เงินบาทแข็งค่าส่งท้ายปี ความผันผวนระยะสั้นที่อาจทำให้นักลงทุนระยะยาวพลาดโอกาสทอง
ไฮไลต์
- เงินบาทแข็งส่งท้ายปีทำให้นักลงทุนหลายคนเห็นตัวเลขพอร์ตต่างประเทศลดลงหรือติดลบ แต่ส่วนใหญ่เป็นผลจากค่าเงิน ไม่ใช่มูลค่าจริงของสินทรัพย์
- การแข็งค่าของเงินบาทรอบนี้เกิดจากหลายปัจจัยพร้อมกัน ทั้งดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า เงินทุนไหลเข้าเอเชีย ราคาทองคำ และความคาดหวังต่อทิศทางดอกเบี้ยสหรัฐฯ
- สถิติย้อนหลัง 10 ปีชี้ชัดว่า ค่าเงินบาทผันผวนเป็นเรื่องปกติ และเป็นเพียงส่วนหนึ่งของวัฏจักรเศรษฐกิจโลก
- บาทแข็งไม่ได้แปลว่าพอร์ตแย่ลง แต่ทำให้ตัวเลขในพอร์ตขยับชั่วคราวจากอัตราแลกเปลี่ยน
- สิ่งที่นักลงทุนระยะยาวควรระวังมากที่สุดไม่ใช่ความผันผวนของค่าเงิน แต่คือการตัดสินใจขายโดยไม่ได้ไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน
- ออกจากตลาดวันนี้ อาจพลาดโอกาสทองในระยะยาว เพราะตลาดทุนขับเคลื่อนด้วยการเติบโตของธุรกิจ ไม่ใช่ค่าเงินระยะสั้น
ส่งท้ายปี 2568 ด้วยภาพที่หลายคนจับตา เมื่อค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างชัดเจน หลังไต่ระดับต่อเนื่องในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา จนล่าสุดเคลื่อนไหวบริเวณ 31.15 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ (ข้อมูล ณ วันที่ 22 ธันวาคม 2568)
เหตุการณ์นี้ทำให้นักลงทุนจำนวนไม่น้อยเห็นตัวเลขพอร์ตต่างประเทศลดลงหรือติดลบ แม้สินทรัพย์ที่ถืออยู่ไม่ได้ปรับมูลค่าลงจริง แต่เป็นผลกระทบจากการแปลงกลับมาเป็นเงินบาทช่วงที่เงินบาทแข็งค่า เกิดเป็นคำถามว่า ‘ควรปรับพอร์ตไหม’ หรือ ‘ควรขายออกมารอหรือเปล่า’
สิ่งสำคัญที่ต้องเข้าใจก่อนตัดสินใจคือ การเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทในช่วงสั้นๆ แบบนี้ ไม่ควรเป็นตัวกำหนดหรือเปลี่ยนแปลงแผนการลงทุนระยะยาว เพราะพอร์ตไม่ได้ขาดทุนจากมูลค่าจริงของสินทรัพย์ แต่จากอัตราแลกเปลี่ยนที่เปลี่ยนทิศชั่วคราวเท่านั้น
และบทความนี้จะพาไปทำความเข้าใจว่า ค่าเงินส่งผลต่อพอร์ตอย่างไร เหตุใดความผันผวนระยะสั้นจึงไม่ใช่เหตุผลให้หยุดลงทุน และทำไมนักลงทุนระยะยาวต้องมองภาพใหญ่ มากกว่าตัวเลขในวันนี้
สรุปเหตุการณ์เงินบาทแข็งค่าส่งท้ายปี
ค่าเงินบาทปรับแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องและเคลื่อนไหวบริเวณ 31.15 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ (ข้อมูล ณ วันที่ 22 ธันวาคม 2568) ซึ่งถือเป็นระดับแข็งค่าที่เด่นชัดเมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้า
ปัจจัยสำคัญที่หนุนเงินบาทรอบนี้มาจากหลายด้านพร้อมกัน ไม่ว่าจะเป็นทิศทางดอลลาร์อ่อนค่า กระแสเงินทุนไหลกลับเข้าภูมิภาคเอเชีย ความคาดหวังต่อทิศทางดอกเบี้ยสหรัฐฯ รวมถึงปัจจัยเฉพาะบางช่วงอย่าง การเคลื่อนไหวของราคาทองคำในตลาดโลก
ในช่วงที่ราคาทองคำปรับตัวขึ้น ไทยซึ่งเป็นประเทศที่มีการค้าทองคำในระดับสูง มีการขายทองและนำเงินดอลลาร์กลับมาแลกเป็นเงินบาท ส่งผลให้เกิดแรงหนุนต่อค่าเงินบาทในระยะสั้นเพิ่มเติม นอกเหนือจากปัจจัยด้านเงินทุนและค่าเงินดอลลาร์
นักวิเคราะห์จำนวนมากมองว่า การแข็งค่าของเงินบาทรอบนี้เป็นภาพสะท้อนของวัฏจักรค่าเงินโลก มากกว่าปัจจัยพื้นฐานเฉพาะของไทยเพียงอย่างเดียว ซึ่งหมายความว่าทิศทางค่าเงินบาทยังสามารถเปลี่ยนแปลงได้ หากความเชื่อมั่นของตลาดการเงินโลกหรือทิศทางดอกเบี้ยสหรัฐฯ เปลี่ยนไป
สถานการณ์เงินบาทแข็งส่งท้ายปีจึงเป็นภาพที่สอดคล้องกับหลายประเทศในภูมิภาคเอเชียที่ค่าเงินแข็งค่าขึ้นพร้อมกัน โดยตลาดยังคงจับตาสัญญาณจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ค่าเงินดอลลาร์ และความผันผวนของสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำอย่างใกล้ชิด (ที่มา: ประชาชาติธุรกิจ)
เปิดสถิติ 10 ปี ค่าเงินบาทผันผวนเป็นเรื่องปกติ
อย่างไรก็ตาม เมื่อมองย้อนหลัง 10 ปี (22 ธันวาคม 2558 – 22 ธันวาคม 2568) จะเห็นชัดว่า ค่าเงินบาทไม่ได้เคลื่อนไหวในทิศทางเดียว แต่แกว่งขึ้นลงตามวัฏจักรเศรษฐกิจโลกเป็นระยะต่อเนื่อง
ปัจจัยที่ทำให้ค่าเงินเปลี่ยนทิศมีหลากหลาย ตั้งแต่นโยบายการเงินของสหรัฐฯ ทิศทางเงินทุนระหว่างประเทศ ไปจนถึงความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจในประเทศและต่างประเทศ
ในหลายช่วงเงินบาทอ่อนค่าลงแรง เช่น ช่วงสงครามการค้าสหรัฐฯ กับจีน และช่วงการระบาดของ Covid-19 ซึ่งนักลงทุนทั่วโลกลดความเสี่ยงและหันไปถือเงินดอลลาร์มากขึ้น ส่งผลให้ค่าเงินสกุลอื่นๆ อ่อนค่าลงโดยธรรมชาติ รวมถึงเงินบาทด้วย
แต่อีกหลายช่วงเงินบาทกลับแข็งค่าขึ้นอย่างชัดเจน เช่น ช่วงเศรษฐกิจฟื้นตัวและเม็ดเงินทุนต่างชาติไหลกลับเข้าตลาดเกิดใหม่ รวมถึงปัจจุบันที่เงินบาทแข็งเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ท่ามกลางทิศทางดอลลาร์อ่อนค่าและความคาดหวังต่อเศรษฐกิจไทยในระยะถัดไป
ภาพรวมทั้ง 10 ปีจึงสะท้อนสิ่งสำคัญอย่างหนึ่ง ค่าเงินบาทขึ้นลงตามปัจจัยรอบด้านเสมอ และการเคลื่อนไหวในช่วงสั้นๆ วันนี้ เป็นเพียงอีกหนึ่งช่วงของวัฏจักรค่าเงินที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้งในอดีต และจะเกิดขึ้นอีกในอนาคต

บาทแข็ง ‘ไม่ได้แปลว่า’ พอร์ตลงทุนของคุณแย่ลง
แม้ค่าเงินบาทจะปรับขึ้นลงอยู่ตลอดเวลา แต่ตลาดหุ้นโลกยังสามารถสร้างผลตอบแทนระยะยาวได้อย่างต่อเนื่อง เพราะพอร์ตต่างประเทศสะท้อนทั้ง ‘มูลค่าของสินทรัพย์จริง’ และ ‘ผลต่างของค่าเงิน’ ซึ่งส่วนหลังนี่เองที่มักทำให้ตัวเลขในพอร์ตขยับขึ้นลงระยะสั้น แม้สินทรัพย์ที่ถืออยู่ไม่ได้มีปัญหาใดๆ เลยก็ตาม
ในช่วงที่เงินบาทแข็ง มูลค่าพอร์ตเมื่อแปลงกลับเป็นเงินบาทอาจดูลดลงทันที ทั้งที่ราคาหุ้นหรือกองทุนในสกุลเงินต่างประเทศไม่ได้ลดลงจริง นี่คือกลไกตามธรรมชาติของอัตราแลกเปลี่ยน ไม่ใช่สัญญาณว่าพอร์ต ‘แย่ลง’ หรือควรหยุดลงทุน
และเมื่อค่าเงินบาทอ่อนค่ากลับมา ตัวเลขที่ลดลงเพราะค่าเงินก็มีโอกาสฟื้นคืนขึ้นมาได้เช่นกัน ซึ่งเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในรอบเศรษฐกิจที่ผ่านมา และเป็นเหตุผลว่าทำไมนักลงทุนระยะยาวจึงไม่ควรมองค่าเงินเพียงวันใดวันหนึ่งเป็นตัวตัดสินทิศทางพอร์ตทั้งหมด
ท้ายที่สุด สิ่งที่ขับเคลื่อนผลตอบแทนจริงๆ ในตลาดทุนโลกคือกำไร การเติบโตของธุรกิจ และนวัตกรรม ไม่ใช่ความผันผวนของค่าเงินในช่วงสั้นๆ ซึ่งโดยพื้นฐานแล้วเป็นแค่ ‘เสียงรบกวน’ มากกว่า ‘สัญญาณเตือน’ สำหรับนักลงทุนที่มองไกลกว่านั้น
สิ่งที่นักลงทุนระยะยาวควรโฟกัสตอนนี้
เมื่อเข้าใจแล้วว่าเงินบาทแข็งเป็นเพียงหนึ่งในรอบของวัฏจักรค่าเงิน คำถามสำคัญถัดมาคือ นักลงทุนควร ‘ทำอะไร’ กับสถานการณ์นี้ คำตอบอาจไม่ใช่การขยับพอร์ตบ่อยขึ้น แต่คือการกลับไปทบทวนพื้นฐานของแผนการลงทุนที่ตั้งไว้ตั้งแต่ต้น
สำหรับพอร์ตการลงทุนระยะยาว ค่าเงินเป็นปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ และยากต่อการคาดเดาในระยะสั้น การตัดสินใจจากความผันผวนช่วงสั้นจึงมักนำไปสู่การพลาดโอกาส มากกว่าการลดความเสี่ยงอย่างแท้จริง
สิ่งที่สำคัญกว่าคือการดูว่า พอร์ตถูกออกแบบให้เหมาะกับเป้าหมายหรือไม่ กระจายความเสี่ยงเพียงพอหรือยัง และยังสอดคล้องกับระยะเวลาการลงทุนของเราหรือเปล่า
ในหลายกรณี นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จไม่ได้ชนะเพราะเลือกจังหวะถูกทุกครั้ง แต่เพราะ ‘ไม่ออกจากตลาด’ ในช่วงที่ตัวเลขผันผวน การอยู่ต่อในช่วงที่ตลาดและค่าเงินแกว่ง จึงเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางการสร้างผลตอบแทนในระยะยาว
ออกจากตลาดวันนี้ อาจพลาดโอกาสทอง
หากย้อนดูประวัติศาสตร์ตลาดทุน จะพบว่าช่วงเวลาที่นักลงทุนรู้สึกไม่สบายใจหรือกังวลที่สุด มักเป็นช่วงเดียวกับที่ตลาดกำลังสร้างฐานเพื่อการเติบโตในระยะถัดไป การถอนเงินหรือหยุดลงทุนในช่วงนี้ อาจช่วยลดความผันผวนและความกังวลในระยะสั้น แต่ก็อาจแลกมาด้วยโอกาสสำคัญในระยะยาวโดยไม่รู้ตัว
ยิ่งสำหรับการลงทุนต่างประเทศ ซึ่งมีทั้งปัจจัยของตลาดและค่าเงินเข้ามาเกี่ยวข้อง ตัวเลขในพอร์ตจึงอาจเหวี่ยงแรงกว่าที่นักลงทุนคุ้นเคยในบางช่วง อย่างไรก็ตาม ความผันผวนเหล่านี้มักเกิดขึ้นเป็นรอบ และเมื่อค่าเงินเข้าสู่วัฏจักรถัดไป ผลกระทบที่เคยกดตัวเลขพอร์ตไว้ก็สามารถคลี่คลายลงได้เช่นกัน
ในมุมของนักลงทุนระยะยาว สิ่งที่ควรระวังมากที่สุดจึงไม่ใช่ความผันผวนของค่าเงินหรือการแกว่งตัวระยะสั้นของตลาด แต่คือการตัดสินใจผิดพลาดที่ทำให้ต้อง ‘ออกจากแผนการลงทุน’ ก่อนถึงเป้าหมายที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่ต้น เพราะผลตอบแทนในอนาคตไม่ได้ถูกกำหนดด้วยค่าเงินวันนี้ แต่ถูกกำหนดด้วยการเติบโตของสินทรัพย์ในระยะยาว
อย่าให้ปัจจัยระยะสั้น เปลี่ยนทิศทางพอร์ต
เงินบาทแข็งค่าส่งท้ายปี อาจทำให้ตัวเลขในพอร์ตต่างประเทศดูไม่สวยในช่วงสั้น แต่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงคุณภาพของสินทรัพย์ ไม่ได้ลดศักยภาพการเติบโตของตลาดโลก และไม่ได้ทำให้เป้าหมายระยะยาวของนักลงทุนเปลี่ยนไป
สุดท้ายแล้ว การลงทุนคือเกมของเวลา ไม่ใช่เกมของการคาดเดาระยะสั้น พอร์ตที่ยังเดินหน้าต่อ คือพอร์ตที่ยังเปิดโอกาสให้อนาคตเติบโต