สูตรลับปรุงกำไร ลงทุนให้มั่นคงแบบ Ray Dalio

ไฮไลต์
- Ray Dalio เชื่อว่ากำไรที่ยั่งยืน เริ่มจากการลดความเสี่ยง ไม่ใช่การหากำไรสูงสุด แต่คือการขาดทุนน้อยที่สุด
- แนวคิดหลักคือ การกระจายความเสี่ยง (Asset Allocation) เพื่อให้พอร์ตเติบโตได้อย่างมั่นคง ไม่ว่าตลาดจะผันผวนแค่ไหน
- การลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความสัมพันธ์ของราคา (Correlation) ต่ำ ช่วยลดความเสี่ยงโดยไม่กระทบผลตอบแทน
- การถือสินทรัพย์ที่ไม่เคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกันประมาณ 15-20 ตัว จะลดโอกาสขาดทุนได้มาก โดยยังคงผลตอบแทนเท่าเดิม
- การกระจายไม่จำกัดแค่ ‘หุ้น’ แต่รวมถึงพันธบัตร ทองคำ และสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งเคลื่อนไหวต่างกันตามวัฏจักรเศรษฐกิจ
- ในทางปฏิบัติ การถือสินทรัพย์ที่หลากหลาย 6-8 ตัวที่ไม่เกี่ยวข้องกันโดยตรง ก็เพียงพอจะลดผลขาดทุนได้มากแล้ว
หากพูดถึง Warren Buffett คุณจะนึกถึงการลงทุนแบบ VI ตามสโลแกน ‘ซื้อหุ้นดี ราคาเหมาะสม’ แต่ถ้าเป็น Peter Lynch ก็จะนึกถึงการหาหุ้นที่น่าสนใจจากสิ่งรอบตัวในชีวิตประจำวัน
ส่วนใหญ่เรามักนึกถึงหลักการลงทุนให้ได้กำไร แต่มีน้อยคนนักที่จะยึดเอาการ ‘ไม่ขาดทุน’ มาเป็นลายเซ็นของตัวเอง หนึ่งในนั้นคือ Ray Dalio ผู้ทำให้แนวคิดการลงทุนแบบ Asset Allocation เป็นที่แพร่หลาย
เราจะนำแนวคิดการ ‘ลดการขาดทุน’ ที่เป็นเอกลักษณ์ของ Ray Dalio มาอธิบายให้คุณเข้าใจได้ง่ายๆ เผื่อจะเอาไปปรับใช้ในการลงทุนหรือในชีวิตการทำงานของตัวเองก็ได้
กำไรน้อยไม่เป็นไร…ขอไม่ขาดทุนไว้ก่อน
สิ่งที่เป็นเหมือน ‘ลายเซ็น’ ประจำตัว Ray Dalio ก็คือ ‘การกระจายความเสี่ยง’ ในการลงทุนแบบขั้นสุดที่เขาเข้าใจจนถึงแก่น นำมาปฏิบัติจนสำเร็จ และได้เผยแพร่ความรู้นี้ไว้ในหนังสือ Principles อันโด่งดังของเขา
ที่จริง คุณน่าจะเคยได้ยินคำว่ากระจายความเสี่ยงบ่อยแล้ว เราจะอธิบายหลักการนี้แบบง่ายๆ โดยอิงจากสิ่งที่ Ray Dalio สอนเอาไว้ สมมติว่าคุณลงทุนในหุ้น A ที่ให้ผลตอบแทน 10% ต่อปี แต่ก็มีโอกาสที่จะขาดทุนได้ 10% ในปีนั้นเช่นกัน
ถ้าคุณถือหุ้น A อยู่ตัวเดียวในพอร์ต ก็เหมือนการเสี่ยงดวงไปเลยว่า ในปีนั้นคุณจะได้กำไร 10% หรือขาดทุน 10% ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง จบปีค่อยมาลุ้นกันว่าจะได้หรือเสีย แต่สำหรับอัจฉริยะอย่าง Ray Dalio เขามีวิธีที่ฉลาดกว่านั้น และเป็นวิธีที่ช่วยให้เขาทำกำไรจากการลงทุนได้อย่างช้าๆ แต่ยั่งยืน ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่วิธีทำกำไร แต่เป็นวิธีทำให้ ‘ขาดทุนน้อยที่สุด’ ต่างหาก
Ray Dalio อธิบายว่าถ้าคุณหาหุ้นที่มีโอกาสทำกำไรหรือขาดทุน 10% เท่ากันได้หลายๆ ตัว และหุ้นแต่ละตัวมีความสัมพันธ์ของราคาหรือ Correlation ต่ำ คุณสามารถลดการขาดทุนลงได้หลายเท่าตัวเลย
คำว่า Correlation ก็เข้าใจไม่ยากอย่างที่คิด ขอยกตัวอย่าง เช่น คุณซื้อหุ้นของ Unilever และ Johnson & Johnson ที่อยู่ในธุรกิจเดียวกัน โมเดลธุรกิจเหมือนกัน ราคาหุ้นทั้ง 2 ตัวจะวิ่งขึ้นลงพร้อมกันแน่ๆ แบบนี้เรียกว่า Correlation สูง ไม่เหมาะกับการกระจายความเสี่ยง
แต่ถ้าในพอร์ตคุณมีทั้งหุ้นค้าปลีก หุ้นธนาคาร หุ้นบริษัทน้ำมัน หุ้นโรงพยาบาล แบบนี้ความสัมพันธ์ของราคาหุ้นทั้ง 4 ตัวนี้จะต่ำลง เป็นการกระจายความเสี่ยงที่ดี
ในโลกอุดมคติ ถ้าคุณหาหุ้นที่ราคาไม่วิ่งขึ้นลงพร้อมๆ กันเลย (ค่า Correlation เป็น 0) ได้สัก 15-20 ตัว ความเสี่ยงที่คุณจะขาดทุนจะลดลงจาก 10% ในตอนแรกมาเหลือแค่ 2% กว่าๆ เท่านั้น โดยผลตอบแทนที่คาดหวังยังเป็น 10% เหมือนเดิม แบบนี้กำไรยั่งยืนกว่าเห็นๆ
ต้องลงทุนสินทรัพย์กี่อย่าง โอกาสขาดทุนถึงจะต่ำที่สุด
Ray Dalio เขียนไว้ชัดเจนในหนังสือ Principles ว่า ด้วยสินทรัพย์ 15-20 ตัวที่ค่าสหสัมพันธ์ (Correlation) ต่ำ คุณสามารถลดโอกาสขาดทุนลงได้อย่างมาก โดยผลตอบแทนที่คาดหวังยังอยู่เท่าเดิม
จะสังเกตว่าเขาใช้คำว่า ‘สินทรัพย์’ หรือ ‘Assets’ ซึ่งไม่ได้จำกัดแค่ ‘หุ้น’ แต่หมายความรวมถึงสินทรัพย์ที่ลงทุนได้อย่างอื่นด้วย ไม่ว่าจะเป็นทองคำ พันธบัตร หุ้น หรือแม้แต่สินค้าโภคภัณฑ์ เพราะสินทรัพย์คนละประเภทกัน ก็จะยิ่งมีความสัมพันธ์ของราคาหรือค่า Correlation ที่ต่ำ และยิ่งลดการขาดทุนให้พอร์ตโดยรวมได้ดีขึ้น
ถ้าลำพังจะลงทุนแค่หุ้นเพียงอย่างเดียว Ray Dalio บอกว่า ราคาหุ้นในตลาดหุ้นเดียวกันก็มักจะมีความสัมพันธ์กันหรือมีค่า Correlation ที่สูงถึง 60% ได้เลย
พูดง่ายๆ คือ ถ้าตลาดหุ้นตกแรงๆ ขึ้นมา หุ้นในตลาดหุ้นเดียวกันก็ตกพร้อมกันหมดอยู่ดี แต่หุ้นบางตัวอาจตกหนักหรือเบากว่าตัวอื่นแค่นั้น ซึ่งเป็นการกระจายความเสี่ยงที่ไม่เพียงพอในมุมมองของกองทุนเฮดจ์ฟันด์ ที่บริหารเงินลงทุนหลักแสนล้านดอลลาร์สหรัฐ
แต่สำหรับนักลงทุนมือสมัครเล่นอย่างเรา อาจไม่ต้องเช็คสถิติทุกครั้งว่าหุ้นแต่ละตัวมี Correlation สูง-ต่ำแค่ไหนแบบกองทุนขนาดใหญ่ก็ได้ แค่ขอให้สินทรัพย์ที่คุณถือมีความสัมพันธ์กันต่ำก็น่าจะเหมาะสมแล้ว
จากทฤษฎี…มาสู่ภาคปฏิบัติ
ในคลิปที่ Ray Dalio อธิบายเรื่อง ‘จอกศักดิ์สิทธิ์แห่งการลงทุน’ ของเขาบน YouTube เขาบอกชัดเจนว่า โอกาสขาดทุนจะเริ่มนิ่งเมื่อถือสินทรัพย์ประมาณ 6-8 ตัว และถ้าถือสินทรัพย์มากกว่านี้ โอกาสขาดทุนก็ลดลงไม่เยอะแล้ว
แต่มีข้อแม้ที่อยากย้ำอีกครั้งว่า ราคาของสินทรัพย์เหล่านั้น ไม่ควรเคลื่อนไหวไปในทางเดียวกันแบบ 1:1 อย่างน้อยถ้าราคาสินทรัพย์ชนิดหนึ่งขึ้น 10% สินทรัพย์อีกอย่างราคาขึ้นสัก 5% ก็ยังดี Correlation ไม่สูงไป
ซึ่งถ้าคุณถือสินทรัพย์ในจำนวนที่เยอะเกินไป คุณจะต้องใช้พลังงาน เวลา และทรัพยากรมากขึ้น ในการติดตามความเคลื่อนไหวของสินทรัพย์ทุกตัวในพอร์ต ซึ่งอาจไม่คุ้มค่ากับประโยชน์ที่ได้รับแล้ว
ดังนั้น หากคุณมีพอร์ตลงทุนของตัวเอง ก็ลองใช้หลักการของ Ray Dalio ดูก็ได้ โดยการถือสินทรัพย์ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกันตรงๆ สัก 6-8 ตัว ก็น่าจะลดผลขาดทุนได้พอสมควรแล้ว และไม่เหนื่อยกับการติดตามมากไป
การลงทุนโอกาสได้กำไรและขาดทุนได้ทั้งคู่ อยู่ที่ฝีมือในการเลือกสินทรัพย์และบริหารพอร์ตว่าจะเก่งและเก๋าแค่ไหน
ไม่ว่าจะลงทุนในสินทรัพย์ไหน การกระจายความเสี่ยงถือเป็นเรื่องพื้นฐานที่คุณควรทำความเข้าใจเป็นลำดับแรกๆ เพราะมันช่วยลดผลขาดทุนให้คุณได้อย่างมาก
อย่าลืมว่าเราลงทุนเพื่อให้เงินงอกเงย ถ้าคุณลงทุนแล้วติดดอย ขาดทุนค้างอยู่ในพอร์ตนานๆ คุณก็ยิ่งต้องทำผลตอบแทนเยอะขึ้นเพื่อมาชดเชยผลขาดทุนนั้น สุดท้ายกำไรก็ไม่ได้ แถมเสียเวลาชีวิตอีกด้วย
แต่หากอยากจะลงทุนแบบโฟกัส ลงทุนแบบ All-in เหมือนนักลงทุนที่เก่งๆ ได้ ต้องเข้าใจก่อนว่าคุณกำลังทำอะไรอยู่ ผลที่ตามมาจะออกหน้าไหนได้บ้าง
อยากจัดพอร์ตแบบนี้บ้าง…ต้องทำอย่างไร
คุณไม่ต้องเลือกสินทรัพย์ หรือคำนวณสัดส่วนที่เหมาะสมให้ปวดหัว เพราะ Global ETF ออกแบบสัดส่วนการลงทุนแบบ Asset Allocation แบ่งเงินไปลงทุนในทั้งหุ้นและพันธบัตรในสัดส่วนที่เหมาะสมให้แล้ว
พร้อมกับคอยปรับพอร์ตบาลานซ์สัดส่วนให้อัตโนมัติอีกด้วย ทำให้พอร์ต Global ETF สามารถค่อยๆ เติบโตได้อย่างมั่นคง พิสูจน์มาแล้วจากการผ่านวิกฤติมากมาย แต่ก็ยังสามารถกลับมาเติบโตได้หากสนใจลงทุนสามารถติดต่อเจ้าหน้าที่แนะนำการลงทุนของเราได้ที่ Line: @JittaWealth หรือ โทร 02-460-8888 ปรึกษาฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย