CEO ของ Jitta Wealth เผยลงทุน Jitta Ranking เริ่มต้น 500,000 ดียังไง
Exclusive Q&A with CEO ของ Jitta Wealth ประจำเดือนกันยายน 2565 เป็น Live สดที่คุณเผ่า ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ จะมาไขข้อสงสัยให้คุณ ไม่ว่าคุณจะมีพอร์ตลงทุนกับ Jitta Wealth อยู่แล้วหรือกำลังสนใจจะลงทุน แต่ต้องการฟังมุมมองของ CEO เกี่ยวกับสถานการณ์การลงทุนทั่วโลกและนโยบายการลงทุนต่างๆ ของ Jitta Wealth ก่อนตัดสินใจ พร้อมด้วยคุณโอ๊ต คุณากร มหานิล CFA นักวิเคราะห์การลงทุนของ Jitta Wealth ที่จะมาให้ความรู้ด้านการลงทุนจากมุมมองของนักวิเคราะห์มืออาชีพ
หากคุณพลาดชม Live สด คุณสามารถชมวีดีโอย้อนหลังได้ที่ Facebook และ Youtube
ดูวีดีโอ CEO ของ Jitta Wealth ย้อนหลัง
สรุปคำถาม-คำตอบ และมุมมองจาก Jitta Wealth
คุณเผ่า ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ ได้อัปเดตถึงการลดเงินลงทุนขั้นต่ำในการลงทุน Jitta Ranking ทุกแผนให้เหลือ 500,000 บาท จากเดิมที่ 1,000,000 บาท เพื่อให้นักลงทุนเข้าถึงการลงทุนหุ้นต่างประเทศอย่างมีหลักการได้ง่ายขึ้นและอยู่ในระดับที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้
แต่นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น คุณเผ่า ตราวุทธิ์ บอกว่า Jitta Wealth จะไม่หยุดอยู่แค่นี้ ให้นักลงทุนติดตามกันอย่างใกล้ชิดว่า Jitta Wealth จะก้าวไปจุดไหนต่อไป
สรุปนโยบายลงทุนของ Jitta Wealth
Jitta Wealth คือกองทุนส่วนบุคคลที่ใช้เทคโนโลยีในการบริหารจัดการตามหลักการลงทุนที่ถูกต้อง เพื่อช่วยวิเคราะห์หุ้น ซื้อขายหุ้น และจัดการพอร์ตให้คุณอัตโนมัติ โดยมีนโยบายลงทุนที่แตกต่างกันออกไปตามระดับความเสี่ยง ดังนี้
- Global ETF ลงทุนในหุ้นและตราสารหนี้ มีความเสี่ยงต่ำ-ปานกลาง ประกอบด้วย
- แผนพอเพียง ลงทุนหุ้น 20% พันธบัตร 80% ผลตอบแทนที่คาดหวัง 4% ต่อปี
- แผนสมดุล ลงทุนหุ้น 50% พันธบัตร 50% ผลตอบแทนที่คาดหวัง 6% ต่อปี
- แผนเติบโต ลงทุนหุ้น 80% พันธบัตร 20% ผลตอบแทนที่คาดหวัง 8% ต่อปี
- Thematic ลงทุนในธีมเมกะเทรนด์ที่คุณเลือกหรือตามที่ AI จัดพอร์ตให้จาก 23 ธีม
- Thematic DIY เลือกจัดพอร์ตลงทุนตามธีมที่คุณชื่นชอบสูงสุด 1-5 ธีม
- Thematic Optimize ให้ AI ช่วยจัดพอร์ตให้คุณ โดยเลือก 4 ธีมที่น่าลงทุนที่สุดในเวลานั้น พร้อมปรับพอร์ตให้โดยอัตโนมัติทุก 3 เดือน
คำแนะนำ การเลือกธีมลงทุนในแผน Thematic DIY ให้คุณลองเลือกธีมที่มีรายได้เติบโตกว่ามูลค่ามาร์เก็ตแคปของ ETF ในช่วง 3 ปีล่าสุด ซึ่งแสดงว่าธุรกิจที่อยู่ใน ETF มีผลประกอบการเติบโตมากกว่าราคาหน่วยลงทุนและมีโอกาสทำผลตอบแทนได้ดี หลายธีมที่ Jitta Wealth คัดสรรมาให้ โดยส่วนใหญ่รายได้จะเติบโตมากกว่ามูลค่ามาร์เก็ตแคปอยู่หลายธีม
- Jitta Ranking ลงทุนหุ้นต่างประเทศ โดยเน้นที่การลงทุนใน ‘หุ้นดี ราคาเหมาะสม และมีโอกาสเติบโตสูง’ ตามหลักการลงทุนของ Warren Buffett ที่สามารถทำผลตอบแทนชนะดัชนีตลาดได้ในระยะยาว มีให้เลือกด้วยกัน 7 แผนลงทุน ดังนี้
- หุ้นไทย
- หุ้นสหรัฐฯ
- หุ้นเวียดนาม
- หุ้นจีน
- หุ้นญี่ปุ่น
- หุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ
- หุ้นสุขภาพสหรัฐฯ
Jitta Wealth จะเลือกตลาดหุ้นของประเทศที่มีเศรษฐกิจดี มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ และกำลังเติบโตเพื่อนำมาวิเคราะห์และเปิดแผนลงทุนในนโยบาย Jitta Ranking เพิ่มเติม โดยจะคัดกรอง ‘หุ้นดี ราคาเหมะสม มีโอกาสเติบโต’ มาจัดพอร์ต 5-30 ตัว พร้อมปรับพอร์ตให้คุณโดยอัตโนมัติทุก 3 เดือน โดยหากหุ้นที่อยู่ในพอร์ตหลุดจากอันดับต้นๆ ของ Jitta Ranking ระบบจะขายออกและซื้อหุ้นตัวใหม่ที่ติดอันดับให้แทน เพื่อให้คุณได้ลงทุนใน หุ้นดี ราคาถูก มีโอกาสเติบโต อยู่เสมอ
ในตอนนี้การเปิดพอร์ต Jitta Ranking สามารถเข้าถึงได้มากขึ้นด้วยการลดขั้นต่ำเหลือ 500,000 บาท และ Jitta Wealth ก็ต้องการช่วยนักลงทุนสาย DCA จึงได้ลดเงินเพิ่มทุนขั้นต่ำสำหรับนโยบาย Jitta Ranking ให้เหลือ 50,000 บาทเช่นกัน
Jitta Ranking เงินลงทุน 500,000 vs. 1,000,000 บาท ต่างกันอย่างไรบ้าง?
จากภาพแสดงให้เห็นว่าการลงทุน Jitta Ranking ด้วยเงิน 500,000 บาท จะทำให้คุณได้ลงทุนแบบโฟกัสในหุ้นน้อยตัวลงและเป็นหุ้นที่ติดอันดับต้นๆ ของ Jitta Ranking ทำให้มีโอกาสทำผลตอบแทนที่ดีกว่าการลงทุน Jitta Ranking ด้วยเงิน 1,000,000 บาท
แต่ในขณะเดียวกัน พอร์ตลงทุน Jitta Ranking 500,000 บาท จะมีความผันผวนที่มากกว่า 1,000,000 บาท เพราะถือหุ้นน้อยตัวกว่าเช่นกัน จึงแนะนำให้นักลงทุน DCA เติมเงินเข้าพอร์ตอย่างต่อเนื่องเพื่อลดความผันผวนจากการลงทุน และเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนอย่างยั่งยืนในทุกช่วงเวลา
อย่างไรก็ตาม ข้อมูล backtest เป็นการทดสอบผลตอบแทนในอดีต ไม่ได้การันตีว่าการเริ่มต้นลงทุนด้วยเงิน 500,000 บาท จะได้ผลตอบแทนดีกว่าเงินลงทุน 1,000,000 บาทเสมอไป เราแนะนำให้คุณลงทุนตามเป้าหมายและงบประมาณที่ตั้งเอาไว้ เพราะด้วยเงินต้นที่มากขึ้นจะทำให้พอร์ตลงทุนของคุณเติบโตได้มากขึ้นในระยะยาวเช่นกัน
นอกจากนี้ คุณยังสามารถใช้นโยบาย Jitta Ranking ในการกระจายความเสี่ยงได้ด้วย โดยการเปิดหลายพอร์ต ลงทุนหลายประเทศ โดยการแบ่งเงินออกเป็นหลายส่วน ซึ่งจะทำให้คุณมีโอกาสลงทุนในหุ้นคุณภาพดีจากหลายประเทศ และช่วยกระจายความเสี่ยงได้มากขึ้น
อัปเดตสถานการณ์ตลาดหุ้นทั่วโลก
คุณโอ๊ต คุณากร มหานิล CFA นักวิเคราะห์การลงทุนของ Jitta Wealth มาอัปเดตสถานการณ์เศรษฐกิจโลกในช่วงที่ผ่านมาดังนี้
สหรัฐอเมริกา กำลังเผชิญกับอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงถึง 8.3% ในช่วงเดือนสิงหาคม สร้างความกังวลให้กับนักลงทุนว่า Fed อาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากขึ้น หากดูจากเครื่องมือ FedWatch Tool จะพบว่า Fed มีโอกาสปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยรวดเดียว 1% จึงทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ผันผวนมากในสัปดาห์ที่ผ่านมา
จีน ปี 2565 จีนเจอกับข่าวร้ายหลายเรื่อง แต่หากมองถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีน จะพบว่ามีแนวโน้มเติบโตดีขึ้นชัดเจน และทางการจีนก็เริ่มผ่อนคลายนโยบายล็อกดาวน์บ้างแล้ว จากการสำรวจเจาะลึกสื่อโซเชียลมีเดียต่างๆ ทั้งในประเทศไทยและฝั่งจีนจะพบว่า ตัวเลขผู้ติดเชื้อ Covid-19 ตอนนี้เป็นศูนย์ ทำให้เศรษฐกิจจีนเดินหน้าต่อไปได้
เวียดนาม หลังจากที่เปิดประเทศ เศรษฐกิจก็มีแนวโน้มที่ดีและได้รับความสนใจจากทั่วโลก จน IMF ได้เพิ่มประมาณการเศรษฐกิจเวียดนามเติบโตขึ้นจาก 6% เป็น 7% ในปี 2565 ขณะที่สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือตราสารหนี้อย่าง Moody’s ก็เพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือให้กับพันธบัตรรัฐบาลเวียดนามเช่นกัน
ไทย ตอนนี้เศรษฐกิจไทยกำลังฟื้นตัวจากภาคการท่องเที่ยว โดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นจากปี 2564 ถึง 50 เท่า แตะเดือนละ 1 ล้านคนไปเรียบร้อยแล้ว และตอนนี้ประเทศไทยก็ค่อนข้างเนื้อหอมเพราะมีบริษัทต่างชาติเข้ามาลงทุนตั้งฐานการผลิตมากมาย เช่น BYD และ Foxconn ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจไทยในระยะยาว
ญี่ปุ่น ใกล้จะเปิดประเทศโดยไม่มีเงื่อนไขในเดือนตุลาคม 2565 นี้ ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่นอย่างแน่นอน นอกจากนี้ ถ้าดูที่ตัวเลข GDP ของญี่ปุ่นจะเห็นว่าในไตรมาสที่ 2 ปี 2565 เติบโตถึง 3.5% QoQ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ 2.6% ไปไกล และเป็นอัตราการเติบโตที่น่าประทับใจสำหรับประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่อย่างญี่ปุ่น
Q: Jitta Ranking แต่ละประเทศเหมาะกับเป้าหมายลงทุนต่างกันไหม
ก่อนที่คุณจะเลือกลงทุนอะไรก็ตาม อยากให้คุณคิดให้ดีก่อนจะเริ่มลงทุน และพยายามอย่าเปลี่ยนแผนลงทุนบ่อยๆ เพราะจะทำให้ผลตอบแทนออกมาไม่ดีแน่นอน ยกตัวอย่างเช่น ก่อนจะเปิดพอร์ต Jitta Ranking ให้บอกตัวเองว่า คุณกำลังจะลงทุนกับแผนลงทุนนี้แบบระยะยาวไปอีกอย่างน้อย 5 – 10 ปี จึงแนะนำให้เลือกลงทุนในสิ่งที่คุณสบายใจ
หากต้องการติดตามเกี่ยวเศรษฐกิจของแต่ละประเทศแนะนำให้ดูจากปัจจัยต่างๆ ต่อไปนี้ เช่น
- GDP ของประเทศ
- แนวโน้มการเติบโตเศรษฐกิจในระยะยาว
- อัตราส่วน P/E Ratio ของตลาดหุ้นในภาพรวม
จากประเทศที่เราได้คัดเลือกมาสร้างนโยบาย Jitta Ranking ให้คุณก็ล้วนมีแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจเติบโตที่ดีและมีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ ทำให้คุณคลายความกังวลเรื่องความมั่นคงทางเศรษฐกิจไปได้
หากคุณกำลังสนใจลงทุนตลาดหุ้นสหรัฐฯ อาจจะลองมองที่ หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีสหรัฐฯ และ หุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์สหรัฐฯ เพราะเป็นอุตสาหกรรมที่สหรัฐฯ เป็นผู้นำและมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องในระยะยาวที่ตอนนี้อยู่ในช่วงราคาที่ต่ำเมื่อเทียบกับมูลค่าเหมาะสม น่าเข้าลงทุน
อย่างไรก็ตาม ช่วงนี้ค่าเงินบาทอ่อนเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่แข็งตัว นโยบาย Jitta Ranking หุ้นไทย ก็เป็นตัวเลือกที่ดี เพราะคุณไม่ต้องมากังวลปัจจัยเกี่ยวกับอัตราแลกเปลี่ยนเพื่อใช้ลงทุนในต่างประเทศ เพราะนโยบาย Jitta Ranking หุ้นไทยจะใช้เงินบาทในการลงทุนเลย
สุดท้ายที่อยากจะย้ำเตือน คือ เลือกลงทุนในแผนที่คุณสบายใจจะลงทุนในระยะยาว อย่าโยกย้ายการลงทุนบ่อยเกินไป เพราะจะส่งผลต่อผลตอบแทนของคุณได้
Q: จะลงทุนประเทศไหนดี มีประเทศไหนน่าสนใจบ้าง
คุณเผ่า: ไม่ว่าคุณจะลงทุนประเทศไหน พยายามคิดให้รอบคอบก่อนลงทุน ไม่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา เพราะการเปลี่ยนแผนจะไม่ดีต่อพอร์ตในระยะยาว ในแต่ละประเทศ เศรษฐกิจของเขาก็จะมีวงจรของเขา เพราะฉนั้นไม่ว่าจะเป็นประเทศไหน ตัดสินใจให้ดี
Jitta Wealth เลือกมาให้แล้วระดับหนึ่งว่าเป็นประเทศที่ดี เมื่อตัดสินใจลงทุนในประเทศไหนแล้วก็ควรลงทุนให้ยาวๆ และเมื่อได้ผลตอบแทนที่ดีค่อยเปลี่ยนพอร์ตย้ายประเทศก็ได้ หรือถ้าจะเปลี่ยนก็ควรรอให้ตลาดหุ้นประเทศนั้นขึ้นมาเยอะๆ แล้วจะดีกว่า เพราะจุดที่หลายๆ คนพลาดไป ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนหุ้นหรือกองทุนคือ พอเห็นมันขาดทุนก็มักจะชอบขาย แต่พอขายก็ไปซื้อหุ้นหรือกองทุนที่ราคาเพิ่งวิ่งขึ้น แล้วสุดท้ายก็จะกลายเป็นขาดทุนซ้ำอีก
ปกติแล้วดัชนีตลาดหุ้นจะขึ้นปีละ 8% แต่ถ้าปีไหนขึ้นเยอะๆ 20%-50% ปีต่อไปก็มักจะไม่ขึ้นมากแล้ว สามารถสังเกตจากตรงนี้ได้ หรือในมิติด้านเศรษฐกิจ คุณควรสังเกตการเติบโตของ GDP ในแต่ละประเทศ ผลตอบแทนระยะยาว หรือค่า PE ของตลาดหุ้นเป็นหลัก
แผน Jitta Ranking เวียดนาม ญี่ปุ่น จีน ในระยะยาวจะได้ประโยชน์เยอะเพราะเป็นประเทศที่มีเงินลงทุนไหลเข้าไปเรื่อยๆ แต่ในอดีตที่คนยังเข้าถึงข้อมูลในตลาดหุ้นได้ไม่มาก เงินลงทุนก็จะไปกระจุกอยู่ในหุ้นไม่กี่ตัวที่คนรู้จัก แต่จะมีนักลงทุนกลุ่มหนึ่งที่ขยันศึกษาหาข้อมูล เขาจะสามารถหาโอกาสการลงทุนที่ดีกว่าคนอื่นได้
หากลงทุนกับ Jitta Ranking ประเทศเหล่านั้นก็จะมีแต้มต่อระดับหนึ่งตรงที่เราที่สามารถหาหุ้นดีราคาถูก และปรับพอร์ตลงทุนไปเรื่อยๆ ได้ ส่วนใครที่อยากลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ ก็สามารถลงทุนในกลุ่มเทคโนโลยีหรือเฮลท์แคร์ได้ เพราะดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ขึ้นมาเยอะๆ ก็ขึ้นมาจากราคาหุ้นเทคโนโลยีกว่า 25% และเป็นหุ้นธุรกิจเฮลท์แคร์กว่า 15% เพราะฉะนั้น 2 กลุ่มนี้แบกดัชนี S&P 500 เอาไว้ ถ้าจะเลือกจริงๆ ก็เลือกยาก รักพี่เสียดายน้อง แต่ถ้ามองจากมุมมองปัจจุบัน หุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์สหรัฐฯ น่าลงทุนที่สุด
คุณโอ๊ต: อยากให้มองถึงเรื่องการกระจายความเสี่ยงด้วย อย่างปีที่ผ่านมาตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้รับผลกระทบจากนโยบายการเงินของ Fed ค่อนข้างหนัก แต่ว่าตลาดหุ้นฝั่งเอเชีย เช่น จีน ถึงแม้ว่าปีนี้จะเจอมรสุมข่าวร้ายค่อนข้างเยอะ แต่ว่าตลาดหุ้นจีนกลับให้ผลตอบแทนค่อนข้างดี เพราะฉะนั้นการกระจายความเสี่ยงจะช่วยให้คุณถัวเฉลี่ยความเสี่ยงได้ดี
Q: หากลงทุนในนโยบาย Thematic ETF และ Global ETF อยู่ เมื่อ Jitta Ranking ลดเงินลงทุนขั้นต่ำมาอยู่ที่ 500,000 บาท ถ้าจะถอนบางเงิรส่วนออกมาเพื่อลงทุน Jitta Ranking แทนเพื่อกระจายความเสี่ยง มีผลดีผลเสียอย่างไรบ้าง และหลักการลงทุนที่ถูกต้องควรเป็นอย่างไร
คุณเผ่า: การกระจายความเสี่ยงเป็นเรื่องที่ดีแต่พยายามตัดสินใจให้ดีก่อน เพราะว่าการโยกย้ายการลงทุนจากประเทศใดประเทศหนึ่งหรือเปลี่ยนกลยุทธิ์จากอีกอันหนึ่งไปอีกอันหนึ่ง มันจะมีต้นทุนของมัน เพราะฉะนั้นวิธีที่ดีที่สุดของการเปลี่ยนกลยุทธ์คือ ควรจะเปลี่ยนเมื่อมีรอบวัฐจักร เช่น บางคนอาจจะลง Thematic ETF มาในธีมใดธีมหนึ่งแล้วตอนนี้เป็นช่วงตลาดหุ้นร่วง แบบนี้ผมมองว่าควรจะอยู่ที่เดิมหรือ DCA ก่อนดีกว่า ไม่ควรเปลี่ยนตอนวัฏจักรตลาดหุ้นขาลง
นี่เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ Jitta Wealth พยายามลดขั้นต่ำลงมาเพื่อให้คุณสามารถกระจายความเสี่ยงในหลายๆ กลยุทธ์ได้มากขึ้น
หรือหากคุณคิดว่าตอนนี้เงินอยู่ใน Thematic ETF เยอะและส่วนมากจะเป็นหุ้นสหรัฐฯ จึงอยากกระจายความเสี่ยงไปประเทศอื่นบ้าง คุณก็ไม่ควรจะถอนเงินออกมาเพื่อลงทุน Jitta Ranking สหรัฐฯ ซ้ำอีก แต่ไปลงทุน Jitta Ranking จีน ญี่ปุ่น หรือเวียดนามแทนจะดีกว่า
เพราะฉนั้นในเชิงการกระจายความเสี่ยงให้มองว่า ได้กระจายความเสี่ยงจริงๆ ไม่ใช่ถอนออกมาแล้วซื้อสินทรัพย์ที่ใกล้เคียงเดิม อย่าพยายามย้ายไปลงทุนในสิ่งที่ยังไม่แน่ใจ
คุณโอ๊ต: เราอยากสนับสนุนให้เป็นการลงทุนระยะยาวมากกว่า เพราะแต่ละนโยบาย และแต่ละแผนจะมี Economic Cycle ของเขาว่าเราควรลงทุนกี่ปี บริษัทนั้นๆ ถึงจะเริ่มแสดงผลกำไรหรือว่ามีเสถียรภาพที่ดีปรากฎให้เห็น จึงอยากให้นักลงทุนคิดให้ดีก่อนว่าแผนลงทุนที่เราจะลงทุนนั้นมีศักยภาพและมีการเติบโตในอนาคตหรือไม่
คุณเผ่า: การลงทุนเป็นเรื่องของจิตใจ ถ้าคุณรู้สึกว่าเข้าใจประเทศนั้นหรือคุณอยากที่จะเติบโตไปกับประเทศนั้น เช่น บางคนลงทุนในตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพราะเคยไปใช้ชีวิตอยู่ที่ญี่ปุ่นจึงรู้สึกผูกพัน อาจจะลงทุนแล้วมีความสุข การลงทุนแบบ VI ก็เหมือนคุณซื้อธุรกิจ ซื้อบริษัท คุณถือหุ้นตัวนี้อยู่แล้วเราไปซื้อสินค้าหรือใช้บริการเขาแล้วมีความสุข
Q: ค่าเงินบาทไทยอ่อน เงินดอลลาร์สหรัฐฯ แข็ง มีผลต่อการลงทุนหรือไม่
คุณเผ่า: หากตอบตามหลักการ หากคุณลงทุนระยะสั้นค่าเงินจะมีผลกระทบมาก เช่น สมมติอัตราแลกเปลี่ยนแข็งค่าขึ้น 5%-10% คุณได้กำไร 10%-15% เท่ากับคุณแทบตะไม่ได้อะไรเลย
แต่ถ้าคุณลงทุนระยะยาว ผลกระทบจะน้อยลงเรื่อยๆ เช่น ถ้าคุณลงทุนใน S&P 500 ประมาณ 10 ปี คุณอาจจะได้ผลตอบแทนประมาณ 500% แต่ตัวอัตราแลกเปลี่ยนอาจจะผันผวนแค่ 10%-20% เท่านั้น สุดท้ายคุณก็ได้กำไรเยอะอยู่ดี
ถ้าคุณลงทุนในทรัพย์สินที่ดี พอร์ตของคุณก็จะเติบโตไปเรื่อยๆในระยะยาว ในขณะที่อัตราแลกเปลี่ยนจะขึ้นลงไปมาในกรอบแคบๆ ในระยะยาว ดังนั้น ยิ่งคุณลงทุนระยะยาวเท่าไหร่ อัตราแลกเปลี่ยนก็จะกระทบกับผลตอบแทนที่ทำได้น้อยลงเท่านั้น
แต่ถ้าใครกลัวความเสี่ยงเรื่องค่าเงิน การ DCA จะเป็นตัวช่วยให้คุณได้ถัวค่าเฉลี่ยทั้งความผันผวนของตลาดหุ้นและค่าเงินไปในตัว ทำให้ในระยะยาวคุณจะได้ผลตอบแทนที่คงที่มากขึ้นด้วย จุดอ่อนของ DCA อย่างเดียวคือ เป็นกลยุทธ์ที่อาศัยวินัยของนักลงทุนสูงมาก
คุณโอ๊ต: ในระยะยาวความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนจะมีผลกระทบต่อผลตอบแทนไม่ได้เยอะมาก แต่ว่าถ้าใครกังวลจริงๆว่า ตอนนี้เงินบาทแข็งมากอาจจะลองดูว่าประเทศไหนที่เมื่อเทียบกับเงินบาทแล้วค่าเงินประเทศเขาอ่อนค่ากว่า เช่น ตอนนี้ถ้าเทียบกับค่าเงินบาทแล้ว เงินเยนญี่ปุ่นอ่อนค่าเมื่อเทียบกับปีที่แล้วกว่า 18% นักลงทุนก็ลองหาโอกาสลงทุนในตลาดหุ้นญี่ปุ่นได้
คุณเผ่า: การ DCA จะมีช่วงเวลาของมันตอนตลาดหุ้นขึ้นหรือลง ถ้าเราดูผลตอบเทนเปรียบเทียบกับการลงทุนครั้งเดียวในช่วงเวลาที่สั้นเกินไป บางทีการลงทุนแบบ DCA อาจจะแพ้การลงทุนครั้งเดียวก็ได้ถ้าจับจังหวะได้ดีมากๆ แต่การ DCA ในระยะยาวจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการลงทุนครั้งเดียวอยู่บ่อยครั้ง
และการ DCA จะทำให้มีเงินทบต้นที่มหาศาล ปริมาณเงินทั้งพอร์ตจะเติบโตไปเรื่อยๆ เหมือนการวิ่งมาราธอน สิ่งที่คุณต้องการมีแค่หลักการลงทุนที่ดี มีวินัยและความสม่ำเสมอในการลงทุน
Q: Jitta Ranking ทำงานอย่างไร การลดเงินลงทุนเริ่มต้นเหลือ 500,000 บาท จำนวนหุ้นที่ซื้อจะเท่ากับ 1,000,000 บาทหรือไม่
คุณเผ่า: ตามหลักการแล้ว Jitta Ranking ไม่ว่าจะซื้อกี่หุ้นหรือลงทุนเริ่มต้นด้วยเงินเท่าไหร่ก็ใช้หลักการเดียวกัน คือ ซื้อ ‘หุ้นดี ราคาถูก’ เพราะมันคือการเอาเงินไปซื้อหุ้นที่ Jitta Ranking วิเคราะห์ตามงบการเงินย้อนหลังมาแล้ว 10 ปี เพื่อค้นหาว่าหุ้นตัวไหนเป็นหุ้นที่ดีที่สุดและราคาที่เหมาะสมที่สุดในตลาดหุ้นนั้นๆ เรื่องต่อมาคือการกระจายความเสี่ยง เพราะเรารู้ว่าถ้ามันราคาผันผวนมากเกินไป ในระยะยาวผลตอบแทนอาจจะไม่ดีก็ได้
ไม่ว่าจะลงทุนเท่าไหร่ Jitta Ranking จะลงทุนในหุ้นน้อยที่สุดคือ 5 ตัวเสมอ เพราะเป็นการเฉลี่ยเงินลงทุนของหุ้นแต่ละตัวที่ 20% ของพอร์ต ต่อให้จะเกิดเหตุการที่ไม่คาดฝันแล้วหุ้นตัวใดตัวหนึ่งราคาร่วงไป 50% เราก็ยังคงขาดทุนแค่ 10% ของเงินลงทุนทั้งพอร์ตอยู่ดี ซึ่งไม่ได้ยากที่จะทำให้ผลตอบแทนกลับมา แต่โอกาสที่หุ้นตัวใดตัวหนึ่งจะติดลบขนาดนั้นก็น้อยเพราะเราเลือกหุ้นดีราคาถูกไว้แล้ว และมีการปรับพอร์ตอัตโนมัติทุกๆ 3 เดือนให้ด้วย
แต่ทำไม 1,000,000 บาท กับ 500,000 บาทถึงได้หุ้นต่างกัน เพราะเรากำหนดการกระจายความเสี่ยงของแต่ละกลยุทธ์เอาไว้ เช่น ในอดีตหุ้นจีนต้องลงทุนเริ่มต้นที่ 3,000,000 บาทและมีการกระจายความเสี่ยงไว้ที่หุ้น 20 ตัว แต่เมื่อเราลดเงินลงทุนลงมาเหลือ 1 ล้าน ก็จะได้หุ้นประมาณ 6 ตัว เมื่อลดลงเหลือ 500,000 บาท ก็ยังเหลือประมาณ 5 ตัวอยู่ แต่ลงทุนหุ้นแต่ละตัวด้วยจำนวนเงินที่น้อยลง
ยิ่งเพิ่มเงินลงทุนไปเรื่อยๆ การกระจายความเสี่ยงก็ยิ่งมีประสิทธิภาพมากขึ้น ผลตอบแทนอาจจะมีความแตกต่างกันไปบ้างตามการทดสอบ Back Test แต่ยิ่งลงทุนไปนานมากเท่าไหร่ ผลตอบแทนที่ได้ก็ยิ่งแตกต่างกันน้อยลง
Q: ทำไมต้องปรับพอร์ตทุกๆ 3 เดือน
คุณเผ่า: ในตอนเริ่มต้น Jitta Wealth มองว่าการปรับพอร์ตน้อยที่สุดเป็นเรื่องดี แต่พอเราได้ลองบริหารพอร์ตจริงๆ แล้ว เรามีข้อมูลเยอะขึ้นมากจากการบริหารจัดการพอร์ตหลายพันพอร์ต เราถึงเห็นแล้วว่าในพอร์ตประกอบไปด้วยหุ้นหลายตัว มีทั้งหุ้นที่กำไรและขาดทุน วิธีที่ง่ายที่สุดในการเพิ่มกำไรคือตัดหุ้นที่ขาดทุนออกไปให้ได้
เราจะเห็นว่าในหลายพอร์ตมีหุ้นบางตัวที่ขาดทุนหนักๆ แล้วเราก็รู้ว่าหุ้นตัวนั้นพื้นฐานไม่ค่อยดีแล้ว การที่ยืดเวลาปรับพอร์ตจึงไม่ได้เป็นการตัดสินใจที่ดีทุกครั้ง ส่วนมากจะผิดมากกว่าถูก เราเลยมีแนวคิดใหม่ว่าจะทำอย่างไรให้ตัดหุ้นที่เริ่มไม่ดีแล้วออกไปให้ได้เร็วที่สุด โดยไม่ต้องพิสูจน์นานเกินไปจึงเป็นที่มาของการปรับพอร์ตทุกๆ 3 เดือน
ทำไมต้อง 3 เดือน? เพราะว่า 3 เดือนคือช่วงที่งบการเงินรายไตรมาสออก เราจะมีข้อมูลใหม่ของแต่ละบริษัทเข้ามา สิ่งที่ Jitta Ranking ทำได้ดีกว่าคน คือการนำข้อมูลหุ้นทุกตัวมาประมวลผลได้พร้อมกันในเวลาเสี้ยววินาที แต่จุดที่เรายังไม่สามารถทำได้เท่านักลงทุนเก่งๆ ก็คือ วิเคราะห์หุ้นรายตัวได้แม่นมากๆ มองอนาคตได้แม่นยำ
เพราะฉะนั้นเวลาที่เราเล่นเกม เราต้องเล่นในจุดเด่นของเรา ในเมื่อ Jitta Ranking เก่งในการหาหุ้นดี ราคาถูกจากหุ้นจำนวนมากทั้งตลาด เราก็ต้องใช้จุดเด่นตรงนี้มาใช้ในการปรับพอร์ตเมื่อมีข้อมูลใหม่เข้ามา แต่ต้องควบคุมความเสี่ยงให้ได้ด้วยการซื้อหุ้นหลายๆ ตัวเพื่อการกระจายความเสี่ยง
การปรับพอร์ตของ Jitta Ranking ไม่ได้หมายความว่าหุ้นที่ดีอยู่แล้วจะขายทิ้ง แต่หุ้นที่ต้องจากไปคือหุ้นที่เราเห็นแล้วว่ามันไม่ดีแล้ว อาจจะงบการเงินแย่ลงหรือราคาเริ่มแพงเกินไป ในเมื่อเราเจอหุ้นใหม่ที่ดีกว่า มีโอกาสทำกำไรได้มากกว่า ก็ควรจะลงทุนตรงนั้น
หลังจากนั้นก็ใช้หลักความน่าจะเป็น ถ้ามีการกระจายความเสี่ยงที่ถูกต้องก็น่าจะสร้างผลตอบแทนที่ดีขึ้นได้ และเมื่อเราทำ Back test แล้วมาใช้กับพอร์ตจริงก็พบว่าผลตอบแทนดีกว่าตามที่สดสอบ ต่อให้มีค่าธรรมเนียมซื้อขายมากขึ้นก็ตาม
อัลกอริทึมของ Jitta Ranking ถูกพัฒนาอยู่เสมอ ข้อมูลพอร์ตการลงทุนจริงของทุกคนก็ช่วยเราให้เรียนรู้เรื่องจุดอ่อน-จุดแข็งของเรามากขึ้น ทำให้เราสามารถพัฒนาอัลกอริทึมที่แม่นยำมากขึ้นได้
Q: ควรลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามและญี่ปุ่นในช่วงนี้หรือไม่
คุณโอ๊ต: ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่น่าลงทุนมากในช่วงนี้ ยิ่งใครที่กังวลในเรื่องค่าเงิน ญี่ปุ่นยิ่งเป็นประเทศที่น่าลงทุน เพราะค่าเงินอ่อนค่าลงเยอะมากจากปีก่อนเมื่อเทียบกับเงินบาท และเป็นไม่กี่ประเทศที่ยังใช้นโยบายการเงินผ่อนคลาย ดอกเบี้ยติดลบอยู่ ซึ่งสวนทางกับประเทศตะวันตก
ในส่วนของเวียดนามเองตลาดหุ้นก็ปรับตัวลงมา เวียดนามเป็นประเทศที่มีพื้นฐานเศรษฐกิจดีมาก การลงทุนในเวียดนามตอนนี้ก็ถือว่าเป็นโอกาส เพราะตลาดหุ้นปรับตัวลงก็จริงแต่ธุรกิจและเศรษฐกิจยังเติบโตได้ดีอยู่
อ่านมุมมอง CEO ของ Jitta Wealth
สรุป Live ล้วงลับ! หุ้นญี่ปุ่นพิฆาตฟาดกำไร 9 เด้ง
CEO Jitta Wealth เผยความลับ ‘หุ้นญี่ปุ่น’ อีกหนึ่งขุมทรัพย์น่าลงทุน