S&P 500 vs กองทุนรวม vs ETF ต่างกันอย่างไร? แบบไหนเหมาะกับคุณ
ไฮไลต์
- นักลงทุนมักสับสนระหว่างการลงทุน S&P 500 ลงทุน ETF และกองทุนรวม ทั้งที่ทั้งสามอย่างนี้เชื่อมโยงกันด้วยแนวคิด ‘การลงทุนแบบกระจายความเสี่ยง’
- S&P 500 เป็นดัชนีหุ้นที่สะท้อนผลตอบแทนของบริษัทใหญ่ 500 แห่งในสหรัฐฯ ไม่สามารถซื้อขายได้โดยตรง แต่ลงทุนผ่าน ETF หรือกองทุนรวมที่อ้างอิงดัชนีได้
- กองทุนรวม (Mutual Fund) คือการลงทุนผ่านผู้จัดการกองทุนมืออาชีพ ซื้อขายได้วันละครั้งที่ราคา NAV เหมาะกับผู้ที่ไม่มีเวลา และต้องการให้ผู้เชี่ยวชาญดูแลพอร์ตแทน
- ETF (Exchange-Traded Fund) คือ กองทุนรวมที่ซื้อขายได้เหมือนหุ้น มีความยืดหยุ่นสูง ค่าธรรมเนียมต่ำ เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการติดตามตลาดและจัดการพอร์ตเอง
- ไม่ว่าคุณจะเลือกลงทุนแบบไหน สิ่งสำคัญคือ การจัดพอร์ตให้สอดคล้องกับเป้าหมาย และความเสี่ยงที่คุณรับได้
ในช่วงที่ตลาดหุ้นขึ้นลงผันผวน นักลงทุนที่เพิ่งเริ่มต้นหลายคนมักสับสนและสงสัยว่าควรเลือกลงทุนใน S&P 500 กองทุนรวม หรือ ETF จึงจะตอบโจทย์ที่สุด
คำตอบแท้จริงคือ ‘ไม่มีสูตรตายตัว’ การตัดสินใจขึ้นอยู่กับปัจจัยเฉพาะตัวของแต่ละบุคคล ไม่ว่าจะเป็นแผนการลงทุน รายได้ และระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
หากคุณตอบคำถามเหล่านี้ได้ คุณก็จะรู้ว่าควรเลือกวิธีการลงทุนใด บทความนี้จะมาไขข้อข้องใจถึงความแตกต่างระหว่าง S&P 500 กองทุนรวม และ ETFอย่างละเอียดว่าแบบไหนเหมาะกับใคร
S&P 500 (Standard & Poor’s 500)
S&P 500 คือ ดัชนี ที่รวมบริษัทที่ใหญ่ที่สุด 500 แห่งในสหรัฐฯ บริษัทเหล่านี้ถือเป็นบริษัทใหญ่ระดับโลก มีรายได้ กำไร สินค้า และบริการที่ครอบคลุมหลากหลาย
การลงทุนใน S&P 500 หมายถึงการที่คุณได้ซื้อหุ้นของบริษัททั้งหมดในดัชนีนั้น คุณจะกลายเป็นผู้ถือหุ้นและมีส่วนแบ่งในรายได้และกำไรของบริษัทเหล่านั้น ในระยะยาว หากหุ้นของบริษัท 500 แห่งนี้เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ พอร์ตของคุณก็จะเติบโตขึ้นตาม
ผลตอบแทนระยะยาว: โดยทั่วไปแล้ว S&P 500 ให้ผลตอบแทนประมาณ 6-8% ต่อปี หรือในบางช่วงเวลาอาจสูงถึง 10% ต่อปี (ผลตอบแทนเฉลี่ยระยะ 10 ปีที่ผ่านมา (2014-2024) อยู่ที่ประมาณ 12.2% ต่อปี)
การปรับตัวของดัชนี: ดัชนี S&P 500 ไม่ได้ประกอบด้วย 500 บริษัทเดิมตลอดไป หากบริษัทใดไม่เติบโตหรือย่ำแย่ลง ก็จะถูกคัดออก และบริษัทใหม่ที่มีนวัตกรรมและเติบโตอย่างรวดเร็ว มี Market Cap. (มูลค่าตลาด) เติบโตสูงกว่าก็จะเข้ามาแทนที่ ด้วยเหตุนี้ การลงทุนใน S&P 500 จึงทำให้คุณเป็นเจ้าของบริษัทที่ดีที่สุดในโลกอยู่เสมอ
ข้อจำกัด: การลงทุนตรงทำได้ยาก
ในทางปฏิบัติ คนทั่วไปไม่สามารถลงลงทุนใน S&P 500 ได้แบบตรงๆ เนื่องจาก
- ต้องใช้เงินจำนวนมากในการซื้อหุ้น 500 ตัว
- ต้องจัดการน้ำหนักการซื้อตาม Market Cap. (มูลค่าตลาด) ของแต่ละหุ้น
- ต้องคอยติดตามการเปลี่ยนแปลง Market Cap. และการรีวิวหุ้นเข้าออกของดัชนีอยู่ตลอดเวลา
การลงทุนตรงนั้นทำได้แต่ยาก และคนทั่วไปมักไม่ทำกัน ดังนั้น เพื่อให้สามารถลงทุนตามกลยุทธ์ S&P 500 ได้ จึงต้องอาศัย กองทุนรวม (Mutual Fund) หรือ ETF เป็น ‘ยานพาหนะ’ หรือวิธีที่จะช่วยให้คุณลงทุนได้
(รู้จัก S&P 500 มากขึ้นได้ในบทความ: S&P 500 คืออะไร? ทำไมคนทั่วโลกเลือกลงทุนในดัชนีนี้)
กองทุนรวม (Mutual Fund)
กองทุนรวม คือ การที่นักลงทุนหลายคนรวมเงินกันเป็น ‘กองทุน’ แล้วนำเงินนั้นไปลงทุนตามนโยบายที่กำหนด โดยมี ‘ผู้จัดการกองทุน’ บริหารจัดการให้
ตัวอย่างการลงทุนใน S&P 500: ผู้จัดการกองทุนจะนำเงินรวมไปซื้อหุ้น 500 ตัวใน S&P 500 ให้ครบถ้วนตามสัดส่วนที่กำหนด เมื่อดัชนีมีการปรับหุ้นเข้าออกหรือปรับสัดส่วน กองทุนก็จะปรับตามโดยอัตโนมัติ ผู้ลงทุนจึงไม่ต้องทำอะไรเลย
ข้อดีและข้อจำกัดของกองทุนรวม
- ผลตอบแทนที่ใกล้เคียง: คุณจะได้ผลตอบแทนที่ ใกล้เคียง กับ S&P 500
- ค่าธรรมเนียม: ผลตอบแทนจะไม่ได้เท่ากับการลงทุนตรงในดัชนี เนื่องจากกองทุนมี ค่าธรรมเนียมการบริหารจัดการ ซึ่งในประเทศไทยสำหรับกองทุน S&P 500 อาจอยู่ระหว่าง 0.3% ถึง 1% ค่าธรรมเนียมนี้คือส่วนของผลตอบแทนที่คุณจะเสียไป
- การวัดผล: กองทุนรวมจะสรุปมูลค่าทรัพย์สิน หรือที่เรียกว่า NAV (Net Asset Value) วันละ 1 ครั้ง ทำให้เรารู้มูลค่าเงินลงทุน ณ สิ้นวัน
- ความเหมาะสม: เหมาะสำหรับคนที่ต้องการลงทุนในทรัพย์สินต่างๆ (เช่น S&P 500 ทองคำ หุ้นเทคโนโลยี) แต่ไม่ต้องการวุ่นวายกับการเลือกหรือบริหารจัดการการซื้อขายด้วยตนเอง และต้องการพนักงานให้คำแนะนำ
(รู้จักกองทุนรวมมากขึ้นได้ในบทความ: คู่มือกองทุนรวมสำหรับมือใหม่ 2025 สรุปครบ เริ่มลงทุนได้เลย)
ETF (Exchange-Traded Fund)
ETF คือ กองทุนที่ซื้อขายในตลาดหุ้น ETF ถือเป็นนวัตกรรมล่าสุดสำหรับคนที่ต้องการผลตอบแทนที่ดีและมากกว่ากองทุนรวม
ETF มีลักษณะเหมือนกองทุนรวม คือ มีการรวมเงินกันเพื่อไปซื้อขายหุ้น ดังนั้น ETF ที่ลงใน S&P 500 จึงมีวิธีการบริหารจัดการเหมือนกับกองทุนรวมที่ลงใน S&P 500
ข้อดีของ ETF ที่เหนือกว่ากองทุนรวม
- ซื้อขายแบบ Real Time: ETF สามารถซื้อขายได้แบบ Real Time ในตลาดหุ้น ในขณะที่กองทุนรวมรู้มูลค่า NAV เมื่อสิ้นวัน แต่ ETF มีราคาแบบ Real Time ทำให้ผู้ลงทุนตัดสินใจซื้อขายได้ทันที
- ความหลากหลายและการกระจายการลงทุนสูง: ETF มีความหลากหลายมาก บางกรณีอาจมากกว่ากองทุนรวม ช่วยให้คุณสามารถสร้างพอร์ตการลงทุนที่กระจายความเสี่ยงได้ทั่วโลก โดยนำ ETF หลายตัวมาประกอบกัน (เช่น S&P 500 ผสมกับพันธบัตรสหรัฐฯ หรือ ETF กลุ่มประเทศกำลังพัฒนา) ทำให้พอร์ตมีความยืดหยุ่นกว่ากองทุนรวม
- ค่าธรรมเนียมต่ำกว่า: ต้นทุนในการสร้างและบริหารจัดการ ETF นั้นต่ำกว่ากองทุนรวม ส่งผลให้ ค่าธรรมเนียมของ ETF ถูกกว่ากองทุนรวมค่อนข้างมาก ยกตัวอย่าง ค่าธรรมเนียม ETF ที่ลง S&P 500 ในอเมริกาอยู่ที่ 0.03% ซึ่งต่ำกว่ากองทุนรวมในไทยที่ 0.3% ถึง 10 เท่า นี่คือเหตุผลที่ ETF ได้รับความนิยมสูงมากและเงินจำนวนมากไหลออกจากกองทุนรวมมาสู่ ETF ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา
(รู้จัก ETF มากขึ้นได้ในบทความ: ETF คืออะไร? ลงทุน ETF แบบไหนดีต่อใจ ได้กำไรจริง)

สรุป: S&P 500 คือกลยุทธ์ ส่วน ETF และ กองทุนรวม คือพาหนะ
S&P 500 คือ แนวทางหรือกลยุทธ์การลงทุน ที่ในระยะยาวจะได้ผลตอบแทน 6-8% ต่อปี ส่วนกองทุนรวมและ ETF คือ ‘พาหนะ’ ที่จะนำพาคุณไปสู่เป้าหมายตามกลยุทธ์นั้น
หากเปรียบเทียบกัน ETF จึงเป็นยานพาหนะที่เร็วกว่ากองทุนรวม เนื่องจากค่าธรรมเนียมถูกกว่า ซื้อขายง่าย จัดพอร์ตสะดวกสบายกว่า
เลือกอย่างไรให้เหมาะกับตัวคุณ?
การลงทุนในดัชนี S&P 500 โดยตรงเป็นไปได้ยากเนื่องจากความยุ่งยาก และเงินทุนที่สูง สิ่งที่คุณควรทำคือการเลือก ‘พาหนะ’ ที่ไปลงใน S&P 500
| ประเภทการลงทุน | เหมาะสำหรับใคร | จุดเด่น | จุดด้อย |
| กองทุนรวม | ผู้ที่ต้องการลงทุนแบบสบายๆ ไม่ต้องการติดตามราคามากนัก หรือผู้ที่เพิ่งเริ่มลงทุนและต้องการคำแนะนำจากตัวแทน | มีผู้จัดการกองทุนและพนักงานคอยดูแลและให้คำแนะนำ | ค่าธรรมเนียมสูงกว่า |
| ETF | ผู้ที่เริ่มมีความรู้ และสามารถเลือกการลงทุนด้วยตนเองได้ ต้องการสร้างพอร์ตที่กระจายความเสี่ยงทั่วโลก และต้องการความสะดวกสบายในการซื้อขาย | ค่าธรรมเนียมต่ำมาก ซื้อขายง่าย สะดวกสบาย และยืดหยุ่นในการจัดพอร์ต | ต้องมีความรู้ในการตัดสินใจเลือกและจัดพอร์ตเอง |
สิ่งสำคัญคือการจัดการความเสี่ยง
การลงทุนที่ดีไม่ได้ขึ้นอยู่กับการได้ผลตอบแทนสูงที่สุดเพียงอย่างเดียว แต่ต้องเข้าใจว่าการลงทุนทุกอย่างมีความเสี่ยงมาด้วยเสมอ หากคุณต้องการผลตอบแทนสูงแต่คุณนอนไม่หลับหรือไม่สามารถรับความเสี่ยงได้ นั่นหมายความว่าการลงทุนนั้นไม่ดีต่อคุณ
แม้ S&P 500 จะให้ผลตอบแทนเฉลี่ยที่ดีในระยะยาว แต่ก็มีความผันผวนสูงมาก ยกตัวอย่างเช่น ในช่วง Covid-19 ดัชนี S&P 500 เคยตกถึง 30-40% ภายในระยะเวลาไม่ถึง 2 เดือน หากคุณทนการขาดทุนเช่นนี้ไม่ได้ การลงทุนใน S&P 500 แบบ 100% ของพอร์ตก็อาจไม่เหมาะกับคุณ และคุณต้องเพิ่มการกระจายความเสี่ยง
เพราะการจะได้ผลตอบแทนการลงทุนที่ดี สิ่งสำคัญคือ การจัดพอร์ต และการกระจายความเสี่ยงที่ดี ซึ่งจะทำให้พอร์ตของคุณอยู่รอดปลอดภัยในทุกสถานการณ์
เริ่มต้นลงทุนวันนี้กับ Jitta Wealth
หากคุณมีแผนการเงินที่ชัดเจนแล้ว และต้องการให้เทคโนโลยีสร้างระบบการลงทุนที่ดีโดยไม่ต้องคิดมาก สามารถพิจารณาทางเลือกต่างๆ ที่มีการจัดพอร์ตและกระจายความเสี่ยงไว้ให้แล้ว เช่น
- Omni Fund: กระจายความเสี่ยงทั่วโลกผ่านกองทุนรวม เริ่มต้นเพียง 1,000 บาท
- Global ETF: กระจายความเสี่ยงทั่วโลกผ่าน ETF เริ่มต้น 10,000 บาท
ทั้ง Global ETF และ Omni Fund จัดพอร์ตตามทฤษฎีรางวัลโนเบลอย่าง Modern Portfolio Theory กระจายความเสี่ยงแบ่งสัดส่วนทั้งหุ้นทั่วโลก และตราสารหนี้คุณภาพ มีให้เลือกทั้งหมด 3 แผนลงทุนตามระดับความเสี่ยงและผลตอบแทนที่คุณพอใจ ช่วยให้พอร์ตสามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีในระดับความเสี่ยงที่คุณรับได้ ให้พอร์ตค่อยๆ เติบโตระยะยาวอย่างมั่นคง
(Omni Fund และ Global ETF ต่างกันอย่างไร อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่)
- Thematic DIY: สามารถเลือกลงทุนใน ETF ตามธีมเมกะเทรนด์ต่างๆ หรือลงทุนในธีมรายประเทศ เช่น ธีมตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ลงทุนใน S&P 500 เริ่มต้น 10,000 บาท
ทุกนโยบายจะมีระบบคอยดูแลจัดการพอร์ตให้อัตโนมัติ คุณสามารถตั้งค่าฝากเงินอัตโนมัติ (DCA) ให้ผลตอบแทนทบต้นเติบโตได้เต็มที่ในระยะยาว