Skip to content - ข้ามไปที่เนื้อหา
blog

กองทุนรวมสำหรับมือใหม่ เลือกยังไงให้ตรงสไตล์และความเสี่ยง


All Category Jitta Wealth

ไฮไลต์

  • เข้าใจวิธีเลือกกองทุนรวมให้เหมาะกับสไตล์และระดับความเสี่ยงของตัวเอง
  • รู้จัก 5 ระดับความเสี่ยงของกองทุน ตั้งแต่ตลาดเงินจนถึงกองทุนเฉพาะทาง
  • เคล็ดลับเลือกกองทุนไม่พลาด เปรียบเทียบผลตอบแทน ความผันผวน และเป้าหมายให้สมดุล
  • ปิดท้ายด้วย Omni Fund ทางเลือกลงทุนทั่วโลกสำหรับมือใหม่จาก Jitta Wealth

อยากเริ่มลงทุนแต่ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนดี?

หลายคนอาจเคยได้ยินคำว่า กองทุนรวม ว่าเป็นทางเลือกที่เหมาะสำหรับมือใหม่ เพราะช่วยให้เงินทำงานแทนเรา โดยมีผู้เชี่ยวชาญคอยบริหารจัดการพอร์ตแทน แต่คำถามสำคัญคือ กองทุนรวมแบบไหน ‘เหมาะกับเรา’ ที่สุด?

เพราะแต่ละกองทุนมี ‘ระดับความเสี่ยง’ และ ‘โอกาสสร้างผลตอบแทน’ แตกต่างกันไป บางกองเน้นความปลอดภัย บางกองเน้นเติบโตระยะยาว และบางกองอาจผันผวนสูงแต่ให้โอกาสผลตอบแทนมากกว่า

บทความนี้จะพาคุณเข้าใจหลักการเลือกกองทุนรวมให้ตรงกับสไตล์และระดับความเสี่ยงของตัวเอง เพื่อให้ทุกบาทที่ลงทุน ทำงานได้อย่างมีเป้าหมาย และเติบโตได้ในแบบที่คุณสบายใจ

เข้าใจ ‘ระดับความเสี่ยง’ ก่อนลงทุน

ก่อนจะเลือกกองทุนรวมที่เหมาะสม สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจว่า ‘การลงทุนทุกประเภทมีความเสี่ยง’ และควรรู้ว่าตัวเองรับความผันผวนได้มากน้อยแค่ไหน เพราะความเสี่ยงคือสิ่งที่มากับโอกาส หากเข้าใจและบริหารได้อย่างเหมาะสม การลงทุนของคุณก็จะยั่งยืนและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

โดยทั่วไป กองทุนรวมสามารถแบ่งตามระดับความเสี่ยงได้ 5 ระดับ ตั้งแต่เสี่ยงต่ำสุดไปจนถึงสูงสุด ได้แก่

ระดับที่ 1 เสี่ยงต่ำมาก เช่น กองทุนรวมตลาดเงิน (Money Market Fund) ที่เหมาะกับผู้ที่ต้องการเก็บเงินระยะสั้นและเน้นความปลอดภัยสูง ผลตอบแทนอาจไม่มากแต่มีเสถียรภาพ

ระดับที่ 2 เสี่ยงต่ำ เช่น กองทุนรวมพันธบัตรรัฐบาล หรือกองทุนรวมตราสารหนี้ เหมาะกับนักลงทุนสายออมที่ต้องการผลตอบแทนมากกว่าเงินฝากเล็กน้อยโดยยังคงความปลอดภัยไว้

ระดับที่ 3 เสี่ยงปานกลาง เช่น กองทุนรวมผสม (Mixed Fund) ที่ลงทุนทั้งในหุ้นและตราสารหนี้ เหมาะกับผู้ที่ต้องการสมดุลระหว่างผลตอบแทนและความมั่นคงของเงินต้น

ระดับที่ 4 เสี่ยงสูง เช่น กองทุนรวมหุ้น โดยเฉพาะกองทุนรวมหุ้นต่างประเทศ ซึ่งมีความผันผวนมากกว่า แต่เหมาะกับผู้ที่ต้องการโอกาสสร้างผลตอบแทนสูงในระยะยาว

ระดับที่ 5 เสี่ยงสูงมาก เช่น กองทุนรวมเฉพาะทาง ไม่ว่าจะเป็นกองทุนรวมหุ้นเทคโนโลยี กองทุนรวมทองคำ หรือกองทุนรวมน้ำมัน ฯลฯ เหมาะกับนักลงทุนที่เข้าใจตลาดและสามารถรับความผันผวนได้สูง

สรุปง่ายๆ คือ ไม่มีการลงทุนใดที่ปลอดภัย 100% ยิ่งเสี่ยงสูง ยิ่งมีโอกาสได้ผลตอบแทนสูง แต่ก็ต้องยอมรับความผันผวนที่มาพร้อมกันเสมอ

การเข้าใจระดับความเสี่ยงของกองทุนรวมจึงเป็นขั้นตอนสำคัญที่จะช่วยให้คุณเลือกลงทุนได้เหมาะกับเป้าหมายทางการเงินและจริตการลงทุนของตัวเองมากที่สุด

วิธีเลือกกองทุนรวมให้ตรงสไตล์คุณ

ไม่มีสูตรตายตัวว่ากองทุนรวมแบบใดดีที่สุด สิ่งสำคัญคือ เลือกกองทุนรวมที่เหมาะกับสไตล์และเป้าหมายของตัวเอง ตัวอย่างเช่น

1. สายออมแบบสบายใจ

  • เป้าหมาย: เก็บเงินฉุกเฉิน หรือเก็บเงินใช้ในระยะ 1-2 ปี
  • เหมาะกับ: กองทุนรวมตลาดเงิน หรือกองทุนรวมพันธบัตร
  • จุดเด่น: ความเสี่ยงต่ำ ผลตอบแทนมากกว่าเงินฝาก

2. สายสมดุล เน้นโตแบบไม่หวือหวา

  • เป้าหมาย: ลงทุนระยะกลาง 3-5 ปี
  • เหมาะกับ: กองทุนรวมผสมที่มีทั้งหุ้นและตราสารหนี้
  • จุดเด่น: มีโอกาสเติบโตพร้อมรับมือความผันผวนได้ดี

3. สายลุย พร้อมโตระยะยาว

  • เป้าหมาย: วางแผนเกษียณ หรืออิสรภาพทางการเงิน
  • เหมาะกับ: กองทุนรวมหุ้น โดยเฉพาะกองทุนรวมหุ้นต่างประเทศ
  • จุดเด่น: โอกาสสร้างผลตอบแทนสูงในระยะยาว

ทิปเล็กๆ ก่อนเลือกกองทุน

  • ศึกษานโยบายการลงทุนให้ตรงกับเป้าหมาย
  • เปรียบเทียบผลตอบแทนย้อนหลังอย่างน้อย 3-5 ปี
  • ตรวจสอบค่าธรรมเนียมการจัดการซึ่งถูกหักทุกปี
  • พิจารณาประสบการณ์ของผู้จัดการกองทุน

อย่าดูแค่ผลตอบแทนย้อนหลัง

หนึ่งในความเข้าใจผิดที่พบบ่อยที่สุดของนักลงทุนมือใหม่ คือการเลือกกองทุนรวมจากผลตอบแทนในปีล่าสุดเพียงอย่างเดียว เพราะมักคิดว่า กองทุนรวมที่ทำกำไรได้ดีในปีที่ผ่านมา ต้องเป็นกองทุนรวมที่ดีในปีถัดไป

แต่ในความเป็นจริง ตลาดการเงินไม่ได้คงที่แบบนั้น ปีที่กองทุนรวมหนึ่งให้ผลตอบแทนโดดเด่น อาจเกิดจากปัจจัยเฉพาะช่วง เช่น ราคาสินทรัพย์บางประเภทปรับขึ้นแรง หรือเศรษฐกิจโลกเอื้อให้กลุ่มอุตสาหกรรมนั้นเติบโต แต่เมื่อสภาวะตลาดเปลี่ยน กองทุนรวมกองเดิมก็อาจจะไม่สามารถทำผลงานได้ดีเท่าเดิมอีกต่อไป

ดังนั้น การตัดสินใจลงทุนจากตัวเลขผลตอบแทนย้อนหลังเพียงปีเดียว อาจทำให้คุณพลาดมุมสำคัญของการประเมินกองทุน

สิ่งที่ควรพิจารณาร่วมด้วย ได้แก่

  • นโยบายการลงทุนของกองทุนรวม ว่ามุ่งลงทุนในสินทรัพย์ประเภทใด เช่น หุ้น ตราสารหนี้ ทองคำ หรืออสังหาริมทรัพย์ ฯลฯ
  • ความผันผวนของพอร์ต (Volatility) ว่าสูงหรือต่ำเพียงใด เพราะกองทุนที่ให้ผลตอบแทนสูง มักมาพร้อมความเสี่ยงที่มากกว่า
  • ความสอดคล้องกับเป้าหมายของผู้ลงทุน เช่น หากคุณต้องการเงินใช้หลังเกษียณในอีก 20 ปี กองทุนหุ้นระยะยาวอาจเหมาะกว่า แต่ถ้าต้องการเก็บเงินก้อนใน 2 ปีข้างหน้า กองทุนตราสารหนี้อาจตอบโจทย์มากกว่า เป็นต้น

พูดอีกอย่างคือ การเลือกกองทุนรวมที่ดี ไม่ได้อยู่ที่ผลตอบแทนสูงสุด แต่คือความเหมาะสมสูงสุดระหว่างผลตอบแทน ความเสี่ยง และเป้าหมายชีวิตของคุณ

เพราะสุดท้ายแล้ว การลงทุนที่ดีไม่จำเป็นต้องชนะคนอื่น แค่พาพอร์ตของคุณเติบโตอย่างมั่นคงและต่อเนื่อง ก็ถือว่าชนะได้ในระยะยาวแล้ว

Omni Fund ทางลัดสำหรับมือใหม่

เมื่อเข้าใจหลักการของกองทุนรวมแล้ว หลายคนอาจรู้สึกว่ายังไม่มั่นใจว่าจะเลือกกองทุนรวมไหนดี เพราะในตลาดมีกองทุนรวมให้เลือกมากมาย และแต่ละกองก็มีนโยบายต่างกัน

สำหรับผู้ที่อยากเริ่มต้นลงทุนโดยไม่ต้องวิเคราะห์หรือเลือกเองทุกขั้นตอน Omni Fund คือคำตอบที่ช่วยให้คุณเริ่มต้นได้อย่างมั่นใจ

Omni Fund คืออะไร

Omni Fund คือ ‘พอร์ตลงทุนทั่วโลกอัตโนมัติ’ ที่ใช้กองทุนรวมเป็นเครื่องมือในการกระจายความเสี่ยง ทั้งในหุ้นและตราสารหนี้ โดยระบบจะคัดเลือกกองทุนรวมที่เหมาะสม จากหลาย บลจ. ชั้นนำในไทย

จากนั้นจะจัดสัดส่วนการลงทุน (Asset Allocation) ให้เหมาะกับระดับความเสี่ยงของคุณ โดยมีแผนการลงทุนให้เลือก 3 แผน ได้แก่ แผนพอเพียง สมดุล และเติบโต

จุดเด่นของ Omni Fund

  • เริ่มต้นเพียง 1,000 บาท ก็สามารถสร้างพอร์ตได้
  • กระจายการลงทุนทั่วโลก ครอบคลุมทั้งกองทุนรวมหุ้น กองทุนรวมตราสารหนี้ และกองทุนรวมตลาดเงินทั่วไป
  • บริหารด้วยหลักการลงทุนแบบ VI + AI จัดพอร์ตในสัดส่วนที่เหมาะสมตามหลักการ Modern Portfolio Theory เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีในระดับความเสี่ยงที่รับได้
  • ปรับพอร์ตอัตโนมัติเมื่อสัดส่วนเปลี่ยน ไม่ต้องคอยติดตามตลาดทุกวัน

ไม่ว่าคุณจะมีเป้าหมายการลงทุนแบบไหน Omni Fund จะช่วยดูแลและกระจายความเสี่ยงให้ครบถ้วน หากสนใจสามารถติดต่อเจ้าหน้าที่แนะนำการลงทุนของเราได้ที่ Line: @JittaWealth หรือ โทร 02-460-8888 ปรึกษาฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย

สำหรับนักลงทุนที่สนใจศึกษาเกี่ยวกับกองทุนรวมเพิ่มเติม สามารถอ่านรายละเอียดได้ที่ คู่มือกองทุนรวมสำหรับมือใหม่ 2025 สรุปครบ เริ่มลงทุนได้เลย