เริ่มลงทุนหุ้นจีนเงินน้อย ทำอย่างไรให้ปลอดภัยและได้ผลตอบแทนคุ้มค่า
ไฮไลต์
- หุ้นจีน คือหุ้นของบริษัทจีนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ Shanghai และ Shenzhen รวมถึงหุ้นจีนที่ซื้อขายในต่างประเทศ เช่น Alibaba, Tencent และ JD.com
- จุดเด่นของ ตลาดหุ้นจีน คือศักยภาพเศรษฐกิจอันดับ 2 ของโลกที่เติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มเทคโนโลยี พลังงานสะอาด และการบริโภคภายในประเทศ
- นักลงทุนสามารถเริ่มต้น ลงทุนหุ้นจีนด้วยเงินน้อย ผ่านกองทุนรวมและ ETF หุ้นจีน เช่น K-CCTV, SCBCHA หรือ MCHI ที่เปิดให้ลงทุนขั้นต่ำเพียงหลักพันบาท
- กลยุทธ์สำคัญในการลงทุนหุ้นจีนคือการเลือก หุ้นพื้นฐานดี กระจายความเสี่ยงด้วย ETF และลงทุนแบบ DCA อย่างสม่ำเสมอ
- หุ้นจีนยังคงเป็นตลาดที่มี โอกาสเติบโตสูงในระยะยาว จากการพัฒนาเทคโนโลยี AI รถยนต์ไฟฟ้า และการเปิดเสรีตลาดทุน
หุ้นจีนคืออะไร? ทำไมถึงน่าสนใจสำหรับนักลงทุนรุ่นใหม่
หุ้นจีน หมายถึงหลักทรัพย์ของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของประเทศจีน เช่น Shanghai Stock Exchange (SSE) และ Shenzhen Stock Exchange (SZSE) รวมถึงหุ้นจีนที่จดทะเบียนในต่างประเทศ เช่น Alibaba (BABA) หรือ JD.com ที่ซื้อขายในตลาด Nasdaq
สิ่งที่ทำให้หุ้นจีนโดดเด่นคือ ศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจอันดับ 2 ของโลก ที่ยังคงขยายตัวต่อเนื่องในกลุ่มเทคโนโลยี การบริโภค และพลังงานสะอาด โดยเฉพาะหลังการเปิดประเทศและการเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจในช่วงปี 2024-2025
รู้จักตลาดหุ้นจีนมากขึ้นได้ที่นี่
เริ่มต้นลงทุนหุ้นจีนด้วยเงินน้อย ทำได้จริงหรือ?
คำตอบคือ “ทำได้แน่นอน”
ทุกวันนี้ นักลงทุนสามารถเริ่มลงทุนหุ้นจีนด้วยเงินหลักร้อยหรือหลักพันบาท ผ่านหลายช่องทาง ผ่านกองทุนรวม หรือ ETF ที่เน้นหุ้นจีน
เช่น K-CCTV, SCBCHA, TMB China Opportunity, KT-CHINA หรือ MCHI ที่เปิดให้ซื้อขั้นต่ำเพียง 500-1,000 บาท เหมาะกับผู้เริ่มต้นที่ไม่ต้องเลือกหุ้นเอง
กลยุทธ์ลงทุนหุ้นจีนอย่างปลอดภัยสำหรับมือใหม่
การลงทุนหุ้นจีนไม่ต่างจากตลาดอื่นๆ สิ่งสำคัญคือ ‘ความเข้าใจในพื้นฐานและความเสี่ยง’ โดยเฉพาะในประเทศที่มีนโยบายเศรษฐกิจเฉพาะตัวแบบจีน
เลือกหุ้นพื้นฐานดี
เน้นบริษัทที่มีรายได้มั่นคงและโอกาสเติบโต เช่น
- กลุ่มเทคโนโลยี: Alibaba, Tencent, Baidu
- กลุ่มพลังงานสะอาด: BYD, CATL
- กลุ่มบริโภคในประเทศ: Kweichow Moutai
(หรือหากต้องการลงทุนหุ้นคุณภาพดี ที่ราคาเหมาะสม ตามหลักการของ Warren Buffett สามารถลงทุนใน Jitta Ranking หุ้นจีน ที่มี AI คอยคัดเลือกหุ้นมาจัดพอร์ตให้ พร้อมคอยดูแลปรับพอร์ตทุก 3 เดือนแบบอัตโนมัติ อ่านข้อมูลเพิ่มเติมหรือเริ่มลงทุนได้ที่นี่)
กระจายความเสี่ยงด้วย ETF
เช่น ETF อย่าง iShares MSCI China ETF (MCHI) หรือ KraneShares CSI China Internet ETF (KWEB) ช่วยลดความผันผวนจากหุ้นรายตัว
เลือกจัดพอร์ต ETF หุ้นจีนกับ Thematic DIY ที่มีระบบปรับพอร์ตบาลานซ์สัดส่วนให้อัตโนมัติ อ่านเพิ่มเติมที่นี่)

ปัจจัยเสี่ยงที่ควรรู้ก่อนลงทุนหุ้นจีน
- นโยบายรัฐบาลจีน: เช่น การควบคุมกลุ่มเทคโนโลยี หรือจำกัดการลงทุนจากต่างชาติ
- ค่าเงินหยวนผันผวน: มีผลต่อผลตอบแทนเมื่อแปลงกลับเป็นเงินบาท
- ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์: เช่น ความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ หรือไต้หวัน
ดังนั้น การศึกษาความเสี่ยงเหล่านี้เป็นสิ่งจำเป็นก่อนตัดสินใจลงทุน
เทคนิคเลือกกองทุนหุ้นจีนที่เหมาะกับเป้าหมายของคุณ
ตลาดหุ้นจีนมีความน่าสนใจตรงที่ ‘โอกาสเติบโตสูง แต่ก็ผันผวนสูงมากเช่นกัน’ ดังนั้นเทคนิคที่สำคัญที่สุดคือ การเลือกกองทุนที่ ‘จริต’ ตรงกับเป้าหมายและความเสี่ยงที่คุณยอมรับได้ เช่น
ต้องการเติบโตไปกับภาพรวมของจีน
ถ้าคุณคือคนที่เชื่อว่าเศรษฐกิจจีนโดยรวมจะยังเติบโตได้ แต่ไม่ต้องการเสี่ยงกับหุ้นกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมากเกินไป รับความผันผวนได้ปานกลาง
ควรมองหากองทุนประเภท Index Fund (กองทุนดัชนี) ที่พยายามเลียนแบบตลาดภาพรวม เช่น
CSI 300: ตัวแทน ‘จีนแผ่นดินใหญ่’ (A-Shares) 300 บริษัท กระจายหลายอุตสาหกรรม (การเงิน, อุปโภคบริโภค)
MSCI China / FTSE China: ตัวแทน ‘จีนนอกแผ่นดินใหญ่’ หรือ All-China มักจะมีหุ้นเทคโนโลยี (เช่น Alibaba, Tencent) ที่จดทะเบียนในฮ่องกงหรือสหรัฐฯ เยอะกว่า
กองทุนแบบนี้มักจะมีค่าธรรมเนียมต่ำ และผลตอบแทนจะวิ่งไปตามตลาดโดยรวม สามารถเลือกลงทุนได้ทั้ง ETF และกองทุนรวม
เน้นเติบโตสูง กล้าเสี่ยงกับหุ้นจีน
ถ้าคุณรับความเสี่ยงได้สูงมาก มองหาผลตอบแทนแบบ ‘เด้ง’ และพร้อมรับการติดลบหนักๆ เพื่อแลกกับโอกาส
มองหากองทุน 2 ประเภทนี้
- กองทุน ‘Active’ (เชิงรุก): ที่มีผู้จัดการกองทุนคอยเลือก ‘หุ้นเด็ด’ โดยเน้นหุ้นเติบโตสูง (Growth Stocks)
- กองทุน ‘Theme’ (เฉพาะกลุ่ม): ที่เจาะจงไปในอุตสาหกรรมที่โตเร็ว
ตัวอย่างเช่น Tech หรือ Innovation: กองทุนที่เน้นหุ้นเทคโนโลยี AI Semiconductor ของจีน (เช่น กองทุนที่อิงดัชนี Hang Seng TECH หรือ STAR 50)
Small/Mid Cap: กองทุนที่เน้นหุ้นขนาดเล็ก-กลาง ซึ่งมีโอกาสโตไวกว่าหุ้นยักษ์ใหญ่ (แต่ก็เสี่ยงกว่า)
กองทุนแบบนี้ค่าธรรมเนียมมักจะสูงกว่า แต่ก็มีโอกาสได้ผลตอบแทนที่สูงเช่นกัน
เน้นลงทุนในสิ่งที่เชื่อ (ธีมธุรกิจที่สนใจ)
ถ้าคุณคือคนที่ไม่ได้มองภาพรวม แต่เชื่อมั่นใน ‘เทรนด์’ บางอย่างของจีนแบบเจาะจง สามารถมองหากองทุนประเภท Thematic Fund หรือ Sector Fund
ธีมยอดนิยมในปัจจุบันได้แก่: พลังงานสะอาดจีน รถยนต์ EV เนื่องจากจีนเป็นผู้นำด้านพลังงานสะอาดและรถยนต์ไฟฟ้า
หรือธีมบริการสุขภาพจีน เนื่องจากจีนเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย ธุรกิจการแพทย์และสุขภาพกำลังโต
หรือธีมกลุ่มที่เน้นหุ้นอุปโภคบริโภค พึ่งพากำลังซื้อในประเทศจีน เป็นต้น กองทุนแบบนี้เหมาะสำหรับคนที่ศึกษาธีมนั้นมาดีแล้ว และต้องเข้าใจว่าความเสี่ยงจะกระจุกตัวสูง
Checklist 3 ข้อ ต้องดูก่อนซื้อ
ไม่ว่าคุณจะเลือกเป้าหมายไหน ให้ตรวจสอบ 3 ข้อนี้ก่อนเสมอ
- ลงตลาดไหน (A-Shares หรือ H-Shares)?
A-Shares (จีนแผ่นดินใหญ่): หุ้นที่ซื้อขายในเซี่ยงไฮ้/เซินเจิ้น มักเป็นอุตสาหกรรมดั้งเดิม หรือพึ่งพาการบริโภคในประเทศ (เช่น เหล้าเหมาไถ)
H-Shares (ฮ่องกง): มักจะเป็นหุ้นเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ที่เรารู้จักกันดี (เช่น Tencent, Alibaba, Meituan)
กองทุนส่วนใหญ่จะผสมกัน แต่ให้ดูสัดส่วนว่าหนักไปทางไหน หุ้นสองตลาดนี้วิ่งไม่เหมือนกัน!
- Active หรือ Passive?
Passive (Index Fund): ค่าธรรมเนียมถูก วิ่งตามตลาด
Active: ค่าธรรมเนียมแพง ลุ้นให้ผู้จัดการกองทุนชนะตลาด
- ถือหุ้นอะไร 5 อันดับแรก?
นี่คือวิธีดู ‘ไส้ใน’ ที่ดีที่สุด ถ้าคุณเห็นชื่อหุ้น 5 ตัวแรก (เช่น Kweichow Moutai, Tencent, CATL) แล้วคุณชอบ มั่นใจ ก็แสดงว่ากองทุนนี้ตรงจริตคุณ
ตลาดจีนมีความเฉพาะตัวสูงและมักได้รับผลกระทบจากนโยบายรัฐบาล (Policy Risk) เสมอ การเลือกกองทุนที่เหมาะกับเป้าหมายจึงสำคัญมาก
แนวโน้มตลาดหุ้นจีน ปี 2025
1. การฟื้นตัวของเศรษฐกิจหลัง Covid-19
จีนกลับมาเปิดประเทศเต็มรูปแบบ ส่งผลให้เศรษฐกิจฟื้นตัวโดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคภายใน ซึ่งหนุนให้ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนกลับมาแข็งแกร่ง
2. การผลักดันเทคโนโลยีขั้นสูง
รัฐบาลจีนลงทุนหนักใน AI, Semiconductor, EV, และ Cloud Computing เพื่อลดการพึ่งพาต่างประเทศ ซึ่งจะสร้างโอกาสให้หุ้นเทคโนโลยีจีนเติบโตมหาศาลในอีก 5 ปีข้างหน้า
3. การเปิดเสรีตลาดทุน
รัฐบาลจีนเริ่มผ่อนคลายข้อจำกัดการลงทุนต่างชาติ ส่งเสริมให้นักลงทุนทั่วโลกเข้าถึงหุ้นจีนได้ง่ายขึ้น ซึ่งอาจช่วยให้มูลค่าตลาด (Market Cap) ของหุ้นจีนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
จากรายงานของ MSCI (2024) คาดว่าหุ้นจีนจะมีสัดส่วนในตลาดเกิดใหม่มากกว่า 40% ภายในปี 2030 สะท้อนถึงศักยภาพมหาศาลของตลาดนี้
เคล็ดลับเพิ่มโอกาสทำกำไรจากหุ้นจีนระยะยาว
1. ลงทุนแบบ DCA อย่างสม่ำเสมอ
ตั้งเป้าซื้อกองทุนหรือ ETF หุ้นจีนทุกเดือน เช่น เดือนละ 1,000 บาท วิธีนี้ช่วยเฉลี่ยต้นทุนและลดความกังวลเรื่องความผันผวน
2. ประเมินพอร์ตการลงทุนทุก 3-6 เดือน
หากหุ้นหรือกองทุนตัวใดมีผลตอบแทนต่ำกว่าเป้าหมาย ควรปรับสัดส่วนการลงทุนใหม่ เพื่อให้พอร์ตมีความสมดุลและสอดคล้องกับเป้าหมายทางการเงิน
สรุป: เริ่มวันนี้ ดีกว่ารอให้พร้อมวันหน้า
หุ้นจีน คือโอกาสการลงทุนที่น่าสนใจในยุคเศรษฐกิจเอเชียรุ่งเรือง โดยเฉพาะเมื่อคุณสามารถเริ่มต้นด้วยเงินน้อย แต่ได้เรียนรู้ระบบการลงทุนต่างประเทศจริงๆ
ไม่ว่าคุณจะเริ่มจากกองทุนรวม ETF หรือหุ้นรายตัว สิ่งสำคัญคือ ‘เริ่ม’ และ ‘เรียนรู้ไปพร้อมกัน’ เพราะ เวลาคือเพื่อนที่ดีที่สุดของนักลงทุน