Skip to content - ข้ามไปที่เนื้อหา
Blog

ลงทุนระยะยาวจนยิ่งใหญ่แบบ Warren Buffett


Jitta Wealth

“Be fearful when others are greedy, and greedy when others are fearful.”

จงกลัวในยามที่คนอื่นโลภ และโลภในยามที่ทุกคนกลัว

นี่ไม่ใช่แค่คำคมเก๋ๆ เท่านั้น แต่มันคือปรัชญาการลงทุนที่ Warren Buffett ยึดถืออย่างเหนียวแน่นมาตลอดหลายทศวรรษ และช่วยให้เขากลายเป็นหนึ่งในคนที่รวยที่สุดในโลก

บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึกคำพูด ที่เป็นเหมือนแบบอย่างสำหรับนักลงทุน เพื่อนำไปปรับใช้ และกลายเป็นผู้ประสบความสำเร็จตัวจริง

หลักการเบื้องหลังคำคมที่เป็นมากกว่าคำพูด

หลักการนี้เน้นให้คุณมอง ‘ตรงข้าม’ กับตลาด ไม่ใช่เพื่อขัดแย้ง แต่เพื่อหาจังหวะที่คนส่วนใหญ่พลาด เพราะถูกครอบงำด้วยอารมณ์ ไม่ใช่เหตุผล

พูดง่ายๆ ก็คือ ‘อย่าตามฝูงชนแบบไม่ลืมหูลืมตา’ เวลาใครๆ โลภ อย่าพุ่งเข้าไปตามโดยไม่คิด เพราะราคาอาจจะแพงเกินจริงแล้ว

แต่ถ้าตลาดเริ่มกลัว ขายหุ้นกันราวกับโลกจะแตก นั่นอาจเป็นช่วงเวลาที่ของดีหลุดมาในราคาถูกให้เราได้ช้อน

ภาพของ Warren Buffett ที่มีโควตคำพูด “Be fearful when others are greedy, and greedy when others are fearful.” จงกลัวในยามที่คนอื่นโลภ และโลภในยามที่ทุกคนกลัว

ตัวอย่างการโลภในวันที่ทุกคนกลัวของ Warren Buffett

ย้อนกลับไปปี 2551 ตลาดหุ้นพังระเนระนาด จากวิกฤติซับไพรม์ นักลงทุนทั่วโลกตกใจจนเทขายทุกอย่างที่ขวางหน้า แต่ในขณะที่คนอื่นกลัวจนแทบไม่กล้ามองพอร์ต แต่ Warren Buffett กลับเข้าลงทุนอย่างมั่นใจ

Buffett ใช้จังหวะนั้นเข้าลงทุนในบริษัทใหญ่ๆ ที่พื้นฐานดี แต่ราคาหุ้นถูกมาก 

นั่นก็คือการลงทุนจำนวน 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ใน Goldman Sachs เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2551 โดยซื้อหุ้นบุริมสิทธิที่ให้ดอกเบี้ย 10% ต่อปี และได้รับสิทธิ์ในการซื้อหุ้นสามัญจำนวน 43.5 ล้านหุ้นที่ราคา 115 ดอลลาร์ ต่อหุ้น

(หุ้นสามัญ คือหุ้นปกติที่เราคุ้นเคย ส่วนหุ้นบุริมสิทธิ จะเป็นหุ้นที่ให้สิทธิพิเศษกว่าหุ้นสามัญ เช่น ได้รับปันผลก่อน และมีโอกาสได้รับเงินคืนก่อนถ้าบริษัทปิดกิจการ แต่ส่วนใหญ่ไม่มีสิทธิออกเสียง เหมาะกับคนที่อยากได้รายได้สม่ำเสมอและความเสี่ยงต่ำกว่าหุ้นทั่วไป) ​

ซึ่งต่อมาเมื่อ Goldman Sachs ไถ่ถอนหุ้นบุริมสิทธิในปี 2554 Berkshire Hathaway ได้รับเงินคืน 5,650 ล้านดอลลาร์สหรัฐ รวมถึงได้กำไรจากดอกเบี้ยและการขายหุ้นสามัญ ทำให้ Buffett ได้กำไรรวมจากดีลนี้อยู่ที่ประมาณ 3,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐเลยทีเดียว

อ้างอิงข้อมูลจาก Business Insider India และ Bloomberg

สิ่งที่ Warren Buffett รู้ แต่คนส่วนใหญ่มองไม่เห็น

Warren Buffett ไม่ได้มีลูกแก้ววิเศษ แต่เขามี ‘มายเซ็ตระยะยาว’ ที่ช่วยให้มองข้ามความกลัวในระยะสั้นไปได้ 

เขาเข้าใจว่ามูลค่าที่แท้จริงของบริษัทไม่ได้หายไปในชั่วข้ามคืน แค่คนส่วนใหญ่ ‘ตื่นกลัวเกินเหตุ’ นั่นคือเหตุผลที่เขากล้าซื้อหุ้นตอนตลาดกลัวสุดขีด เพราะเขารู้ว่านี่คือ ‘ช่วงลดราคา’ ของหุ้นดีๆ

วิธีนำปรัชญา มาปรับใช้

คุณต้องอย่าหลงกับ ‘กระแส’ ถ้าหุ้นไหนพุ่งแรง คนแห่ซื้อตาม อาจต้องชะลอคิดก่อนกระโดดเข้าไปร่วมวง และคุณต้อง ‘กล้าเมื่อคนอื่นกลัว’ แต่ไม่ใช้การกลับหูหลับตากล้า พุ่งเข้าซื้ออย่างเดียว

กล่าวคือถ้าหุ้นพื้นฐานดีแต่ราคาร่วงเพราะข่าวร้ายระยะสั้น ลองศึกษาเพิ่ม แต่อย่ารีบตัดสินว่ามัน ‘จบแล้ว’ วิเคราะห์ให้ถี่ถ้วนรอบคอบ ถ้ามั่นใจแล้วก็ลุยเลย

อีกอย่างที่ Buffett ทำมาเสมอคือ ‘คิดแบบเจ้าของธุรกิจ’ เหมือนที่ปู่ Buffett บอกว่า เวลาซื้อหุ้น เขาคิดเหมือนซื้อทั้งบริษัท ไม่ใช่แค่เก็งกำไร

การลงทุนที่ดี ไม่ใช่แค่ ‘ไว’ แต่ต้อง ‘นิ่ง’

เหมือนกับสถานการณ์ปัจจุบันที่ Trump ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าทั่วโลก เมื่อช่วงวันที่ 8 เมษายน ที่ผ่านมา ตลาดผันผวนทั่วโลก นักลงทุนพากันตกใจเทขายระเนระนาด แต่ไม่นานหลังจากประกาศชะลอ ตลาดหุ้นก็ดีดตัวกลับมา 

แม้สถานการณ์ยังไม่คลี่คลาย 100% แต่การ ‘นิ่ง’ และวิเคราะห์สถานการณ์ ทบทวนการลงทุนของตัวเองให้ดีก่อนตัดสินใจทำอะไร ก็เป็นตัวเลือกที่ดีกว่าเสมอ 

เหมือนกับที่ Buffett เคยแนะนำไว้ในจดหมายการประชุม Berkshire Hathaway ปี 2560 ซึ่งขณะนั้นตลาดหุ้นเผชิญกับความผันผวน มีภาวะตลาดตื่นตระหนกเป็นระยะๆ 

โดย Buffett แนะนำไว้ว่า

“ถึงแม้ว่าตลาดหุ้นจะร่วงเป็นเพียงช่วงสั้นๆ และเล็กน้อย หรือยาวนานและเจ็บปวด คำแนะนำถึงนักลงทุนก็ยังคงเหมือนเดิม คือยึดมั่นในแผนระยะยาวของคุณและลงทุนต่อไป”

หากคุณวางแผนลงทุนระยะยาว ก็ทำให้เหมือนกับ Warren Buffett ที่ไม่ได้ซื้อขายถี่ๆ แต่เลือกดีลที่มั่นใจจริงๆ แล้วถือยาวเป็นสิบๆ ปี นั่นแหละคือพลังของการลงทุนแบบระยะยาวที่แท้จริง

ถ้าคุณเข้าใจความหมายของคำว่า ‘กลัวตอนคนโลภ โลภตอนคนกลัว’ ได้จริงๆ คุณก็จะสามารถเปลี่ยนจาก ‘นักเล่นหุ้น’ ไปเป็น ‘นักลงทุนตัวจริง’ ที่ประสบความสำเร็จได้เหมือนกันครับ