ETF ดีอย่างไร? 5 ข้อดีที่ทำให้ ETF กลายเป็นสินทรัพย์ยอดนิยมของนักลงทุนทั่วโลก
ไฮไลต์
- ETF กลายเป็นสินทรัพย์ยอดนิยมของนักลงทุนทั่วโลก เพราะรวมข้อดีของกองทุนรวมและหุ้นเข้าไว้ด้วยกัน ทั้งเข้าใจง่าย ต้นทุนต่ำ และเหมาะกับการลงทุนระยะยาว
- จุดเด่นสำคัญของ ETF คือ กระจายความเสี่ยงได้ดี ซื้อครั้งเดียวได้ถือหุ้นหลายตัว หลายประเทศ เหมาะกับมือใหม่และคนที่ไม่มีเวลาวิเคราะห์หุ้นรายตัว
- ด้วยโครงสร้างแบบ Passive ทำให้ ETF มีค่าธรรมเนียมต่ำ ส่งผลให้ผลตอบแทนระยะยาวมีโอกาสเติบโตได้เต็มศักยภาพ
- ETF ซื้อขายคล่องตัวเหมือนหุ้น และมีให้เลือกหลากหลาย ตั้งแต่หุ้นโลก พันธบัตร ไปจนถึงธีมเมกะเทรนด์ ทำให้สร้างพอร์ตได้ง่ายตามสไตล์ของแต่ละคน
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ETF หรือกองทุนรวมดัชนีแบบซื้อขายได้ในตลาดหุ้น กลายเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดทั่วโลก ไม่ใช่แค่ในหมู่มือใหม่ แต่ยังรวมถึงนักลงทุนระดับโลก นักลงทุนสถาบัน และกองทุนขนาดใหญ่
สาเหตุสำคัญคือ ETF เป็นผลิตภัณฑ์ที่ผสมผสานข้อดีของ ‘กองทุนรวม’ และ ‘หุ้น’ เข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว ทำให้ทั้งเข้าใจง่าย ซื้อขายสะดวก และเหมาะสำหรับการลงทุนระยะยาวที่ต้องการวินัยและต้นทุนต่ำ
สำหรับใครที่กำลังมองหาจุดเริ่มต้นของการลงทุน หรืออยากสร้างพอร์ตที่มั่นคงขึ้น หนึ่งในสินทรัพย์ที่ควรรู้จักมากที่สุดคือ ETF
บทความนี้จะพาคุณทำความเข้าใจ 5 ข้อดีที่ทำให้ ETF เป็นสินทรัพย์ที่นักลงทุนทั่วโลกให้ความไว้วางใจมานานหลายทศวรรษ

1 กระจายความเสี่ยง
ETF ถือเป็นเครื่องมือกระจายความเสี่ยงที่ทรงพลังมาก ด้วยการซื้อเพียงครั้งเดียว คุณจะได้พอร์ตการลงทุนที่มีหุ้นหลายสิบหรือหลายร้อยตัวจากหลายอุตสาหกรรมหรือหลายประเทศทันที ซึ่งต่างจากการซื้อหุ้นรายตัวที่ต้องเลือกเองทีละบริษัท ใช้เวลาและความรู้มากกว่าอย่างชัดเจน
ประโยชน์ของการกระจายความเสี่ยงคือช่วยลดโอกาสที่พอร์ตจะได้รับผลกระทบหนักจากบริษัทใดบริษัทหนึ่ง เพราะความเคลื่อนไหวของราคาจะถูกเฉลี่ยด้วยบริษัทจำนวนมาก ทำให้ความผันผวนโดยรวมเบาลง และเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเติบโตแบบมั่นคงในระยะยาว
ยิ่งสำหรับมือใหม่หรือมนุษย์เงินเดือนที่ไม่มีเวลาวิเคราะห์ตลาดทุกวัน การซื้อ ETF เพียงกองเดียวอาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ง่ายที่สุดในการสร้างพอร์ตที่แข็งแรง
2 ค่าธรรมเนียมต่ำ
หนึ่งในจุดเด่นสำคัญของ ETF คือ ค่าธรรมเนียมต่ำ เมื่อเทียบกับกองทุนรวมทั่วไป ส่วนใหญ่มีอัตราส่วนค่าใช้จ่าย (Expense Ratio) ที่ต่ำ เพราะใช้ระบบบริหารแบบเชิงรับ (Passive) เน้นการติดตามดัชนี ไม่ได้มีนักวิเคราะห์คอยคัดหุ้นหรือปรับพอร์ตแบบเชิงรุก จึงมีต้นทุนการบริหารจัดการต่ำกว่า และต้นทุนนั้นก็ส่งต่อเป็นผลดีให้ผู้ลงทุนโดยตรง
ในระยะยาว ค่าใช้จ่ายที่ต่ำช่วยให้ผลตอบแทนไม่ถูกกัดกิน และทำให้เงินเติบโตได้อย่างเต็มศักยภาพ นี่คือเหตุผลที่นักลงทุนระดับโลก เช่น Warren Buffett แนะนำว่า ถ้าไม่รู้จะเลือกอะไร ให้ลงทุนในดัชนีหรือ ETF เพราะต้นทุนต่ำคือหัวใจสำคัญของการลงทุนระยะยาว
3 ซื้อขายง่ายเหมือนหุ้น
ETF สามารถซื้อขายได้แบบเรียลไทม์ผ่านตลาดหุ้น ทำให้คล่องตัวกว่ากองทุนรวมทั่วไปอย่างมาก คุณสามารถซื้อหรือขายเมื่อไหร่ก็ได้ตามราคา ณ ขณะนั้น ไม่ต้องรอตัดรอบ (Cut-off) หรือรู้มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) ตอนสิ้นวันเหมือนกองทุนแบบเดิม
จุดนี้ทำให้นักลงทุนสามารถบริหารพอร์ตได้สะดวกขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการทยอยซื้อ การขายบางส่วน การตั้งตัดขาดทุน (Stop Loss) หรือแม้แต่การออมเงินมาลงทุนแบบถัวเฉลี่ย (DCA)
ยิ่งกว่านั้น ความคล่องตัวแบบหุ้นยังช่วยให้นักลงทุนรู้สึกควบคุมได้มากขึ้น โดยไม่ต้องผ่านหลายขั้นตอนหรือใช้เอกสารมากมายเหมือนการซื้อกองทุนทั่วไป
4 ไม่ต้องเลือกหุ้นเอง
การเลือกหุ้นทีละบริษัทต้องใช้ความรู้ เวลา และความเข้าใจตลาดค่อนข้างมาก ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคสำหรับมือใหม่หรือผู้ที่ไม่มีเวลาติดตามข่าวสาร แต่ ETF ทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้น เพราะกองจะคัดเลือกหุ้นให้ตามเกณฑ์ที่ชัดเจน เช่น ขนาดบริษัท กลุ่มอุตสาหกรรม ภูมิภาค หรือดัชนีที่อ้างอิง
เพียงซื้อ ETF ตัวเดียว คุณจะได้หุ้นคุณภาพตามเกณฑ์ที่กองกำหนดโดยอัตโนมัติ ซึ่งมักเป็นหุ้นขนาดใหญ่ สภาพคล่องสูง และผ่านการคัดเลือกตามมาตรฐานระดับสากลอยู่แล้ว ทำให้คุณมั่นใจได้ว่าพอร์ตได้รับการจัดสรรอย่างมีคุณภาพ โดยไม่ต้องเลือกหุ้นเองให้ยุ่งยาก
5 มีให้เลือกหลากหลาย
ETF ไม่ได้มีแค่กองหุ้นสหรัฐฯ หรือหุ้นโลกเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมแทบทุกประเภทสินทรัพย์ในตลาด เช่น
- หุ้นจีน ญี่ปุ่น ยุโรป
- หุ้นธีมเฉพาะ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) หุ่นยนต์ (Robotics) ความยั่งยืน (ESG) ฯลฯ
- พันธบัตรรัฐบาล
- ตราสารหนี้เอกชน
- กองทุนตลาดเงิน
- สินทรัพย์ทางเลือก เช่น ทองคำ น้ำมัน บิตคอยน์ ฯลฯ
ความหลากหลายนี้ทำให้นักลงทุนสามารถสร้างพอร์ตในแบบที่ต้องการได้ง่ายมาก ไม่ว่าจะมองหาแนวเติบโตมั่นคง ทยอยเก็บหุ้นโลก หรืออยากเพิ่มสีสันให้พอร์ตด้วยธีมที่กำลังมาแรง ก็สามารถทำได้
อยากลงทุน ETF แต่ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน
ถ้าคุณอยากลงทุน ETF แต่ยังไม่รู้จะเลือกอย่างไรดี จะเริ่มจากหุ้นสหรัฐฯ หุ้นโลก หรือกระจายหลายสินทรัพย์ก็ยังไม่แน่ใจ Global ETF ของ Jitta Wealth คือจุดเริ่มต้นที่เหมาะที่สุดสำหรับมือใหม่
เพราะ Global ETF ทำให้คุณ…
- ลงทุนครั้งเดียว แต่กระจายทั่วโลก ทั้งสหรัฐฯ ตลาดประเทศพัฒนาแล้ว ตลาดเกิดใหม่ พันธบัตรรัฐบาล และหุ้นกู้เอกชนชั้นดีในสหรัฐฯ
- มีระบบปรับพอร์ตอัตโนมัติ (Rebalancing) ช่วยรักษาสมดุลความเสี่ยงให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
- ไม่ต้องเลือก ETF เองทีละตัว ระบบจัดสรรให้ครบ เหมือนมีทีมดูแลพอร์ตส่วนตัว
- เริ่มต้นเพียง 10,000 บาท และเพิ่มทุนครั้งละ 1,000 บาท เหมาะกับคนอยากสร้างวินัยการลงทุนอย่างต่อเนื่อง
Global ETF คือ ตัวช่วยตั้งต้น ที่ทำให้ผู้เริ่มต้นลงทุนได้ถูกต้องตั้งแต่วันแรก โดยไม่ต้องปวดหัวกับการคัดเลือก ETF หรือดูตลาดตลอดเวลา ให้คุณโฟกัสกับเป้าหมายระยะยาวได้อย่างเต็มที่
หากสนใจสามารถติดต่อเจ้าหน้าที่แนะนำการลงทุนของเราได้ที่ Line: @JittaWealth หรือ โทร 02-460-8888 ปรึกษาฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย
สำหรับนักลงทุนที่อยากศึกษาเกี่ยวกับ ETF เพิ่มเติม สามารถอ่านบทความของเราได้ที่ ETF คืออะไร? ลงทุน ETF แบบไหนดีต่อใจ ได้กำไรจริง