภาพจะไม่ใช่แค่เรื่องของโรงพยาบาล ยา วัคซีน และการรักษาโรคเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงธุรกิจอื่นๆ ที่จะมาพัฒนาให้การดูแลสุขภาพนั้นเป็นเรื่องที่ง่ายและเข้าถึงผู้คนทั่วโลกมากขึ้น 

‘หุ้นสุขภาพสหรัฐฯ’ โอกาสลงทุนที่ยั่งยืน 

จุดเด่นของหุ้นสุขภาพ คือ เป็นธุรกิจที่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ยังไปต่อได้เสมอ เพราะเป็นอุตสาหกรรมที่มีอำนาจในการต่อรองกับผู้บริโภคสูงมาก ในเมื่ออยู่บนพื้นฐานของปัจจัยที่ 4 จึงเป็นธุรกิจที่มีความยั่งยืน

แน่นอนว่า ผู้คนทั่วโลกตื่นตัวในการดูแลสุขภาพหลังวิกฤต Covid-19 ยิ่งผลักดันให้อุตสาหกรรมเฮลท์แคร์ที่มีความน่าสนใจมากขึ้นไปอีก หุ้นสุขภาพจึงเป็นสินทรัพย์อันดับต้นๆ ที่นักลงทุนทั่วโลกเก็บไว้เป็น Wishlist 

สำหรับ ‘หุ้นสุขภาพสหรัฐฯ’ มีมาร์เก็ตแคปในดัชนี S&P500 คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 14% ของมาร์เก็ตแคปรวม แต่กำไรของกลุ่มกลับมีสัดส่วนที่สูงถึง 18% ของดัชนี ขณะที่ภาพรวมกำไรของหุ้นสุขภาพสหรัฐฯ ในดัชนี S&P500 มีการเติบโตอย่างสม่ำเสมอเฉลี่ย 7% ต่อปี ในช่วง 2554-2563

‘หุ้นสุขภาพสหรัฐฯ’ ยังเปิดกว้างมาก มีธุรกิจที่หลากหลายและไม่หยุดอยู่กับที่ เช่น กลุ่มผลิตยา กลุ่มวิจัยและพัฒนายา กลุ่มเครื่องมือการแพทย์ กลุ่มค้าปลีก กลุ่มประกันสุขภาพ และกลุ่มเทคโนโลยีการแพทย์ 

แต่กว่า 1,000 บริษัทเฮลท์แคร์ที่อยู่ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ คุณจะสามารถคัดเลือกบริษัทที่พื้นฐาน น่าลงทุน มาจัดพอร์ตได้อย่างไร 

พอร์ตลงทุนใหม่จาก Jitta Wealth เปิดโอกาสให้คุณลงทุนใน ‘หุ้นดีมีโอกาสเติบโต’ กับ Jitta Ranking หุ้นสุขภาพสหรัฐฯ เป็นอีกทางเลือกในการสร้างความมั่งคั่งเกาะไปกับความยั่งยืนของอุตสาหกรรมเฮลท์แคร์ของสหรัฐฯ สังคมผู้สูงวัย เทรนด์การดูแลสุขภาพกายและใจที่มาจากความต้องการขั้นพื้นฐานของมนุษย์ เป็นเมกะเทรนด์ที่ไม่มีวันตาย 

Jitta Wealth คัดเลือกหุ้นสุขภาพที่น่าสนใจในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ใช้ AI วิเคราะห์เลือก หุ้นสุขภาพที่พื้นฐานงบการเงินแข็งแกร่ง มุลค่ามีโอกาสเติบโตในเติบโต หลังจากนั้นจะจัดเรียง 30 บริษัท เป็นหุ้นที่น่าลงทุนที่สุด ครอบคลุม ‘หุ้นสุขภาพสหรัฐฯ’ ไม่ว่าจะเป็น บริษัทยา บริษัทไบโอเทค โรงพยาบาล ผู้ผลิตอุปกรณ์การแพทย์ บริษัทประกันชีวิตและสุขภาพ บริการด้านสาธารณสุข และบริษัทพัฒนา HealthTech

โดยนำมาจัดพอร์ตลงทุนใน Jitta Ranking หุ้นสุขภาพสหรัฐฯ กระจายความเสี่ยง 5-30 บริษัท ในสัดส่วนที่เท่าๆ กัน พร้อมปรับพอร์ตลงทุนอัตโนมัติทุก 3 เดือน 

ราคา ‘หุ้นสุขภาพสหรัฐฯ’ เปลี่ยนแปลงได้ทุกวัน ตามภาวะตลาดหุ้นและงบการเงินรายไตรมาส ดังนั้น AI ใน Jitta Ranking จึงทำงานทุกวันเช่นเดียวกัน หากหุ้น 30 อันดับแรก มีพื้นฐานเปลี่ยนแปลงไป เทคโนโลยีอัตโนมัติ (Automated Investing) ของ Jitta Wealth จะขายหุ้นนั้นออก และซื้อหุ้นดีมีโอกาสเติบโตเข้าพอร์ต ดังนั้นคุณจะได้ลงทุนใน ‘หุ้นสุขภาพสหรัฐฯ’ ที่พื้นฐานงบการเงินดี มูลค่าเติบโตอยู่เสมอ

ผลตอบแทนย้อนหลังจากการทำ Backtest ปี 2555-2564

  • Jitta Ranking หุ้นสุขภาพสหรัฐฯ เฉลี่ยต่อปี +22.00% ทบต้นรวม +635.76%
  • S&P500 Health Care (Sector) TR เฉลี่ยต่อปี +16.57% ทบต้นรวม +363.18%

หากคุณต้องการดูรายชื่อ ‘หุ้นสุขภาพสหรัฐฯ’ 30 บริษัทที่คุณอาจจะได้ลงทุน สามารถเข้าไปได้ที่ https://jittawealth.com/jitta-ranking/ushealthcare/stocks หรือเข้าไปดูข้อมูลเกี่ยวกับ Jitta Ranking หุ้นสุขภาพสหรัฐฯ ได้ที่ https://jittawealth.com/jitta-ranking/ushealthcare

หากคุณสนใจลงทุนในธุรกิจเฮลท์แคร์กลุ่มอื่นๆ ใน ETF ของกองทุนส่วนบุคคล Thematic เปรียบเทียบจุดเด่นกับ Jitta Ranking หุ้นสุขภาพสหรัฐฯ ศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ https://jittawealth.com/invest-healthcare 

เปิดบัญชี Jitta Ranking หุ้นสุขภาพสหรัฐฯ เริ่มต้นลงทุนได้เลย [เปิดบัญชี]

หากคุณต้องการรู้จัก Jitta Wealth รวมไปถึงกองทุนส่วนบุคคล Jitta Ranking มากขึ้น สามารถเข้าไปที่เว็บไซต์ https://jittawealth.com/jitta-ranking หรือสอบถามเจ้าหน้าที่แนะนำการลงทุนได้ที่ Line ID: @JittaWealth


กองทุนส่วนบุคคล Jitta Wealth บริหารจัดการโดย บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน จิตตะ เวลธ์ จำกัด ผู้บุกเบิกสตาร์ตอัป WealthTech สัญชาติไทยรายแรก ที่ได้รับใบอนุญาตจากกระทรวงการคลัง กำกับโดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ใบอนุญาตเลขที่ ลค-0105-01

ผลตอบแทนในอดีต ไม่สามารถการันตีผลตอบแทนในอนาคต การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจนโยบายการลงทุน เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน การลงทุนต่างประเทศอาจมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน


อ้างอิง 

  1. ทักษะและงานในโลกใหม่ รู้ก่อน รวยก่อน ไม่ตกงาน I Executive Espresso                   https://youtu.be/FxDJ0WTS1kg
  2. จับกระแส Telehealth วิถีใหม่รักษาพยาบาลหลัง Covid https://www.prachachat.net/columns/news-683431
  3. The State of Healthcare Industry – Statistics for 2021 https://policyadvice.net/insurance/insights/healthcare-statistics/
  4. National Health Expenditure Data Fact Sheet https://www.cms.gov/Research-Statistics-Data-and-Systems/Statistics-Trends-and-Reports/NationalHealthExpendData/NHE-Fact-Sheet
  5. U.S. Healthcare: A Story of Rising Market Power, Barriers to Entry, and Supply Constraints https://www.imf.org/en/Publications/WP/Issues/2021/07/06/U-S-461355
  6. Why U.S.Healthcare Spending Is Rising So Fast https://www.investopedia.com/u-s-healthcare-spending-rising-fast-5186172#citation-2
  7. US Healthcare Industry in 2022: Analysis of the health sector,healthcare trends, & Future of digital health https://www.insiderintelligence.com/insights/healthcare-industry/
  8. ลงทุน ETF หุ้นกลุ่มสุขภาพ สร้างโอกาสรับผลตอบแทนปีเสือ https://www.setinvestnow.com/th/knowledge/article/45-tsi-investing-in-healthcare-etf-in-2022
  9. BLS ชี้หุ้น Healthcare สหรัฐสดใส รับสังคมสูงวัย-บ.ยักษ์รุกตลาดสุขภาพ https://www.efinancethai.com/LastestNews/LatestNewsMain.aspx?release=y&ref=M&id=MTNMTmMweGRhWjg9

อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง

สรุป Live: ปั้นพอร์ตสุขภาพดี ด้วย ‘หุ้นเฮลท์แคร์’

รู้จัก Thematic ETF ‘หุ้นเฮลท์แคร์จีน’ กับ KURE

หุ้น ​Covid-19 ตัวไหนปัง พร้อมชี้เป้า ETF ลงทุนรับดีมานด์ทั่วโลก