พิสูจน์ Global ETF ลงทุนชนะทุกวิกฤติ

กระแสข่าวดังที่ยังต้องติดตามต่ออย่าง Trump ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีสินค้าทุกประเภททั่วโลกที่นำเข้ามาที่สหรัฐฯ แถมยังบวกเพิ่มพิเศษเฉพาะบางประเทศ หรือที่เรียกกันว่า Trade War ทำให้นักลงทุนจำนวนมาก หรือคนที่กำลังจะลงทุนเกิดความลังเล
เพราะจุดเริ่มต้นที่สหรัฐฯ เริ่มขึ้น ต่างพาให้ประเทศคู่ค้าหลายประเทศสั่นคลอน พยายามหาทางเจรจากันเพื่อหาจุดตรงกลางที่ไปด้วยกันได้ทั้ง 2 ฝ่าย
ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกเกิดความผันผวนชัดเจนอยู่ช่วงหนึ่ง ราคาหุ้นของบริษัทข้ามชาติจำนวนมากร่วงลงมา นักลงทุนจำนวนมากในตลาดสัมผัสได้ถึงความไม่แน่นอน ที่ทุกอย่างดูสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา
เรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่ ‘หนึ่งนโยบายของประเทศหนึ่ง สะเทือนถึงนักลงทุนทั่วโลก’ แต่ความผันผวนของตลาดจะกลายเป็นเรื่องธรรมดาหรือกลายเป็นโอกาสลงทุนที่ดี ถ้าเรามีเครื่องมีอที่ช่วยให้การลงทุนยัง ‘มั่นคง’ แม้ในช่วงเวลาที่ตลาดทั่วโลกไม่แน่นอน
และเรากำลังพูดถึง Global ETF ซึ่งบทความนี้จะพาคุณไปรู้จัก และพาไปดูเรื่องจริงที่พิสูจน์มาแล้วว่า ถ้าอยากมีพอร์ตแข็งแกร่ง นี่คือพอร์ตที่คุณตามหา
Global ETF คืออะไร
Global ETF เป็นนโยบายการลงทุนของ Jitta Wealth ที่เป็นการลงทุนใน ETF หุ้น และ ETF ตราสารหนี้ (หุ้นกู้ และพันธบัตรสหรัฐฯ) กระจายความเสี่ยงทั่วโลก พร้อมจัดพอร์ตตามทฤษฎีรางวัลโนเบลอย่าง Modern Portfolio Theory รีวิวและปรับพอร์ตอัตโนมัติ
เรียกได้ว่า ใน 1 พอร์ตของคุณ จะได้กระจายความเสี่ยงในสินทรัพย์คุณภาพดีทั่วโลกที่คัดสรรคมาให้แล้ว และกระจายความเสี่ยงตามทฤษฎีที่ได้รับการยอมรับมาแล้วว่า จะ ‘สร้างผลตอบแทนที่ดีที่สุด ในความเสี่ยงที่ต่ำ’
และทั้งหมดนี้คุณสามารถเริ่มต้นได้ด้วยเงินเพียง 10,000 บาท ไม่ต้องรีวิวหรือปรับพอร์ตเอง เพราะเราจัดการให้อัตโนมัติแล้ว
แบบออกเป็น 3 แผนการลงทุน ตามผลตอบแทนคาดหวังอยู่ที่ 4-8% ต่อปี ตามความเสี่ยงที่คุณรับได้ เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการเริ่มลงทุนต่างประเทศ ตั้งแต่เสี่ยงได้บ้าง จนถึงรับความเสี่ยงได้มาก
- แผนพอเพียง
- ลงทุนใน ETF หุ้น 20% ตราสารหนี้ 80% ผลตอบแทนคาดหวัง +4%
- แผนสมดุล
- ลงทุนใน ETF หุ้น 50% ตราสารหนี้ 50% ผลตอบแทนคาดหวัง +6%
- แผนเติบโต
- ลงทุนใน ETF หุ้น 80% ตราสารหนี้ 20% ผลตอบแทนคาดหวัง +8%
แต่ถ้าจะให้พูดว่าดี แบบไม่มีบทพิสูจน์ก็คงไม่ได้ และนี่จะเป็นตัวอย่างที่พิสูจน์มาแล้วว่า
Global ETF พร้อมรับมือทุกสถานการณ์ และเติบโตไปพร้อมกับเศรษฐกิจโลก แม้ในวิกฤติ Global ETF ก็ยังเป็นหนึ่งในนโยบายที่น่าลงทุนเสมอ
บทพิสูจน์: รวมวิกฤตล่าสุด Global ETF ฟื้นภายในกี่วัน?

- สงครามอิสราเอลกับฮามาส ผลตอบแทนลดลงมา -5.18% ฟื้นตัวกลับมาใน 53 วัน
- เหตุการณ์อิหร่านโจมตีอิสราเอล ผลตอบแทนลดลงมา -0.70% ฟื้นตัวกลับมาใน 29 วัน
- Japan Black Monday ผลตอบแทนลดลงมา -4.68% ฟื้นตัวกลับมาใน 100 วัน
- Trump Tariff ที่กระทบตลาดหุ้นหลักทั่วโลก นักลงทุนตื่นตระหนก ผลตอบแทนลดลง -7.58% ซึ่งแม้จะยังมีความผันผวนอยู่และยังไม่กลับไปที่จุดเดิม แต่ก็เห็นได้ว่าสามารถเริ่มฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว
และนี่คือความแข็งแกร่งของการจัดพอร์ตตามทฤษฎี Modern Portfolio Theory แนวทางการกระจายความเสี่ยงในสินทรัพย์หลากหลายประเภท สร้างสมดุล ปรับระดับความเสี่ยงให้พอดี
อีกทั้งยังมีการกระจายความเสี่ยงไปลงทุนทั่วทุกมุมโลก มีเทคโนโลยีดูแลปรับพอร์ต อย่างเป็นระบบ
เราลองเอาผลตอบแทนของ Global ETF มาเทียบกับ S&P 500 ในช่วงที่ตลาดผันผวนช่วงที่ผ่านมาเพิ่มเติม เพื่อเป็นการตอกย้ำว่า ในวิกฤติ Global ETF ก็ยังแกร่ง
Global ETF Vs S&P 500 ช่วง Trade War

เราขอยกอีกตัวอย่างจากพอร์ตจริงของคุณเผ่า ตราวุทธิ์ CEO Jitta Wealth
ในช่วงที่ Donald Trump ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศสงครามการค้าแบบขั้นสุด ทำให้ดัชนี S&P 500 ติดลบไปถึง -14.79% ในขณะที่ Global ETF อยู่ที่ -8.59% ซึ่งจะเห็นได้ว่าค่อนข้างต่างกันอย่างชัดเจน
และเมื่อดูผลตอบแทนเฉลี่ยตั้งแต่ต้นปี (YTD) จะพบว่าผลตอบแทนของ Global ETF อยู่ที่ -1.28% ส่วนผลตอบแทนของดัชนี S&P 500 อยู่ที่ -9.90%
เห็นได้ว่าจริงๆ แล้ว ถ้าลงทุนใน Global ETF แม้แต่ในช่วงที่ตลาดหุ้นผันผวนหนักอย่างช่วงที่ผ่านมา เมื่อมาดูผลตอบแทนแบบ YTD พอร์ตก็ไม่ได้ติดลบหนัก
เป็นอีกเหตุผลช่วยยืนยันนักลงทุนได้ว่าเมื่อเกิดวิกฤติขึ้น ก็สบายใจได้ ถ้าคุณลงทุนใน Global ETF
Global ETF ฝ่าวิกฤติได้ยังไง
ด้วยที่ Global ETF ใช้หลักการ Modern Portfolio Theory ในการจัดการสินทรัพย์ โดยจะจัดสรรทรัพย์สินต่างๆ ทั่วโลกด้วยไอเดียว่า ต้องการผลตอบแทนที่ดีที่สุด ภายใต้ความเสี่ยงที่ต่ำที่สุด
หลักการนี้คิดค้นโดย Harry Markowitz ที่มีแนวคิดว่า “นักลงทุนไม่ชอบความเสี่ยง แต่ถ้าจะเสี่ยง ผลตอบแทนที่ได้ควรคุ้มค่า”
ซึ่งแนวคิดนี้นำไปสู่การออกแบบพอร์ตลงทุนที่ กระจายความเสี่ยง ไปในสินทรัพย์หลากหลายประเภท ที่ ไม่เคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกัน หากสินทรัพย์หนึ่งร่วง อีกสินทรัพย์อาจพยุงพอร์ตไว้ได้ ช่วยลดความผันผวน และรักษาเสถียรภาพให้พอร์ตในช่วงวิกฤติ
Global ETF นำทฤษฎีนี้มาใช้จริง ด้วยการลงทุนใน ETF ที่ติดตามดัชนีหุ้นจากหลากหลายประเทศและหลากหลายอุตสาหกรรมทั่วโลก โดยใช้หลักการกระจายความเสี่ยง (Diversification) และการจัดสรรสินทรัพย์อย่างมีประสิทธิภาพ (Asset Allocation) ลงทุนในหุ้นทั่วโลก และตราสารหนี้คุณภาพดีอีกมากมาย ผ่าน ETF เพื่อให้พอร์ตการลงทุนมีความสมดุล ลดความผันผวน และเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนอย่างยั่งยืน
ด้วยโครงสร้างของ ETF ที่ออกแบบมาให้ติดตามดัชนีอ้างอิง นักลงทุนจึงสามารถเข้าถึงหุ้นหลายร้อยตัวทั่วโลกได้ผ่านการซื้อเพียงหน่วยเดียว ช่วยให้พอร์ตของคุณไม่ต้องพึ่งพาแค่เศรษฐกิจของประเทศใดประเทศหนึ่ง และยังคงมีโอกาสเติบโตได้ แม้โลกจะเปลี่ยนไป
นอกจากนี้ Global ETF ยังมีระบบ ‘ปรับสมดุลพอร์ตอัตโนมัติ’ (Auto Rebalancing) ที่จะทำงานทันทีเมื่อสัดส่วนระหว่างหุ้นและตราสารหนี้เบี่ยงเบนเกิน 5% ซึ่งช่วยลดความผันผวนเบื้องต้น หากราคาหุ้นลดลง ระบบจะทยอยขายพันธบัตรเพื่อเข้าซื้อหุ้นในช่วงราคาต่ำ และเมื่อราคาหุ้นพุ่งสูง เราก็จะขายเพื่อล็อกกำไร แล้วเปลี่ยนไปถือพันธบัตรเพื่อคงสมดุลของพอร์ตไว้
ด้วยกลไกนี้เองที่ทำให้ Global ETF สามารถรับมือกับทุกวิกฤติเศรษฐกิจที่ผ่านมาได้อย่างแข็งแกร่ง ตั้งแต่เริ่มเปิดให้ลงทุน
แม้ว่าเหตุการณ์ Trade War ที่เกิดขึ้นล่าสุดจะทำให้ตลาดหุ้นผัวผวน จากความไม่ชัดเจน แต่จากที่เราเคยวิเคราะห์สถานการณ์ไปในบทความ Trump ขั้นภาษี รับมือด้วย 3 ขั้นตอนนี้ ไม่แพ้ Trade War พอจะสรุปได้ว่าสุดท้ายแล้ววิกฤติจะมีวันจบ และดัชนีก็จะเติบโตต่อไปได้เหมือนที่ผ่านมา สิ่งที่ควรทำตอนนี้คือการคว้าโอกาสลงทุน
และหากคุณต้องการพอร์ตที่ เติบโตได้ในความเสี่ยงที่จำกัด Global ETF คือทางเลือกที่ใช้ทฤษฎีระดับโลก มาเปลี่ยนการลงทุนของคุณให้ “ฝ่าวิกฤต” ได้อย่างมั่นใจ
อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว เราหวังว่าบทความนี้จะช่วยให้คุณได้รู้จัก Global ETF ยิ่งขึ้น และสามารถวางแผนรับมือเพื่อฝ่าวิกฤตครั้งนี้ไปได้
อย่าปล่อยให้ความไม่แน่นอนหยุดคุณไว้ที่เดิม
ลงทุนใน Global ETF วันนี้ เพื่อสร้างพอร์ตที่มั่นคงและพร้อมลุยทุกสถานการณ์
เพราะวิกฤตอาจเกิดซ้ำได้เสมอ แต่คุณก็สามารถเตรียมรับมือได้ตลอดเช่นกัน
ปรึกษาการลงทุนฟรี! ติดต่อเจ้าหน้าที่แนะนำการลงทุนได้ที่ Line: @JittaWealth