CEO ของ Jitta Wealth เผยเส้นทางล้มลุก บทเรียนสำคัญในการลงทุน
Exclusive Q&A with CEO ของ Jitta Wealth ประจำเดือนเมษายน 2566 กลับมาอีกครั้งกับ Live สดของคุณเผ่า ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ หลังจากห่างหายกันไปนาน เรากลับมาอีกครั้งพร้อมบรรยากาศการเฉลิมฉลองสุดพิเศษ Jitta ครบรอบ 11 ปี โอกาสนี้เราได้เชิญนักลงทุนครอบครัว Jitta Wealth เข้ามาเยี่ยมชมบ้านของพวกเราและนั่งชม Live กันแบบสดๆ ไปกับเราด้วย
หากคุณสนใจอยากเข้าเป็นส่วนหนึ่งของ Live ของเราในโอกาสต่อไป เข้ามาเป็นส่วนนึงในกลุ่ม Jitta Wealth Official ของเราได้ นอกจากกิจกรรมเยี่ยมบ้าน Jitta ยังมีกิจกรรมสนุกๆ สุด Exclusive รอคุณอยู่อีกมากมาย มาสร้าง Community นักลงทุนที่แข็งแกร่งไปกับเรา กดเข้าร่วมกลุ่มได้ที่นี่
หากคุณพลาดชม Live สด คุณสามารถชมวีดีโอย้อนหลังได้ที่ Facebook และ Youtube
ดูวีดีโอ CEO ของ Jitta Wealth ย้อนหลัง
11 ปี Jitta เดินหน้าสร้างสุขภาพการเงินที่ดีเพื่อทุกคน
ย้อนกลับไปเมื่อ 11 ปีที่แล้ว คำว่า ‘สตาร์ตอัป’ อาจจะยังไม่เป็นที่รู้จักหรือคุ้นหูสำหรับคนไทยด้วยซ้ำ ซึ่งในตอนนั้นเราต้องการส่งต่อเทคโนโลยีบางอย่างที่จะทำสุขภาพการเงินของทุกคนดีขึ้นโดยเริ่มโฟกัสที่การลงทุน ซึ่งเป็นสิ่งที่หลายคนมองว่ายาก นั้นคือจุดเริ่มต้นของ Jitta
พันธกิจของ Jitta คือการพยายามทำให้เรื่องลงทุนง่ายขึ้นสำหรับทุกคนโดยใช้เทคโนโลยีวิเคราะห์หุ้นผ่านแพลตฟอร์มที่เข้าใจง่าย และสะดวกสบาย
ถ้าเรามองย้อนกลับไป 11 ปีที่ผ่านมาเราผ่านการเรียนรู้และได้รับประสบการณ์ที่ล้ำค่ามากมาย ได้เจอนักลงทุนที่หลากหลายและมอบความรู้ให้กับเรา จน Jitta เองก็เติบโตและพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ทุกๆ วัน
Business Model ที่ Jitta ยึดมั่นคือ การสร้างประโยชน์และความสุขให้กับผู้ใช้งานหรือนักลงทุน
ต่อมาได้ก่อตั้งบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน จิตตะ เวลธ์ จำกัด (Jitta Wealth) บริหารกองทุนส่วนบุคคล ค่าธรรมเนียมต่ำ เพื่อมอบประโยชน์สูงสุดให้กับนักลงทุน คุณจะเห็นได้ว่า Jitta Wealth พยายามลดเงินลงทุนขั้นต่ำของการเริ่มต้นการลงทุน เพราะเราต้องการให้ทุกคนสามารถลงทุนได้และสามารถส่งต่อพอร์ตลงทุนไปสู่รุ่นลูกของคุณได้
ทั้งหมดนี้คือความตั้งใจที่ทีมงาน Jitta ต้องการมอบให้กับนักลงทุนทุกคน ด้วยพันธกิจหลักคือ ‘To help investors create better returns through simple methods.’
Jitta อยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้เพราะระหว่างทางเราได้พบกับนักลงทุนที่เข้าใจหลักการที่เราสื่อสารออกไป จนทำให้เรามีเพื่อนร่วมทางที่เชื่อใจและแข็งแกร่ง ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณทุกคนที่ร่วมเดินทางกับ Jitta มาจนถึงวันนี้และเราสัญญาว่าจะพัฒนาต่อไปเพื่อมอบประโยชน์สูงสุดให้ทุกคนและส่งต่อสิ่งเหล่านี้ในรุ่นต่อๆ ไป
สิ่งสำคัญสร้างองค์กรให้ยั่งยืนระยะยาว
สิ่งสำคัญของการสร้างธุรกิจคือ ต้องเข้าใจว่าธุรกิจหรือองค์กรของเราสามารถแก้ปัญหาของใครได้บ้าง หากคุณตอบได้ว่า ธุรกิจนี้จะทำให้ชีวิตของทุกคนดีขึ้น องค์กรของคุณก็จะยั่งยืนได้แน่นอน
ปัญหาที่ Jitta โฟกัสคือปัญหาที่เป็นพื้นฐาน เป็นปัญหาสำหรับทุกคนและไม่ใช่ปัญหาที่เกิดขึ้นแค่เพียงชั่วครั้งชั่วคราว ปัญหานั้นคือ การลงทุน ปัญหาที่ทุกคนรู้ว่าไม่ว่าเวลาจะผ่านไปอีกนานแค่ไหน ปัญหาเกี่ยวกับการลงทุนก็จะยังเกิดขึ้นอยู่เสมอ
Jitta พยายามทำผลิตภัณฑ์และบริการที่ดีที่สุดเพื่อลูกค้า เมื่อเรามีจุดยืนที่ชัดเจนองค์กรก็จะแข็งแกร่งและยั่งยืน ที่สำคัญสิ่งเหล่านี้ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ด้วยผู้บริหารเพียงคนเดียว
การสร้างทีมงานจึงเป็นอีกเรื่องที่สำคัญ ทีมงานทุกคนต้องทำความเข้าใจปัญหาที่องค์กรพยายามจะแก้ไขและมีเป้าหมายร่วมกัน สำหรับ Jitta คือ การสร้างแบบแผนและผลิตภัณฑ์ทางการลงทุนที่ทุกคนเข้าใจง่าย และเข้าถึงได้ และเราเปิดใจรับความคิดเห็นของผู้ใช้งานทุกคนด้วย
เส้นทางในอนาคตของ Jitta
ในอนาคต Jitta จะมุ่งมั่นสร้างสุขภาพทางการเงินของทุกคนให้ดีขึ้น ด้วยการให้ความรู้ และสร้างความเข้าใจเรื่องการเงิน ไม่เฉพาะเรื่องการลงทุนเท่านั้นแต่เราโฟกัสที่ ‘การเงินทั้งหมด’ แบบครบวงจรจริงๆ
สำหรับคู่แข่งตัวจริงของ Jitta ก็คือโลกทุนนิยมที่พยายามโน้มน้าวให้ผู้คนใช้เงินเยอะๆ Jitta พยายามทำให้เกิดสมดุลในด้านการเงินสำหรับทุกคน และอำนวยความสะดวกให้ทุกคนสามารถทำได้โดยอัตโนมัติและ ไม่มองว่าเรื่องการเงินเป็นเรื่องยากอีกต่อไป
เป้าหมายของคนที่ Jitta ต้องการจะช่วย คือทุกคนโดยอาจจะโฟกัสไปที่เด็กที่เพิ่งเรียนจบหรือเริ่มทำงานใหม่ๆ หากคุณเข้าใจหลักการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับลูกแก้ว 3 ประการ ที่ประกอบไปด้วย เงินต้น ผลตอบแทนทบต้น และเวลา และเริ่มต้นตั้งแต่เงินก้อนแรกๆ ที่คุณหามาได้ เงินลงทุนของคุณเติบโตได้ยั่งยืน และถ้าทุกคนเข้าใจเรื่องนี้ด้วย สุขภาพการเงินของทุกคนก็จะดีขึ้นอย่างชัดเจน
ในต่างประเทศเอง ก็เริ่มมีหลักสูตรเรื่องการเงินบ้างแล้ว แต่ในประเทศไทยยังไม่ค่อยมีการให้ความรู้ในส่วนนี้สักเท่าไรนัก ทำให้หลายคนเสียโอกาสทางการเงินและการลงทุนไปอย่างน่าเสียดาย เพราะฉะนั้น Jitta ต้องการมาอุดรอยรั่วในส่วนนี้เพื่อสุขภาพทางการเงินที่ดีสำหรับทุกคน
Jitta ต้องการขยายขอบเขตด้านการเงินและการลงทุนให้มากขึ้นและทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ในที่สุด จะเห็นได้ว่า Jitta Wealth พยายามลดขั้นต่ำลงเรื่อยๆ เพื่อให้ทุกคนเข้าถึงการลงทุนได้จริงๆ เช่นเงินลงทุนขั้นต่ำจาก 100,000 ในนโยบาย ‘Global ETF’ และ ‘Thematic ETF’ ลดลงเหลือ 50,000 ในปัจจุบัน
รวมไปถึง Jitta Ranking ที่จากเดิมเงินลงทุนขั้นต่ำอยู่ที่ 3,000,000 เป็น 1,000,000 จนเหลือ 500,000 ในที่สุด จะเห็นได้ว่าเมื่อเงินลงทุนขั้นต่ำลดลงไปเรื่อยๆ จะทำให้ทุกคนเข้าลงทุนในแนวทางที่ถูกต้องได้ และแน่นอนว่า Jitta จะไม่หยุดเท่านี้เพื่อให้ทุกคนเข้าถึงการลงทุนในหลักการที่ถูกต้องได้จริงๆ
ถึงแม้ว่าการลดขั้นต่ำจะทำให้ Jitta Wealth ได้ค่าธรรมเนียมที่น้อยลงแต่อย่างที่คุณรู้ว่า เป้าหมายหลักของเราไม่ใช่ค่าธรรมเนียมที่มหาศาล แต่เพื่อให้ทุกคนเข้าถึงการลงทุนต่างประเทศที่ง่ายดายในหลักการที่ถูกต้อง นี่คือเส้นทางในอนาคตที่ Jitta ต้องการจะเดินไปให้ถึง
ทำไมต้องเป็นบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน?
ธุรกิจแบบไหนที่เหมาะกับเรา เป็นคำถามตั้งต้นของเรา
ซึ่งคำตอบที่เราได้คือ การทำธุรกิจด้านการลงทุน หรือ Wealth Asset Management เพราะเราเชื่อว่า เราจะสามารถสร้างประโยชน์ให้คนอื่นได้ และเราได้พิสูจน์ตัวเองด้วยว่าสิ่งที่ทำมาทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นอัลกอริทึมต่างๆนั้นสามารถใช้ได้จริง และหากเราสร้างการลงทุนในแบบใหม่หรือการลงทุนที่คิดค่าธรรมเนียมที่ต่ำได้ ก็จะสามารถเปลี่ยนอุตสาหกรรมการลงทุนในไทยให้ดีขึ้นได้
ตัวอย่างในต่างประเทศเช่น Vanguard ซึ่งเป็น Index Funds ที่มีค่าธรรมเนียมที่ต่ำมาก และปรับลดลงทุกปี ส่งผลให้ในภาพรวมของค่าธรรมเนียมกองทุนในสหรัฐฯ ปรับตัวลดลงไปด้วย ก่อให้เกิดประโยชน์ในวงกว้างต่อภาคการลงทุนในสหรัฐฯ
โดย John C. Bogle ผู้ก่อตั้ง Vanguard Group ได้รับการยกย่องว่าเป็นปูชนียบุคคล ที่ช่วยให้นักลงทุนสหรัฐฯ ได้รับประโยชน์อย่างมาก เป็นผู้ที่ทำให้ Index Funds หรือ Passive Funds เกิดขึ้นได้จริง และมีค่าธรรมเนียมที่ต่ำเป็นประวัติการณ์เมื่อเทียบกับกองทุนในสมัยนั้น ซึ่งนี่จะเป็นสิ่งที่ Jitta ใช้เป็นแบบอย่างในการพัฒนาธุรกิจต่อไปในอนาคต
Jitta.com Go Inter
จริงๆ แล้วในปัจจุบัน Jitta.com เองก็มีผู้ใช้งานที่เป็นชาวต่างชาติ และในอดีตเราก็เคยมีการขยายตัวแอปพลิเคชัน Jitta ไปยังต่างประเทศ แต่ตอนนั้นเรายังไม่มีทรัพยากรณ์ที่เพียงพอ ถ้าในอนาคตเราอยู่ในจุดที่พร้อมมากขึ้น การนำเทคโนโลยีการวิเคราะห์หุ้น หรือ แอปพลิเคชัน Jitta ออกไปเผยแพร่สู่สายตาชาวโลกมากขึ้น นับเป็นอีกหนึ่งความท้าทาย ที่เราจะไปเป็นจุดเริ่มต้นที่จะทำให้ต่างชาติได้รู้จักกับธุรกิจทางการเงินของไทยมากขึ้น
ฉลอง 11 ปี Jitta มอบของขวัญให้ครอบครัวนักลงทุน Jitta Wealth
สำหรับคนที่สนับสนุนเรามาโดยตลอด Jitta Wealth มีของขวัญมามอบให้ทุกคนในโอกาสครบรอบ 11 ปีนี้ แคมเปญพิเศษนี้ สำหรับครอบครัวนักลงทุน Jitta Wealth เท่านั้น เพียงคุณเป็นลูกค้าปัจจุบันของ Jitta Wealth และเพิ่มทุนหรือเพิ่มพอร์ต ภายในวันที่ 30 มี.ค. – 30 เม.ย. 66 นี้ เราขอมอบหนังสือเล่มพิเศษที่ไม่สามารถหาซื้อที่ไหนได้ เป็นหนังสือ Made to Order เพื่อนักลงทุนสาย Passive โดยเฉพาะ หน้าปกหนังสือจะถูกออกแบบมาเป็นพิเศษและจะเปิดให้สมาชิกทุกคนในกลุ่ม Jitta Wealth Official เป็นส่วนหนึ่งในการเลือกหน้าปกกันด้วยตัวเอง สำหรับใครที่ยังไม่ได้เข้าร่วมกลุ่ม สามารถเข้ามาร่วมและมาเป็นส่วนหนึ่งในการคัดเลือกหน้าปกกับทางเราได้เลย
แต่ถ้าใครที่ยังไม่มีแผนที่จะเพิ่มทุนในช่วงนี้ เราก็ยังมีกิจกรรมพิเศษอื่นๆที่ทางเราเตรียมไว้ให้ สามารถเข้ามาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว Jitta Wealth ได้ คุณสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับแคมเปญนี้ได้ที่นี่
ช่วงถาม-ตอบ
ลงทุนอย่างไรในสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนในปัจจุบัน?
ความไม่แน่นอนกับตลาดหุ้นเป็นของคู่กัน เราสามารถเรียนรู้ได้จากภาพรวม และทำความเข้าใจกับวัฏจักรของตลาดหุ้น เงินเฟ้อหรือกลไกตลาดเป็นอย่างไร แต่สิ่งสำคัญที่ทำให้เราตัดสินใจลงทุนคือตัวบริษัท หรือหุ้นตัวนั้นมากกว่า
มองย้อนกลับไปปีที่แล้ว สถานการณ์เงินเฟ้อหรือสงครามจะกระทบตลาดในวงกว้าง Fed ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ส่งผลต่อกลไกตลาด ราคาหุ้นปรับตัวลดลง แต่เมื่อราคาหุ้นปรับตัวลดลงมาถึงจุดหนึ่ง ข่าวร้ายที่มากระทบก็ไม่สามารถกดดันราคาให้ลงไปได้มากกว่านั้นได้อีก เช่นปีนี้ที่มีข่าวสถานการณ์ของภาคธนาคาร แต่ดัชนีตลาดหุ้นตั้งแต่ต้นปีมามีการปรับตัวเพิ่มขึ้น ธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจริงๆ จะมีแค่ภาคธนาคาร ภาคธุรกิจอื่นกลับไม่ได้รับผลกระทบมากนัก
ทำให้จริงๆ แล้วช่วงเวลานี้ก็เป็นโอกาสที่ดีที่จะเข้าไปลงทุนหรือเริ่มกลับเข้าไปในตลาด แม้ว่าจะไม่สามารถบอกได้ว่าปัจจุบันคือจุดต่ำสุดหรือไม่ แต่ก็สามารถตั้งข้อสังเกตได้ว่า ข่าวร้ายต่างๆ ที่เกิดขึ้นกลับไม่สามารถกดดันราคาหุ้นได้มากนัก ไม่นานราคาหุ้นก็จะปรับตัวขึ้นมาอีกครั้ง
ใน ปัจจุบัน การประเมินมูลค่าของหุ้นนั้นน่าสนใจมาก โดยเฉพาะหุ้นสหรัฐฯ จีน หรือ ญี่ปุ่น จะมีหุ้นที่มีการเติบโตที่ดี และราคาไม่แพง ซึ่งในช่วงปีที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นปีที่มีสถานการณ์ Covid-19 หรือปีที่ตลาดต้องรับมือกับการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนั้น ก็ยังคงมีบริษัทที่มีการเติบโตของรายได้ที่ดี และมีกำไรแม้จะผ่านช่วงวิกฤตมา และปัจจุบันก็ยังคงเติบโตและโตมากกว่าในช่วง Covid-19 แต่ราคากลับต่ำลงเมื่อเทียบกับมูลค่าของหุ้นนั้นๆ ที่เพิ่มขึ้น
ฉะนั้นหากมองที่กลไกภาพรวมของตลาดหุ้น ชัดเจนว่าราคาหุ้นมีขึ้นก็มีลง และเมื่อหุ้นตกลงมาถึงจุดหนึ่งก็จะมีการปรับตัวขึ้นไป เป็นกลไกตลาดที่ไม่สามารถควบคุมได้
หากไม่มั่นใจในข้อมูลหรือการวิเคราะห์ด้วยตัวเองก็สามารถเลือกลงทุนในกองทุนต่างๆได้ แต่ถ้ามั่นใจในข้อมูลแต่ไม่แน่ใจในช่วงเวลาก็เลือกทยอยลงทุน เพื่อเป็นการถัวเฉลี่ยต้นทุน หรือใครที่มั่นใจในข้อมูลและช่วงเวลาแล้ว ก็สามารถลงทุนในราคาหุ้นที่คุณพึงพอใจสูงสุดได้เช่นกัน อย่างไรก็ตามอยากให้พิจารณาถึงผลตอบแทนที่คาดหวังและความเสี่ยงที่รับได้ คุณสามารถลงทุนอยู่บนความเสี่ยงในระดับหนึ่งที่จะไม่ปิดโอกาสในการทำกำไรเมื่อราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น
เดิมทีการหาหุ้นที่ดีในช่วงตลาดขาลงนั้นทำได้ค่อนข้างยาก แต่ปัจจุบันมีหุ้นหลายตัวที่ราคาตกลงมาแต่ผลประกอบการยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ซึ่งสามารถเข้าไปที่แอปพลิเคชัน Jitta และไปที่เมนู Jitta Ranking จากนั้นเลือกดูหุ้นที่ Jitta Score สูงๆ จะเห็นได้ว่ามีหุ้นหลายตัวที่ ราคายังคงต่ำกว่ามูลค่าที่หุ้นตัวนั้นควรจะเป็น ซึ่งสามารถเข้าไปศึกษาหุ้นที่น่าสนใจได้ฟรี สามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชันได้ที่นี่
รับมือกับวิกฤตในสหรัฐฯ อย่างไรดี?
Jitta Wealth ถูกออกแบบมาให้พร้อมรับกับทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นการลงทุนจะต้องสามารถดำเนินต่อไปได้ เราจะไม่ได้บอกแค่ว่าเรามีการเลือกหุ้นอย่างไร แต่จะย้ำเสมอว่าเรามีการกระจายความเสี่ยงอย่างไร ซึ่งในส่วนของหุ้นสหรัฐฯ เอง ข่าววิกฤตภาคธนาคาร หุ้นธนาคารหลายๆ หุ้นราคาตกลงมา แต่ภาคธุรกิจอื่นๆ กลับมีราคาที่เพิ่มขึ้น เช่น กลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ หรือกลุ่มธุรกิจการสร้างบ้าน ที่ได้รับอนิสงค์อย่างมากเมื่อมีการ Work from Anywhere และประชาชนย้ายที่อยู่ไปยังเขตชานเมืองมากขึ้น รวมถึงกลุ่มบริษัทค้าปลีกและการท่องเที่ยว หลายๆ บริษัทที่มีผลประกอบการดีขึ้นมาก และราคาหุ้นยังไม่แพง ฉะนั้นในมุมของ Jitta Wealth เองไม่ว่าจะเป็นนโยบาย Jitta Ranking Global ETF หรือ Thematic ETF ได้มีการกระจายความเสี่ยงที่ดีในระดับหนึ่งแล้ว สำหรับใครที่ไม่ได้ลงทุนด้วยตัวเอง อาจจะเป็นการลงทุนในกองทุนต่างๆ หรือลงทุนใน Jitta Wealth เองก็ตาม สิ่งที่ควรทำในสภาวะนี้ก็คือการมีวินัย การ DCA หรือการเพิ่มทุนอย่างสม่ำเสมอ เป็นสิ่งที่ควรทำในทุกสภาวะตลาด ทั้งขาขึ้นและขาลงเพื่อที่เราจะได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่
สิ่งสำคัญของการลงทุนนั้นก็คือทัศนคติที่ดี ตลาดหุ้นในช่วงระยะเวลา 10 ปี จะเป็นขาขึ้น 7 ปี และเป็นขาลง 3ปี การที่หุ้นจะเป็นขาลงติดกัน 3ปีนั้นเกิดขึ้นได้ยาก จะเห็นได้ว่าในปีนี้ หากเรามีการกระจายการลงทุนที่ดีพอ โอกาสที่หุ้นจะตกพร้อมกันทุกประเทศอย่างในปีที่ผ่านมานั้นเกิดขึ้นได้น้อยมาก ดังนั้นหากเรามีทัศนคติที่ดีและมีการกระจายความเสี่ยงที่ดีพอ ก็จะทำให้เราสามารถฉกฉวยโอกาสในช่วงตลาดผันผวนได้ด้วย
การเลือกหุ้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการลงทุน สิ่งที่สำคัญคือจะต้องเข้าใจตลาด ว่าตลาดมีขึ้นมีลง สถิติเป็นอย่างไรหลักการลงทุนเป็นอย่างไร และควรจัดพอร์ตและการกระจายความเสี่ยงอย่างไร
นักลงทุนที่ไม่ประสบความสำเร็จส่วนหนึ่ง มักมองเฉพาะมุมของโอกาสและผลตอบแทน แต่ไม่ได้มองในมุมของความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น เมื่อเผชิญกับความผันผวนของตลาดทำให้ไม่สามารถยอมรับการขาดทุนได้และออกจากตลาดไป ฉะนั้นการมีทัศนคติและวินัยการลงทุนที่ดีนั้นจะทำให้สามารถแสวงหาโอกาสที่จะเติบโตในทุกช่วงสภาวะตลาดได้
แผนการลงทุน Global ETF ดีกว่าลงทุนในกองทุนรวมดัชนียังไง?
Global ETF เป็นการลงทุนทั้งในหุ้นและตราสารหนี้ เป็นการกระจายความเสี่ยงของพอร์ต ให้พอร์ตมีสินทรัพย์ที่มีความหลากหลายมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น หากหุ้นปรับลงพอร์ตก็ยังจะมีส่วนของตราสารหนี้หรือพันธบัตรที่คอยช่วยลดความผันผวนได้
หลายคนอาจจะไม่เคยรู้มาก่อนว่า หลักการนี้ได้ถูกหยิบมาใช้โดย Warren Buffett เช่นกัน ในพินัยกรรมของ Warren Buffet ระบุไว้ว่า ‘หากตัวเขาไม่ได้ดูแล Berkshire อีกต่อไป ให้นำเงินทั้งหมดที่ได้จากการลงทุน ไปลงทุนในกองทุนรวมดัชนี 90% ส่วนที่เหลืออีก 10% นั้นให้ลงทุนในพันธบัตร’
แต่แน่นอนว่าแผนการลงทุนของนักลงทุนแต่ละคนจะมีความแตกต่างกันไป หากคนที่สามารถรับความเสี่ยงได้สูงและมั่นใจในการเติบโตของหุ้นก็ลงทุนในกองทุนรวมดัชนีอย่างเดียวได้เช่นกัน
Jitta Wealth มีโอกาสจะเปิดกองทุนพันธบัตรล้วน หรือลงทุนแบบปันผลไหม?
Jitta Wealth มีนโยบาย Thematic ETF อยู่แล้ว หากจะเพิ่มธีมตราสารหนี้ให้นักลงทุนเลือกก็สามารถทำได้ แต่เรามองว่าหากต้องการลงทุนในตราสารหนี้ แนะนำให้ลงทุนใน Global ETF แผนพอเพียงจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
เนื่องจาก Global ETF จะถูกออกแบบมาให้ปรับสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์อย่างเหมาะสมแล้ว ยังกระจายความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพด้วย และการลงทุนในตราสารหนี้อย่างเดียวนั้น หากเป็นนักลงทุนในประเทศก็จะสามารถลงทุนได้เพียงตราสารหนี้ในไทย ทำให้มีความเสี่ยงของการกระจุกการลงทุนในประเทศใดประเทศนึง
สำหรับนโยบายที่ Jitta Wealth กำลังศึกษาเพิ่มเติมอย่างละเอียด คือ Jitta Ranking หุ้นปันผล ที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนน้อยกว่าการลงทุนตาม Jitta Ranking ในแบบรายประเทศและรายอุตสาหกรรม
เราอยากให้นักลงทุนมั่นใจว่า เราจะพยายามพัฒนาออกแบบนโยบายลงทุนที่ดีที่สุดเสมอให้กับนักลงทุน หากนโยบายใหม่ๆ ที่มีโอกาสจะถูกปล่อยในอนาคต มีความลงตัวสมดุลและเป็นแผนลงทุนที่ดีที่สุดจริงๆ เราถึงจะปล่อยออกมาให้เป็นตัวเลือกให้กับนักลงทุน
Jitta มีแผนออกอะไรใหม่ๆ นอกจากผลิตภัณฑ์ทางการเงินไหม?
อย่างที่ได้เล่าไปในการเดินทางของ Jitta เราพยายามสร้างผลิตภัณฑ์ที่ดีให้ทุกคนมีชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าไม่ได้จำกัดเพียงแค่ในเรื่องการเงินเท่านั้น อาจจะรวมไปถึงเรื่องสุขภาพก็ได้ในอนาคต
เรามีเป้าหมายจะสร้างความมั่งคั่งโดยใช้ความพยายามน้อยที่สุด และจัดการข้อมูลทุกอย่างให้ทุกคนเข้าถึงได้เหมือนอย่าง Google โดยสิ่งที่ Jitta โฟกัสคือจะทำยังไงให้ทุกคนมีสุขภาพทางการเงินที่ดี ซึ่งนั่นจะทำให้ชีวิตของทุกคนดีขึ้นได้อย่างแน่นอน
Jitta Wealth มีแผนจะทำ Fractional Shares ไหม?
Jitta Wealth มีแผนที่ชัดเจนในอนาคตว่าจะใช้ระบบซื้อเศษหุ้น (Fractional Shares) อย่างแน่นอน เพราะการซื้อเศษหุ้นได้จะมีประโยชน์อย่างมากสำหรับนักลงทุน ทำให้ซื้อหุ้นทุกบริษัทได้ตามที่ต้องการ แม้ว่าหุ้นดังกล่าวจะมีราคาที่สูงมาก
นอกจากนี้ประโยชน์ของการซื้อหุ้นแบบ Fractional Shares ได้นั้นจะทำให้ Jitta Wealth ลดเงินต้นในการลงทุนลงอย่างมาก ทำให้นักลงทุนทุกคนสามารถเข้าถึงการลงทุนกับ Jitta Wealth ได้ด้วย
ในมุมมองการบริหารองค์กร Jitta คิดว่าสตาร์ตอัปจะขาดทุนได้นานแค่ไหน?
การเป็นสตาร์ตอัปมี 3 ระดับประกอบไปด้วย
- การสร้างไอเดียที่สามารถแก้ปัญหาของคน (Problem Solution Fit)
- การสร้างผลิตภัณฑ์ขึ้นมาว่าอยู่ในตลาดได้ไหม (Product Market Fit)
- การวัดว่าสินค้าหรือบริการที่สร้าง มีผู้คนใช้จริงกี่คน และสร้างรายได้ให้กับบริษัทได้ไหม (Business Market Fit)
ถ้าพ้นจากสามระดับนี้ได้ก็จะเข้าสู่การเติบโต (Growth Stage) ของบริษัท บริษัทสามารถขาดทุนในช่วงปีแรกๆ ก่อนที่จะเติบโต แต่ก็สามารถสร้างกำไรได้ตั้งแต่ปีแรกๆ ด้วยเช่นกัน
แม้ว่าจะขาดทุน สตาร์ตอัปยังสามารถตัดงบส่วนที่ไม่ใช่ Core Business ออก และยังอยู่ต่อได้ นั่นคือสาเหตุว่าทำไมการสร้าง Business Model ที่ชัดเจนและเห็นภาพรวมมีความสำคัญกับธุรกิจเป็นอย่างมาก
เป็นไปได้ไหมที่ Jitta Wealth จะล้มละลาย?
ทุกบริษัทสามารถล้มละลายได้รวมไปถึง Jitta Wealth ด้วยเช่นกัน แต่ Jitta Wealth เองมีความ Conservative สูงมากในด้านการบริหาร เพราะเรารู้ว่าหากเราจะอยู่ไปอีกหลายปี ต้องมีกระแสเงินสดที่สามารถดูแลได้ เราจึงพยายามสร้างการจำลองเหตุการณ์ทุกอย่างเพื่อให้ไม่เกิดอะไรแบบนั้นขึ้น
ในเชิงธุรกิจทาง Jitta Wealth มีภาพรวมที่แข็งแกร่ง มีกระแสเงินสดที่สามารถสร้างรายได้เข้ามาตลอด จากค่าธรรมเนียมการบริหารจัดการ รวมไปถึง Jitta Wealth ไม่มีนักลงทุนที่มีพอร์ตใหญ่กว่า 1% ในสินทรัพย์การจัดการทั้งหมด หากเทียบนักลงทุนท่านอื่น การที่นักลงทุนจะแห่ถอนแบบสถานการณ์ Bank Run ในสหรัฐฯ จนล้มละลายเป็นไปได้ยาก
ถึงแม้ว่า Jitta Wealth จะล้มละลายไป นักลงทุนทุกท่านที่ลงทุนกับ Jitta Wealth ก็ยังสามารถติดตามสินทรัพย์กลับมาได้ เพราะว่าสินทรัพย์ของนักลงทุนจะไม่ได้อยู่กับ Jitta Wealth แต่จะอยู่กับผู้ดูแลรับฝากสินทรัพย์โดยตรง ทำให้นักลงทุนสบายใจได้ว่าเงินลงทุนจะไม่หายไปไหนอย่างแน่นอน
และหากเกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นจริง หากบริษัทไม่สามารถดำเนินการจัดการบริหารต่อไปได้มักจะมีนักลงทุนกลุ่มหรือบริษัทอื่นๆ ที่เข้ามาซื้อกิจการของทาง Jitta Wealth ต่อไปเหมือนกับเหตุการณ์ Silicon Valley Bank ที่สหรัฐฯ เพราะคนที่มาดำเนินการบริหารกิจการต่อก็จะได้มูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การจัดการทั้งหมดไปบริหาร
แต่โดยภาพรวมแล้วการที่ Jitta Wealth จะล้มไปและหายไปเลยเป็นไปได้ยากมากๆ
พอร์ตติดลบ 50% ถ้าจะคืนทุนต้องทำให้ได้ 100% จะมันเป็นไปได้ไหม?
เป็นไปได้ นักลงทุนหลายท่านที่มีประสบการณ์การลงทุนในตลาดเป็นระยะเวลานาน ผ่านช่วงเวลาที่ตลาดมีความผันผวนมาหลายเหตุการณ์ แต่พอร์ตก็ยังสามารถกลับมาเติบโตและกำไรได้เสมอด้วยหลักการลงทุนที่ถูกต้อง
บางครั้งอาจจะใช้เวลาที่ค่อนข้างนาน ตัวอย่างเช่นพอร์ตลงทุนที่ปรับตัวลงถึง -70% เมื่อเวลาผ่านไป 15 ปี สุดท้ายสามารถกลับมาทำกำไรได้ จากประวัติศาสตร์ลงทุนที่ผ่านมา
แต่หากพอร์ตลงทุนดังกล่าวใช้กลยุทธ์ Dollar-Cost Averaging (DCA) ก็จะเป็นส่วนเสริมที่ทำให้พอร์ตกลับมาเติบโตและทำกำไรได้เร็วขึ้นจากการเฉลี่ยต้นทุน การมีวินัยที่ชัดเจนและสม่ำเสมอจะทำให้การลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงราบรื่นขึ้นได้อย่างแน่นอน
Thematic Optimize ขายออกทุก 3 เดือน แบบนี้การ DCA จะยังดีอยู่ไหม?
มาทำความเข้าใจกับภาพใหญ่ ของการ DCA ใน Thematic Optimize ก่อนว่า การ DCA ใน Thematic Optimize ไม่ใช่การ DCA ถัวเฉลี่ยในธีมใดธีมนึงเพิ่ม ทาง Jitta Wealth ตั้งให้ปรับพอร์ตในทุกสามเดือนนั้น เพราะเรามองว่าหากมีโอกาสลงทุนที่ดีกว่า ก็ควรให้ระบบเลือกธีมลงทุนที่ดีที่สุดให้ลูกค้าเสมอ
เราอยากให้เทียบการ DCA ใน Thematic Optimize เหมือนกับการ DCA ใน SET50 เพราะมีส่วนที่คล้ายกัน SET50 ก็มีการเปลี่ยนแปลงหุ้นเข้าออกอยู่ตลอดเวลาตามมูลค่ามาร์เก็ตแคปของหุ้นในแต่ละบริษัท
เราอยากให้นักลงทุนเชื่อมั่นว่า Jitta Wealth จะตรวจสอบผลตอบแทนของธีมต่างๆ และทดสอบ Back Test อยู่เสมอเพื่อให้ผลลัพธ์การลงทุนระยะยาวออกมาดีที่สุด ซึ่งทุกนโยบายลงทุนของ Jitta Wealth รวมไปถึง Thematic Optimize ก็ได้รับการตรวจสอบและหามุมพัฒนาให้ดีที่สุดอยู่เสมอ
หากต้องการวัดผล Thematic Optimize ในระยะยาว นานแค่ไหนถึงจะเหมาะสม?
แนะนำว่า อย่างตํ่าต้องอยู่ในระดับ 10 ปี เพราะในระยะเวลา 10 ปี จะมีช่วงเวลาที่ตลาดขึ้นลงอยู่ตลอด ตามสถิติส่วนใหญ่ในระยะเวลา 10 ปี ตลาดจะขึ้น 6 ลง 4 หรือ ขึ้น 7 ลง 3 หากคุณอยู่ในตลาดนานมากพอยังไงก็จะผ่านช่วงที่ตลาดปรับขึ้นอย่างแน่นอน
ในตอนนี้ขึ้นอยู่กับใจของตัวคุณเองว่า หากคุณเพิ่งเข้าลงทุนและเจอตลาดหุ้นตกในช่วง 3 ปีแรก จะทนรอต่อไปจนได้เจอช่วงที่ตลาดขึ้นอีก 7 ปีได้หรือไม่ และอีกคำถามที่หลายคนความสงสัยคือ ‘ควรถอนเงินออกมาเมื่อไร’
คำตอบสำหรับคำถามนี้คือ ‘คุณควรจะถอนเงินตอนที่ต้องใช้เงินนั้นจริงๆ’ หากคุณยังไม่ต้องใช้เงินดังกล่าว ควรปล่อยให้เงินได้อยู่ในตลาดต่อไปให้เติบโตให้มากที่สุด ด้วยพลังของเวลาและอัตราดอกเบี้ยทบต้น
ถ้าจะต่อภาพต้องต่อให้ครบทั้งปีที่หุ้นขึ้นและลงว่าต่างกันมากแค่ไหน เพราะตามสถิติแล้วปีที่หุ้นปรับตัวขึ้นมากกว่าลง ถ้าเราอยู่ในตลาดนานพอยังไงก็จะผ่านทั้งช่วงขึ้นและลง คุณควรจะดูภาพใหญ่และอยู่ให้ผ่านช่วงที่ทั้งขาดทุนและกำไร
เหตุการณ์ Black Swan ของตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ CEO Jitta Wealth
ตอนที่เพิ่งเริ่มต้นลงทุนไม่นาน เรามีความคิดที่ว่าตัวเองนั้นมีความรู้เรื่องการลงทุนมาก และมั่นใจว่าจะเอาชนะตลาดได้อย่างแน่นอน ในตอนนั้นจึงได้ใช้ Margin ไปลงทุนในตลาดหุ้น จนได้รู้ว่านั่นคือการตัดสินใจที่ผิดพลาดและร้ายแรง
และเรายังลงทุนในหุ้นอุตสาหกรรมเดียวกัน 2 ตัว ทำให้พอร์ตติดลบไปมากกว่า 50% โดยที่ระหว่างนั้นช่วงพอร์ตติดลบตลาดโดยรวมก็ยังปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะความมั่นใจในตัวเองที่มากจนเกินไป สุดท้ายต้องรับสภาพว่าตัวเองตัดสินใจผิดพลาด
เห็นว่าหุ้นตกแล้วคิดว่าเป็นโอกาสที่ดีในการลงทุน ซ้ำยังใช้ Margin จนต้องเติมเงินเข้าพอร์ตเพื่อให้ไม่โดนบังคับขาย เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ทำให้เงินลงทุนหายไปในระยะเวลาสั้นๆ โดยที่มีตลาดหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องซ้ำเติมอยู่ห่างๆ
สุดท้ายเรากลับมาได้จากการพยายามตั้งสติเคลียร์สมองให้โล่งและตัดสินใจตัดขายขาดทุน และทบทวนกับตัวเองอีกครั้งถึงสิ่งที่ตัดสินใจผิดไปในครั้งนี้ ปัจจุบันหุ้นทั้งสองบริษัทนั้นถูกนำออกจากตลาด (Delist) ไปแล้ว เพราะฉะนั้นหากเรายังดื้อและถือหุ้นดังกล่าวอยู่อาจทำให้ที่ขาดทุนอยู่ 50% เพิ่มเป็น 100% ไปแล้วก็ได้
บทเรียนที่ได้จากเหตุการณ์นี้คือ อย่ามั่นใจในตัวเองจนมากเกินไป บนโลกนี้มีอะไรอีกหลายอย่างที่เรายังไม่รู้เกี่ยวกับโลกการลงทุน และให้ยึดมั่นในหลักการที่ถูกต้องอยู่เสมอ