Skip to content - ข้ามไปที่เนื้อหา
Blog

ลงทุนเสี่ยงต่ำ ก็ร่ำรวยได้แบบ Seth Klarman


Jitta Wealth

ไฮไลต์

  • Seth Klarman นักลงทุนสาย VI ผู้ได้ชื่อว่า อาจเป็น Warren Buffett คนถัดไป เนื่องจากมีหลักการลงทุนคล้ายคลึงกัน
  • Seth Klarman บริหารกองทุน Baupost Group ที่ปัจจุบันบริหารสินทรัพย์กว่า 28,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
  • หลักการลงทุน ‘Margin of Safety’ ซื้อหุ้นที่ต่ำกว่ามูลค่าจริงอย่างมาก ไม่เน้นเดาภาวะเศรษฐกิจ แต่โฟกัสที่ธุรกิจที่เข้าใจได้ ให้ความสำคัญกับการจัดการความเสี่ยง มากกว่าการไล่ล่าผลตอบแทนสูง
  • การลงทุนบนความเสี่ยงที่พอดี ค่อยๆ เติบโตเรื่อยๆ ในระยะยาว มีโอกาสสร้างความมั่งคั่งในระยะยาวได้มากกว่า ผลตอบแทนที่หวือหวาเพียงช่วงสั้นๆ

ถ้าพูดถึงการลงทุนแบบ VI หรือ Value Investing หลายคนคงนึกถึง Warren Buffett มหาเศรษฐีระดับแนวหน้าของโลก หรือไม่ก็ Benjamin Graham บิดาแห่งการลงทุนแบบเน้นคุณค่า

แต่ในอีกมุมหนึ่งของโลกการลงทุน ยังมีคนที่มีแนวทางการลงทุนคล้ายกับ Buffett และทำผลงานได้ดีมากๆ จนได้รับฉายาว่า ‘Warren Buffett คนถัดไป’

เขาคือ Seth Klarman ผู้บริหารกองทุน Baupost Group ที่สร้างผลตอบแทนเฉลี่ย 20% ต่อปี ยาวนานกว่า 30 ปี ด้วยผลตอบแทนระดับนี้ แต่จริงๆ แล้วเขาใช้หลักการที่เรียบง่ายสุดๆ

และถ้าคุณเองก็อยากลงทุนให้ประสบความสำเร็จ แบบที่สามารถนอนหลับฝันดี ไม่ต้องมานั่งลุ้นทุกวันว่าหุ้นจะร่วงหรือไม่ คุณต้องรู้จัก Seth Klarman 

จากเด็กชอบค้าขาย สู่รายได้หมื่นล้าน 

Klarman มีจุดเริ่มต้นคล้ายๆ ปู่ Buffett เขาแสดงให้เห็นถึงความสนใจในโลกของธุรกิจอย่างชัดเจนตั้งแต่เด็กๆ 

ถึงขนาดตกแต่งห้องนอนของตัวเองให้เป็นธีมร้านขายของ ด้วยการติดป้ายราคาไว้บนข้าวของทั้งหมด 

และเริ่มหาเงินเล็กๆ น้อยๆ ด้วยการส่งหนังสือพิมพ์ ขายน้ำแข็งไส ขายพลั่วตักหิมะ รวมถึงขายคอลเลกชันแสตมป์และเหรียญ

จนอายุ 10 ขวบ ก็ได้รู้จักหุ้น และซื้อหุ้นเป็นครั้งแรก โดยหุ้นตัวแรกของเขาคือ Johnson & Johnson (JNJ) หนึ่งในบริษัทยาและสินค้าอุปโภคบริโภคที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งเหตุผลที่เขาเลือกหุ้นตัวนี้ ก็ง่ายๆ 

แค่เพราะเขาใช้ผ้าพันแผลของบริษัทนี้บ่อยๆ… และสุดท้ายหุ้นตัวนี้ก็ทำกำไรถึง 3 เท่าจากเงินทุน ความสำเร็จในครั้งนี้เรียกได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นสู่เส้นทางนักลงทุนของเขาเลยทีเดียว

จากความชอบวัยเด็ก สู่ความสำเร็จในโลกลงทุน

จากความสนใจในเรื่องการลงทุนตั้งแต่เด็กๆ Seth Klarman ก็มุ่งหน้าเรียนเศรษฐศาสตร์ที่ Cornell University ก่อนจะจบปริญญาโท MBA จาก Harvard Business School

หลังจบการศึกษา Seth Klarman ได้ร่วมก่อตั้งกองทุนเฮดจ์ฟันด์ Baupost Group กับอาจารย์และนักลงทุนอีก 3 คน ด้วยเงินเริ่มต้นเพียง 27 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

แม้ตอนนั้นเขาจะไม่มีประสบการณ์มากนัก แต่ด้วยผลงานที่สร้างผลตอบแทนได้มั่นคงและสม่ำเสมอ 

ทำให้มีหลายคนเชื่อมั่นและนำเงินมาให้กองทุนดูแล จนปัจจุบัน Baupost Group มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารสูงถึง 28,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เลยทีเดียว

และทุกวันนี้ตัว Klarman ยังคงดำรงตำแหน่ง CEO ของ Baupost Group และมีมูลค่าทรัพย์สินส่วนตัวราว 1,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 43,000 ล้านบาท

ลงทุนเสี่ยงต่ำก็ร่ำรวยได้ 

สำหรับ Seth Klarman หุ้นที่น่าลงทุนไม่ใช่แค่ ‘ถูก’ แต่ต้อง ‘ถูกมากพอ’ เพราะเขามองว่า การประเมินมูลค่าที่แท้จริงของหุ้นนั้นเป็นการคาดการณ์ ไม่ใช่ข้อเท็จจริง และมักมีความคลาดเคลื่อนเสมอ

ดังนั้นเขาจึงเน้นซื้อหุ้นที่มีส่วนเผื่อความปลอดภัย (Margin of Safety) สูง หรือก็คือราคาที่ซื้อควรต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงอย่างชัดเจน เพื่อรองรับความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นในการวิเคราะห์

นอกจากนี้ เขายังเน้นวิเคราะห์ที่ตัวบริษัท มากกว่าการวิเคราะห์เศรษฐกิจ เพราะเชื่อว่า การคาดการณ์สิ่งเล็กๆ เช่น ผลประกอบการของบริษัทที่เราศึกษาอย่างลึกซึ้งนั้น มีความแม่นยำมากกว่าการทำนายเศรษฐกิจโลก ดอกเบี้ย หรือสถานการณ์ทางการเมือง 

ซึ่งแนวคิดนี้ทำให้เขาสามารถโฟกัสการวิเคราะห์ในสิ่งที่ควบคุมได้ และมีโอกาสตัดสินใจอย่างมีเหตุผลมากขึ้น

ที่สำคัญเลยคือ Klarman ให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยง มากกว่าผลตอบแทน เพราะผลตอบแทนที่มั่นคงนั้น สะสมความมั่งคั่งได้ดีกว่าผลตอบแทนที่หวือหวาแต่ไม่ยั่งยืน 

โดย Seth Klarman ได้ถ่ายทอดแนวคิดการลงทุนออกมาเป็นหนังสือที่ชื่อว่า ‘Margin of Safety: Risk-Averse Value Investing Strategies for the Thoughtful Investor’

ซึ่งเป็นหนังสือลงทุนสุดคลาสสิกที่นักลงทุน VI ทั่วโลกต้องการครอบครอง ปัจจุบันหาซื้อไม่ได้ตามร้านทั่วไปแล้วและถูกขายต่อในราคาหลักหมื่นบาทเลยทีเดียว

เหรียญทองที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง

จากเรื่องราวของ Seth Klarman หรือแม้แต่ ปู่ Warren Buffett เองก็ตาม ทำให้เราพอจะสรุปใจความสำคัญได้อย่างหนึ่ง 

นั่นก็คือผลตอบแทนที่มาก อาจไม่ได้สำคัญเท่ากับหลักการ ระยะเวลา และความสม่ำเสมอ คุณไม่จำเป็นต้องเสี่ยงมาก แต่เสี่ยงให้พอดี และค่อยๆ ให้ระยะเวลาเติบโตอย่างมั่นคงก็ถึงฝั่งฝันได้เหมือนกัน

เหมือนกับนโยบาย Global ETF ของ Jitta Wealth ที่ยึดหลัก Modern Portfolio Theory เน้นสร้างผลตอบแทนที่ดีที่สุด บนระดับความเสี่ยงที่รับได้ และปล่อยให้เงินค่อยๆ เติบโต สร้างผลตอบแทนทบต้นไปเรื่อยๆ

เพราะสุดท้ายแล้ว การลงทุนระยะยาวไม่ใช่แค่เรื่องตัวเลข แต่มันคือ ‘Mindset’ ที่ทำให้คุณยังอยู่ในเกมได้นานพอ… จนความมั่งคั่งกลายเป็นเรื่องจริง