Skip to content - ข้ามไปที่เนื้อหา
Blog

อัปเดตล่าสุด ตลาดหุ้นเวียดนามยังน่าลงทุน?


Jitta Ranking

ไฮไลต์

  • เวียดนามเป็นประเทศที่ถูกจับตามองจากนักลงทุนทั่วโลก ด้วยเศรษฐกิจที่เติบโตต่อเนื่อง 
  • ข้อได้เปรียบทางด้านประชากร แรงงานที่มีต้นทุนต่ำ ดึงดูดเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ (FDI) เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
  • ตลาดหุ้นเวียดนามเตรียมยกระดับเป็น ‘ตลาดเกิดใหม่’ (Emerging Market) ภายในปี 2568 หากสำเร็จจะดึงดูดเงินลงทุนจากกองทุนต่างชาติอย่างมีนัยสำคัญ
  • แม้ตลาดหุ้นเวียดนามจะมีความเสี่ยงจากปัจจัยระยะสั้น และผลกระทบภายนอก เช่นสงครามการค้า แต่โดยภาพรวมยังเป็นโอกาสที่ดีสำหรับนักลงทุนที่มองหาการเติบโตระยะยาวในต่างประเทศ

เวียดนาม เป็นหนึ่งในประเทศที่ถูกจับตามองมากที่สุดในภูมิภาคอาเซียน จากการเติบโตของเศรษฐกิจที่รวดเร็ว แรงขับเคลื่อนจากเงินลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ (FDI) และการพัฒนาตลาดทุนอย่างจริงจัง แต่คำถามที่หลายคนอาจสงสัยคือ…ตลาดหุ้นเวียดนาม ยังน่าลงทุนอยู่หรือไม่?

เราจะพาไปสำรวจปัจจัยเศรษฐกิจ โครงสร้างตลาดหุ้น และแนวโน้มในอนาคต เพื่อหาคำตอบว่าที่นี่… คือโอกาส หรือความเสี่ยง? 

ภาพ 3 ปัจจัยชี้เวียดนามยังน่าลงทุน 1. เศรษฐกิจเติบโตต่อเนื่อง ตัวเลข GDP ของเวียดนามรายไตรมาสโตติดต่อกันแล้วกว่า 14 ไตรมาส 2. เนื้อหอม ต่างชาติแห่ลงทุนเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง 3. รัฐบาลเร่งพัฒนาตลาดหุ้นมีแนวโน้มถูกยกระดับเป็น ‘ตลาดเกิดใหม่’ (Emerging Market) ในปีนี้ สรุปว่าแม้จะผันผวนระยะสั้น แต่ตลาดหุ้นเวียดนามยังมีโอกาสเติบโตสูงในระยะยาว

เวียดนาม ดาวรุ่งแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

เวียดนามเป็นประเทศที่มีอัตราการเติบโตของ GDP เฉลี่ยสูงถึง 6-7% ต่อปี ต่อเนื่องมายาวนาน โดยเฉพาะในปี 2567 ที่ผ่านมา เวียดนามเติบโตถึง 7.09% สูงกว่าเป้าหมายของรัฐที่ 6-6.5% และสูงกว่าปี 2566 ที่อยู่ที่ 5.05% แถมยังเติบโตต่อเนื่องรายไตรมาสมากว่า 14 ไตรมาสติดต่อกัน

แรงผลักดันหลักมาจากอุตสาหกรรมการผลิต เทคโนโลยี และอิเล็กทรอนิกส์ ที่ดึงดูด เงินลงทุนจากต่างชาติ (FDI) อย่างต่อเนื่อง ด้วยจุดเด่นเรื่อง ต้นทุนแรงงานต่ำ ค่าแรงขั้นต่ำเฉลี่ยเพียง 5,000-7,500 บาท/เดือน ต่ำกว่าจีนเกือบครึ่ง ทำให้เวียดนามกลายเป็นฐานการผลิตสำคัญของโลก

ตลาดหุ้นเวียดนาม ลุ้นสถานะ Emerging Market ในปี 2568

หนึ่งในประเด็นที่น่าสนใจคือ เวียดนามอาจได้สถานะ ‘ตลาดเกิดใหม่’ (Emerging Market) ภายในปี 2568 จากการจัดอันดับของ FTSE Russell และ MSCI

นี่ไม่ใช่แค่เรื่องชื่อเรียก แต่หมายถึงโอกาสที่จะมี เงินทุนจากกองทุนต่างชาติไหลเข้ามหาศาล โดยเฉพาะจากกองทุน Passive ที่ลงทุนเฉพาะในดัชนีของประเทศที่ได้สถานะ Emerging Market เท่านั้น

รัฐบาลเวียดนามจึงเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของตลาดทุน ทั้งระบบหลังบ้าน ระบบ CCP การลดข้อจำกัดของนักลงทุนต่างชาติ รวมถึงความโปร่งใสในการรายงานข้อมูล เพื่อผ่านเกณฑ์การจัดอันดับดังกล่าว

หากการจัดอันดับสำเร็จ ตลาดหุ้นเวียดนามจะยิ่งได้รับความสนใจ และมูลค่าตลาดอาจเติบโตแบบก้าวกระโดด

ความท้าทายที่ยังต้องจับตา

แม้เวียดนามจะเติบโตได้ดี แต่ก็ยังมี ความเสี่ยงจากภายนอก ที่ไม่ควรมองข้าม เช่น ความไม่แน่นอนจากสงครามการค้าระหว่าง จีน-สหรัฐฯ ซึ่งเวียดนามเองมีการส่งออกเกือบ 30% ไปยังสหรัฐฯ

แม้จะมีความพยายามเจรจาการค้าระหว่างสองประเทศ โดยเฉพาะการปรับลดภาษีนำเข้าที่เคยสูงถึง 46% แต่ก็ยังมีความเปราะบางอยู่ ทำให้ในระยะสั้นตลาดหุ้นเวียดนามจะยังคงผันผวน

พื้นฐานประชากรและแรงงาน: จุดแข็งระยะยาว

เวียดนามมีประชากรราว 101.5 ล้านคน และมีสัดส่วนผู้ที่อยู่ในวัยแรงงาน (15-64 ปี) มากถึง 57% ของประชากรทั้งหมด นอกจากนี้ยังมีอัตราการศึกษาสูงถึง 95-96% ตามข้อมูลจาก Statista (2566)

นั่นหมายถึงประเทศนี้มีฐานแรงงานที่มีคุณภาพและต้นทุนต่ำ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อการดึงดูดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ (FDI) และสร้างความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว

ตลาดหุ้นเวียดนามในมุมมองนักลงทุนไทย

สำหรับนักลงทุนที่ต้องการกระจายพอร์ตไปยัง ประเทศที่ยังอยู่ในช่วงเติบโต (Growth Stage) และมีโอกาสรับแรงบวกจากสถานะ Emerging Market ตลาดเวียดนามคือเป้าหมายที่ไม่ควรมองข้าม

อย่างไรก็ตาม ต้องพิจารณาความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์ และความผันผวนระยะสั้น ควบคู่ไปด้วย อาจเหมาะกับผู้ที่มีมุมมองการลงทุนระยะยาว และเข้าใจการปรับพอร์ตตามช่วงเวลา

บทสรุป: เวียดนาม ยังน่าลงทุนหรือไม่?

เวียดนามยังคงเป็นประเทศที่มีศักยภาพสูงในการเติบโต ด้วยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง ต้นทุนการผลิตต่ำ แรงงานคุณภาพ และการเตรียมยกระดับตลาดหุ้นสู่ Emerging Market ในปี 2568

แม้มีความเสี่ยงระยะสั้นจากปัจจัยภายนอก แต่ในระยะยาว ตลาดหุ้นเวียดนามยังคงน่าจับตาในฐานะ ‘โอกาส’ สำหรับนักลงทุนที่มองหาการเติบโตในต่างประเทศ