ETF คืออะไร? ลงทุน ETF แบบไหนดีต่อใจ ได้กำไรจริง

ไฮไลต์
- ETF = กองทุนที่ซื้อขายเหมือนหุ้น แต่ได้กระจายความเสี่ยงในกองเดียว
- ค่าธรรมเนียมต่ำ โปร่งใส ซื้อขายง่าย มีหลายประเภทให้เลือกสรร
- การลงทุนใน ETF มีกลยุทธ์หลากหลาย ทั้งจัดพอร์ตแบบ Core & Satellite DCA หรือการลงทุนในเมกะเทรนด์โลก เป็นต้น
- เหมาะกับมือใหม่ คนมีเวลาน้อย และนักลงทุนระยะยาว
- ลงทุนง่ายขึ้นผ่าน Global ETF ของ Jitta Wealth เริ่มต้นเพียง 10,000 บาท
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา คำว่า ‘ETF’ หรือ Exchange-Traded Fund เริ่มปรากฏบ่อยขึ้นในวงการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นในสื่อการเงิน บทวิเคราะห์ของโบรกเกอร์ หรือแม้แต่การสนทนาในกลุ่มนักลงทุนรุ่นใหม่
ETF กำลังกลายเป็นเครื่องมือการลงทุนที่มาแรง เพราะตอบโจทย์นักลงทุนที่ต้องการทั้ง ‘ความง่าย’ และ ‘โอกาสทำกำไรได้จริง’ โดยไม่จำเป็นต้องมานั่งเลือกหุ้นทีละตัวหรือเสียค่าธรรมเนียมแพงเกินไปเหมือนกองทุนรวมแบบดั้งเดิม
ETF จึงถูกยกให้เป็น ‘สะพาน’ ระหว่างนักลงทุนรายย่อยกับตลาดโลก เพราะใครๆ ก็สามารถเข้าถึงการลงทุนในหุ้น ดัชนี หรือแม้แต่ทองคำและน้ำมัน ผ่านการซื้อกองทุน ETF เพียงกองเดียวในราคาที่เอื้อมถึง แถมยังซื้อขายได้ง่ายราวกับหุ้นทั่วไปที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์
ETF คืออะไร
ETF หรือ Exchange-Traded Fund คือกองทุนที่ออกแบบมาเพื่อติดตามผลการเคลื่อนไหวของดัชนีหรือสินทรัพย์บางประเภท เช่น ดัชนี SET50 ของไทย S&P 500 ของสหรัฐฯ หรือ MSCI World ที่รวมตลาดหุ้นจากทั่วโลก
หรือแม้แต่สินทรัพย์อื่นๆ อย่างทองคำ น้ำมัน และพันธบัตร นักลงทุนสามารถซื้อ ETF ผ่านตลาดหลักทรัพย์ได้เหมือนกับซื้อหุ้นรายตัว ทำให้มีความยืดหยุ่นและสะดวกมากกว่าการซื้อกองทุนรวมแบบเดิมที่ต้องผ่านบริษัทจัดการกองทุน
จุดเด่นสำคัญของ ETF คือค่าธรรมเนียมที่ต่ำ โปร่งใสเพราะกองทุนเปิดเผยสินทรัพย์ที่ถืออยู่สม่ำเสมอ และมีสภาพคล่องสูง ซื้อขายได้ทุกวันทำการ
นักลงทุนจึงมั่นใจได้ว่าการลงทุนใน ETF ไม่ได้ซับซ้อนเหมือนกองทุนรวม และยังเหมาะกับคนที่อยากลงทุนในหลายตลาดพร้อมกันโดยไม่ต้องเปิดพอร์ตการลงทุนหลายบัญชีในหลายประเทศ
ประเภทของ ETF ที่ควรรู้
ETF มีหลายรูปแบบ แต่สามารถแบ่งได้ออกเป็น 6 กลุ่มหลักๆ ตามวัตถุประสงค์และประเภทของสินทรัพย์ที่กองทุนติดตาม
กลุ่มแรกคือ Equity ETF ซึ่งลงทุนในหุ้นตามดัชนี เช่น S&P 500 Nasdaq 100 หรือ SET50 ของไทย นักลงทุนสามารถเข้าถึงตลาดหุ้นขนาดใหญ่ได้ง่ายดายโดยไม่ต้องซื้อหุ้นทีละตัว
กลุ่มที่สองคือ Bond ETF ที่ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลหรือหุ้นกู้เอกชน เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนที่มั่นคง
กลุ่มที่สามคือ Commodity ETF ที่มุ่งลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น ทองคำ น้ำมัน หรือโลหะมีค่า ใช้เป็นสินทรัพย์สำหรับป้องกันความเสี่ยงยามตลาดหุ้นผันผวน
กลุ่มที่สี่คือ Sector หรือ Thematic ETF ที่ลงทุนในอุตสาหกรรมหรือธีมเฉพาะ เช่น สุขภาพ พลังงานสะอาด ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) หรือปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งได้รับความนิยมจากนักลงทุนที่ต้องการเกาะกระแสเมกะเทรนด์
กลุ่มที่ห้าคือ International หรือ Global ETF ซึ่งกระจายการลงทุนไปทั่วโลก นักลงทุนเพียงซื้อกองทุนเดียวก็สามารถถือหุ้นจากหลายประเทศได้
สุดท้ายคือ Inverse และ Leveraged ETF ซึ่งเป็นกองทุนพิเศษสำหรับเก็งกำไร สามารถทำกำไรได้ทั้งขาขึ้นและขาลง แต่ก็มีความเสี่ยงสูง เหมาะกับนักลงทุนที่มีประสบการณ์
ข้อดีและข้อเสียของ ETF
ETF มาพร้อมข้อดีที่ทำให้นักลงทุนทั่วโลกชื่นชอบ ข้อแรกคือการกระจายความเสี่ยง เพียงซื้อกองทุน ETF หนึ่งกองก็สามารถถือครองหุ้นหรือสินทรัพย์หลายสิบรายการได้ทันที ช่วยลดความเสี่ยงจากการลงทุนในหุ้นรายตัว
ข้อที่สองคือค่าธรรมเนียมที่ถูกกว่ากองทุนรวมทั่วไปมาก บางกองเก็บไม่ถึง 0.5% ต่อปี ทำให้นักลงทุนมีโอกาสได้ผลตอบแทนสุทธิสูงขึ้น
ข้อดีอีกข้อคือ ETF มีสภาพคล่องสูง เพราะซื้อขายได้ทันทีเหมือนหุ้นทั่วไป นักลงทุนสามารถเลือกเข้าซื้อหรือขายออกตามจังหวะที่เหมาะสมได้โดยไม่ต้องรอหลายวันเหมือนกองทุนรวม
อย่างไรก็ตาม ETF ก็มีข้อจำกัดที่นักลงทุนต้องระวังเช่นกัน ความผันผวนของตลาดยังคงส่งผลโดยตรงต่อราคา ETF เพราะกองทุนติดตามดัชนีหรือสินทรัพย์ที่อ้างอิง และแม้จะเป็น ETF ที่อ้างอิงดัชนีเดียวกัน แต่ก็มีความเสี่ยงในด้านนโยบายการลงทุน และผลตอบแทนที่แตกต่างกัน
อีกทั้งยังมีปัญหา ‘Tracking Error’ หรือความคลาดเคลื่อนของผลตอบแทนของ ETF เมื่อเทียบกับดัชนีที่อ้างอิง (Benchmark) ซึ่งมักเกิดจากค่าธรรมเนียมในการดำเนินการ และ นโยบายลงทุนที่จัดพอร์ตไม่ตรงกับดัชนีต้นแบบ 100% ทำให้ผลตอบแทนของ ETF แตกต่างจากดัชนีอ้างอิง (Tracking Error ต่ำ แสดงว่าทำผลตอบแทนได้ใกล้เคียงดัชนีอ้างอิง)
นอกจากนี้ บางกองที่เน้นธีมเฉพาะอาจมีสภาพคล่องต่ำ ซื้อขายยาก และสุดท้าย คือความเสี่ยงจากการเลือกตลาดผิดเวลา หากลงทุนในช่วงตลาดขาลง นักลงทุนก็ยังขาดทุนได้เช่นกัน ดังนั้นจึงควรพิจารณาเลือก ETF อย่างรอบคอบ
ETF เหมาะกับใคร
ETF เป็นเครื่องมือที่ตอบโจทย์นักลงทุนหลายกลุ่ม มือใหม่สามารถใช้ ETF เป็นจุดเริ่มต้น เพราะไม่ต้องปวดหัวเลือกหุ้นรายตัว คนที่มีเวลาน้อยก็สามารถลงทุนได้ เพราะไม่จำเป็นต้องเฝ้าตลาดตลอดเวลา นักลงทุนระยะยาวก็เหมาะกับ ETF เพราะสามารถสะสมผลตอบแทนอย่างมั่งคั่งในระยะยาว
นอกจากนี้ ETF ยังเหมาะกับผู้ที่อยากกระจายความเสี่ยงออกนอกตลาดหุ้นไทย โดยการลงทุนใน ETF ต่างประเทศ ซึ่งนักลงทุนสามารถเข้าถึงหุ้นสหรัฐฯ ยุโรป ญี่ปุ่น หรือแม้แต่ตลาดเกิดใหม่อย่างอินเดียและจีนได้ง่ายๆ

วิธีเลือก ETF สำหรับมือใหม่
เลือก ETF ที่ตรงกับเป้าหมายการลงทุน
- อยากลงทุนใน หุ้นไทย: เลือก ETF อิง SET50, SET100
- อยากกระจายไป ต่างประเทศ: เลือก ETF ที่ลงทุนใน S&P 500, Nasdaq, MSCI World
- เน้นปลอดภัย เสี่ยงต่ำ: เลือกกลุ่ม Bond ETF
ดูขนาดกองทุน (AUM – Assets Under Management)
- AUM สูง (มากกว่า 1,000 ล้านบาทขึ้นไป) บ่งบอกว่า ETF นี้ มีความน่าเชื่อถือและมีสภาพคล่อง
- AUM ต่ำมากอาจเสี่ยงโดนปิดกองในอนาคต
ตรวจสอบสภาพคล่อง
- ดู Volume การซื้อขายต่อวัน
- Volume สูง = ซื้อขายง่าย
เลือก ETF ที่มี Tracking Error ต่ำ
- ดูว่าผลตอบแทนของ ETF คลาดเคลื่อนจากดัชนีอ้างอิงมากแค่ไหน
- ยิ่งต่ำ ยิ่งดี แปลว่า ETF ติดตามดัชนีได้แม่นยำ
เปรียบเทียบค่าธรรมเนียม (TER – Total Expense Ratio)
- ดูค่าธรรมเนียมรวมทั้งปี (ปกติจะ < 1%)
- ETF ค่าธรรมเนียมต่ำช่วยให้ผลตอบแทนคุณเติบโตได้เต็มที่
ลงทุน ETF อย่างไรให้เติบโตได้อย่างสบายใจ
การลงทุนใน ETF อาจจะดูเรียบง่าย แต่ถ้าจะให้ได้ทั้งความสบายใจและกำไร นักลงทุนควรมีทั้ง ‘กลยุทธ์’ และ ‘วิธีคิดที่ถูกต้อง’ ควบคู่กันไป
หนึ่งในกลยุทธ์ยอดนิยมคือ Core & Satellite Strategy โดยใช้ ETF ที่กระจายความเสี่ยงครอบคลุม เป็นพอร์ตหลัก เช่น MSCI World เพื่อสร้างความมั่นคงให้พอร์ต เสริมด้วย Thematic ETF ที่อาจจะมีความเสี่ยงสูงขึ้นมาหน่อย เช่น AI หรือ EV เป็นพอร์ตรอง เพื่อเพิ่มโอกาสเติบโต
นอกจากนี้ ยังมีกลยุทธ์ Dollar-cost Averaging (DCA) ที่ลงทุนเท่าๆ กันทุกเดือน เพื่อลดความเสี่ยงจากการซื้อในจังหวะที่ราคาสูงเกินไป
ขณะที่นักลงทุนสายจับจังหวะเศรษฐกิจ ก็อาจเลือก Sector Rotation หรือกลยุทธ์การลงทุนแบบปรับเปลี่ยนเวียนไปตามอุตสาหกรรมต่างๆ ที่มีศักยภาพ รวมถึง Tactical Move หรือการลงทุนที่ปรับเปลี่ยนตามจังหวะตลาด
ส่วนใครที่มองระยะยาวจริงๆ สามารถใช้ Thematic Long-term ลงทุนระยะยาวในเมกะเทรนด์ เช่น พลังงานสะอาด AI หรือสุขภาพ และถือยาว 5-10 ปี เพื่อสะสมผลตอบแทน
แต่ไม่ว่ากลยุทธ์จะดีแค่ไหน การลงทุนให้เติบโตอย่างสบายใจ ต้องมาพร้อมกับ Mindset ที่ถูกต้อง นักลงทุนควรมอง ETF เป็นการลงทุนระยะยาว ไม่หวังรวยเร็วเกินไป และควรกระจายความเสี่ยงให้ครอบคลุม รวมถึงการมีวินัย DCA ก็จะช่วยลดความผันผวน และสามารถลงทุนให้เติบโตระยะยาวได้อย่างสบายใจ
และที่สำคัญที่สุด คือ อย่าตามกระแสมากเกินไป เพราะการลงทุนที่ยั่งยืน ต้องอาศัยวิสัยทัศน์และความอดทน มากกว่าความตื่นเต้นระยะสั้น
ลงทุน ETF กับ Jitta Wealth
หากคุณอยากลงทุน ETF แบบ ‘ครบ จบ ง่าย’ ไม่ต้องเลือก ETF หรือจัดพอร์ตปรับสัดส่วนด้วยตัวเอง มีเทคโนโลยีมาดูแลให้อัตโนมัติอย่างมีหลักการ Jitta Wealth คือคำตอบ
กระจายความเสี่ยงลงทุนหุ้นทั่วโลกและตราสารหนี้ กับ Global ETF
นโยบาย Global ETF จัดพอร์ตลงทุนในหุ้นทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นหุ้นสหรัฐฯ หุ้นประเทศพัฒนาแล้วอื่นๆ และกลุ่มหุ้นในตลาดเกิดใหม่ต่างๆ ร่วมกับ ตราสารหนี้คุณภาพดีของสหรัฐฯ กว่า 2000 หลักทรัพย์
โดยลงทุนผ่าน ETF ชั้นนำ จัดพอร์ตตามหลักการ Modern Portfolio Theory ซึ่งได้รับการยอมรับในระดับสากล พร้อมคอยปรับพอร์ตบาลานซ์สัดส่วนให้อัตโนมัติ ให้พอร์ตคุณสามารถเติบโตได้ในทุกสถานการณ์ ดูรายละเอียดเพิ่มเติม
ลงทุนตลาดหุ้นชั้นนำ และกลุ่มเมกะเทรนด์อนาคตไกล กับ Thematic
คุณสามารถเลือกลงทุน ETF ที่อ้างอิงดัชนีตลาดหุ้นชั้นนำ อย่างสหรัฐฯ จีน ญี่ปุ่น อินเดีย เวียดนาม หรือฮ่อกง ร่วมกับธีมเมกะเทรนด์อนาคตไกล เช่น ธีมเทคโนโลยี ธีมไซเบอร์ซิเคียวริตี้ ธีมเกมและอีสปอร์ตเป็นต้น รวมกว่า 27 ธีมการลงทุน
ผ่านนโยบาย Thematic DIY โดยสามารถเลือกธีมต่างๆ มาจัดพอร์ตได้สูงสุด 5 ธีมต่อ 1 พอร์ต ซึ่งระบบจะดูแลปรับพอร์ตบาลานซ์สัดส่วนให้อัตโนมัติอีกที
หรือจะให้ AI เลือก 4 ธีมเมกะเทรนด์อนาคตไกล ที่มีศักยภาพเติบโตดีที่สุด ณ ขณะนั้น มาจัดพอร์ตให้พร้อมกับคอยดูแลปรับเปลี่ยนธีมที่ดีที่สุดให้ทุกๆ 3 เดือน ดูรายละเอียดเพิ่มเติม
ETF คือทางเลือกที่ตอบโจทย์นักลงทุนยุคใหม่ ไม่ว่าจะเป็นมือใหม่ คนที่มีเวลาน้อย หรือนักลงทุนระยะยาว ที่เน้นการสะสมผลตอบแทนอย่างมั่นคง ด้วยค่าธรรมเนียมที่ต่ำ โปร่งใส และซื้อขายง่าย ETF จึงเป็น ‘ประตูสู่การลงทุน’ ที่ทุกคนเข้าถึงได้
สนใจการลงทุนสามารถติดต่อเจ้าหน้าที่แนะนำการลงทุนของเราได้ที่ Line: @JittaWealth หรือ โทร 02-460-8888 ปรึกษาฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย