Jitta Wealth Journal – เลือกตั้งแล้ว ตลาดหุ้นไทยไปทางไหนต่อ?
เงินเฟ้อสหรัฐฯ ต่ำสุดในรอบ 2 ปี
Jitta Wealth Journal ปีที่ 3 ฉบับที่ 129 ประจำวันที่ 16 พฤษภาคม 2566
ตลาดหุ้นไทยจะตอบสนองอย่างไรหลังเลือกตั้ง อัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ ลดแล้วต่ำกว่า 5% ครั้งแรกในรอบ 2 ปี Xi Jinping ลั่นพัฒนาภาคเทคโนโลยีกระตุ้นเศรษฐกิจจีนให้ไกลกว่านี้ ทำไม Buffet ขาย BYD บางส่วนออกจากพอร์ต Berkshire ตัวเลข CPI ญี่ปุ่นส่งสัญญาณเติบโต Standard Chartered คาดเวียดนามอาจโตลดลง
รับข้อมูลข่าวสารและเกร็ดความรู้การลงทุนดีๆ จากเราได้ที่ Line ID: @jittawealth
ความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นรายสัปดาห์
ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯ
S&P 500 -0.29% DJIA -1.11% NASDAQ +0.40%
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ผันผวนหลังมีแนวโน้มว่า Fed จะปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อในเดือนมิถุนายน แต่ดัชนี Nasdaq ได้รับแรงหนุนจากหุ้นเทคโนโลยีตัวใหญ่ Alphabet (Google) Netflix และ Amazon ปรับตัวขึ้น +11.81% +5.07% และ +4.94% ตามลำดับ แม้ว่าความกังวลจะยังกดดันตลาดแต่ภาคอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสหรัฐฯ ตอนนี้ก็ถือว่าน่าดึงดูดใจมาก
ดัชนีตลาดหุ้นเอเชีย
CSI 300 -1.97% TOPIX +1.01% VNI +2.34% SET +1.83%
ตลาดหุ้นจีนได้รับแรงกดดันจากตัวเลขเงินเฟ้อที่อ่อนแอในเดือนเมษายน นักลงทุนคาดว่าเศรษฐกิจจีนจะชะลอตัวลง ตลาดหุ้นญี่ปุ่นได้รับแรงหนุนจากหุ้นเทคฯ จากการประกาศงบ ตลาดเวียดนามกลับมาสดใสจากหุ้นอสังหาฯ และต่างชาติที่เข้าซื้อในช่วงหุ้นถูก ตลาดหุ้นไทยกลับมาบวกจากหุ้นธนาคารและต้อนรับการเลือกตั้งในรอบนี้
ข้อมูลจาก S&P Capital IQ ณ 14 พฤษภาคม 2566
Black Swan ครั้งสำคัญ ของคุณเผ่า ตราวุทธิ์ CEO Jitta Wealth
ย้อนฟังเรื่องราวล้มลุกคลุกคลานของ คุณเผ่า ตราวุทธิ์ ที่ไม่เคยเล่าที่ไหนมาก่อน
บทเรียนในอดีตด้วยความมั่นใจอยากพลิกพอร์ต
แต่กลายเป็นล้างพอร์ตไปได้อย่างไร อะไรคือจุดเปลี่ยนสำคัญในวันนั้นจนถึงวันนี้
รับชม Black Swan ของ CEO Jitta Wealth
ตลาดหุ้นไทย
ตลาดหุ้นไทยจะตอบสนองยังไงหลังเลือกตั้ง?!
คุณเคยสงสัยไหมว่า…ทำไมนักลงทุนมักจับตามองการเลือกตั้งอย่างใกล้ชิด มีงานวิชาการมากมายได้ชี้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างการเมืองกับดัชนีตลาดหุ้นไทยว่า มีความสัมพันธ์ในทิศทางที่ตรงข้ามกัน
หมายความว่าเมื่อประเทศไทยเกิดความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมือง หรือทุกครั้งที่เกิดการเลือกตั้งหรือการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลใหม่ จะเป็นปัจจัยกดดันให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงเสมอ
หากเปรียบเทียบก่อนและหลังเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 5 ครั้งหลังสุด (2539 2544 2550 2554 และ 2562) หลังจากการเลือกตั้งจบลง ดัชนีตลาดหุ้นไทยโดยเฉลี่ยแทบจะติดลบทุกช่วงปีเลือกตั้ง แต่จะค่อยๆ ปรับตัวขึ้นและให้ผลตอบแทนดีขึ้นนับจากวันเลือกตั้งผ่านไปแล้ว 2 ปีขึ้นไป
ในส่วนนี้จะมีความแตกต่างจากทางฝั่งสหรัฐฯ อยู่พอสมควร เพราะหลังจากการเลือกตั้งสหรัฐฯ 5 ครั้งล่าสุด (2547 2551 2555 2559 และ 2563) หลังเลือกตั้งจบลง ดัชนี S&P 500 จะเคลื่อนที่ไปในทิศทางบวก และมีแนวโน้มเป็นขาขึ้นในระยะยาว
สะท้อนให้เห็นว่า นักลงทุนในตลาดหุ้นไทยต้องการเวลาพอสมควรเพื่อสร้างความเชื่อใจในรัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามาบริหารประเทศ ซึ่งเหตุการณ์นี้จะถูกจัดว่าเป็น ความเสี่ยงที่เป็นระบบ (Systematic Risk) ที่จะหลีกเลี่ยงไม่ได้หากลงทุนในตลาดหุ้นไทย
แต่นี่เป็นแค่แนวโน้มแบบคร่าวๆ สำหรับการคาดการณ์ทิศทางตลาดหุ้นโดยใช้ตัวเลขจากในอดีตเท่านั้น อย่าลืมว่าผลตอบแทนในอดีตไม่สามารถการันตีอนาคตได้ ถึงแม้ว่าแนวโน้มจะเป็นไปในทิศทางนี้ก็ตาม แต่ด้วยกลยุทธ์ลงทุนระยะยาวจะนำระยะเวลามาช่วยลดความผันผวนได้ในที่สุด
เศรษฐกิจสหรัฐฯ
อัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ ต่ำกว่า 5% ครั้งแรกในรอบ 2 ปี
เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ในสหรัฐฯ อัตราเงินเฟ้อได้ลดลงถึงจุดต่ำสุดในรอบสองปีที่ 4.9% แต่ก็ยังมากกว่าสองเท่าของอัตราเงินเฟ้อ 2% ที่ Fed พยายามลดไปให้ถึงจุดนั้น (เป็นอัตราเงินเฟ้อที่ไม่รวมไปถึงราคาอาหารและพลังงานที่ผันผวนบ่อยครั้ง)
การปรับตัวลดลงของอัตราเงินเฟ้อเกิดขึ้นจากการที่ Fed ขึ้นอัตราดอกเบี้ย พยายามที่จะควบคุมอัตราเงินเฟ้อให้ได้ เพื่อชะลอกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และด้วยเหตุนี้จึงช่วยลดแรงกดดันในการผลักดันราคาสินค้าต่างๆ ให้สูงขึ้นแต่ก็สร้างความกดดันให้ตลาดหุ้นด้วยเช่นกัน
สัญญาณดีเริ่มปรากฎเมื่อประธาน Fed อย่าง Jerome Powell ออกมาบอกเป็นนัยว่า ‘อาจพร้อมที่จะหยุดการปรับขึ้นดอกเบี้ยชั่วคราว’ แต่ก็มีนักเศรษฐศาสตร์หลายสำนักออกมาบอกว่าความคืบหน้าของการชะลอเงินเฟ้อมีโอกาสจะช้าลงกว่าเดิม
หากหยุดปรับขึ้นดอกเบี้ยแล้ว กิจกรรมทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ เป็นไปได้ว่าจะเริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้น แต่หากต้องการกระตุ้นให้เศรษฐกิจกลับมาคึกคักอีกครั้ง คงต้องรอดูแนวโน้มปลายปี 2566 ว่า Fed มีโปรแกรมที่จะปรับลดดอกเบี้ยบ้างหรือไม่
Talk of the Town
เรื่องเด่นประเด็นฮิตของชาว Jitta Wealth Official
รีวิวพอร์ต Global ETF ฉบับมนุษย์เงินเดือนสาย DCA
CEO ตอบคำถามนักลงทุน Global ETF แตกต่างอย่างไร
โค้งสุดท้าย กิจกรรมลุ้นบัตรชมงาน Road To Fire
(ตอบคำถามให้ครบ 3 ข้อ เพื่อเข้าร่วมกลุ่มนะ )
เศรษฐกิจจีน
ประธานาธิบดี Xi Jinping บอกจีนควรโฟกัสภาคเทคโนโลยี
ประธานาธิบดี Xi Jinping ประกาศจีนต้องโฟกัสอุตสาหกรรมการผลิตและเทคโนโลยีมากขึ้น หลังการประชุมกลยุทธ์การพัฒนาประเทศจีน ซึ่ง Xi มองว่าเป็น ‘Real Economy’ ส่วนเศรษฐกิจที่จับต้องได้และก่อให้เกิดประโยชน์แก่ประชากรในประเทศ
ในส่วนของจำนวนแรงงานของจีนที่ค่อยๆ ลดลงเนื่องจากอัตราการเกิดใหม่ต่ำ จีนอาจต้องกลับมาให้ความสำคัญกับการสนับสนุนให้ประชากรมีบุตรเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจ
เทคโนโลยีจีนเป็นอุตสาหกรรมที่ยังได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีนเพื่อเพิ่มการขยายตัว และด้วยการมุ่งเน้นการพัฒนาในส่วนนี้จะทำให้เทคโนโลยีจีนสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้มากกว่าที่เป็นอยู่ขึ้นไปอีก
ต้องรอดูการวางกลยุทธ์ครั้งนี้กันต่อไปว่า จีนจะพัฒนาและดำเนินการไปในทิศทางไหนต่อไป ซึ่งหากจีนวางกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพและทำได้จริง จะช่วยให้เศรษฐกิจจีนเติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญอย่างแน่นอน รวมไปถึงหุ้นจีนในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีด้วย
พลังงานสะอาดจีน
Warren Buffett ขายหุ้น BYD ทำกำไร
Berkshire Hathaway บริษัทของ Warren Buffett เพิ่งขายหุ้นบางส่วนในบริษัทรถยนต์ไฟฟ้า ของจีน BYD ที่ถือมาตั้งแต่ปี 2551 และเริ่มขายทำกำไรออกไปตั้งแต่ช่วงปี 2565 เป็นต้นมา
เมื่อส่องไปถึงผลประกอบการของ BYD ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม แซงหน้า Tesla ในจีนจนขึ้นแท่นเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ที่สุดของจีนเป็นที่เรียบร้อย รองประธาน Berkshire อย่าง Charlie Munger ก็ได้พูดชม BYD อยู่บ่อยครั้ง แต่ด้วยมูลค่าหุ้นที่พุ่งขึ้นสูงทำให้ Berkshire ตัดสินใจขายหุ้นบางส่วนเพื่อปรับสัดส่วนพอร์ต
แม้ว่า Berkshire จะขายหุ้น BYD ออกไปบ้างแต่ราคาหุ้นก็ไม่ได้รับผลกระทบมากนัก และยังปรับตัวขึ้นด้วยในช่วงที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าปู่ Buffett และ Munger ให้ความสำคัญกับธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับพลังงานสะอาดอยู่ โดยทั้งคู่ได้พูดอย่างชัดเจนว่าต้องสร้าง ‘สมดุล’ ในธุรกิจนี้ให้ได้
BYD ตอนนี้เป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่มาแรงมากและเริ่มกินส่วนแบ่งตลาดรถยนต์ไฟฟ้าโลกแล้ว แนวโน้มการเติบโตของ BYD จะช่วยส่งเสริมให้ธีมพลังงานสะอาดจีน และพลังงานสะอาดเติบโตอย่างแข็งแกร่ง นั่นทำให้ธีมพลังงานสะอาดจีนเป็นอีกเมกะเทรนด์ที่น่าสนใจมาก
4 ประเด็นสำคัญ ประชุมผู้ถือหุ้น Berkshire 2566
สิ้นสุดการรอคอย…มาอ่านทรรศนะของปรมาจารย์แห่งโลกการลงทุน
Warren Buffett และ Charlie Munger
ว่ามีวิสัยทัศน์และวิธีรับมือกับการลงทุนในช่วงเวลานี้อย่างไร
เราสรุปประเด็นสำคัญที่คุณควรรู้มาไว้ที่นี่แล้ว
เศรษฐกิจญี่ปุ่น
ผลสำรวจชี้ CPI หลักของญี่ปุ่นมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอีกครั้ง
อัตราเงินเฟ้อผู้บริโภคหลักของญี่ปุ่นมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอีกครั้งในเดือนเมษายน ผลสำรวจความคิดเห็นของนักเศรษฐศาสตร์ 19 คนระบุสาเหตุว่า ราคาขายปลีกที่พุ่งสูงขึ้นอย่างคึกคัก ทำให้การอุดหนุนพลังงานของรัฐบาลยังไม่เพียงพอ
ในขณะที่เงินอุดหนุนจากรัฐบาลสำหรับค่าก๊าซและค่าไฟฟ้าช่วยควบคุมค่าใช้จ่ายด้านพลังงานของครัวเรือน แต่บริษัทจำนวนมากกลับขึ้นราคาสินค้าอุปโภคบริโภคและบริการในช่วงเดือนเมษายน ทำให้ CPI หลัก เพิ่มขึ้นอีกครั้ง
จากการสำรวจ ดัชนีราคาผู้บริโภคหลัก (CPI) ของญี่ปุ่น ซึ่งไม่รวมอาหารสดแต่รวมสินค้าพลังงาน ในเดือนเมษายนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 3.4% จากปีก่อนหน้า เป็นอัตราการเพิ่มขึ้นจาก 3.1% ในเดือนมีนาคมและกุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นการเติบโตที่เร็วที่สุดนับตั้งแต่ทำสถิติสูงสุดในรอบ 41 ปีที่ 4.2% ในเดือนมกราคม
ตลาดคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) อาจจะกำลังเตรียมการเปลี่ยนแปลงนโยบาย แม้ว่า Kazuo Ueda ผู้ว่าการ BOJ ได้ให้คำมั่นว่าจะคงมาตรการผ่อนคลาย
คงจะต้องจับตามองกันต่อไป ว่าเมื่อรัฐบาลประกาศตัวเลขที่แท้จริงออกมา เศรษฐกิจจะเป็นไปในทิศทางใด และ BOJ จะมีมาตรการรับมือกับสถานการณ์นี้อย่างไร
เศรษฐกิจเวียดนาม
ตัวเลขการเติบโตเวียดนามอาจไม่ถึงเป้า
บริษัท Standard Chartered ลดความคาดหวังการเติบโต GDP ของเวียดนาม ในปี 2566 ลงเหลือ 6.5% จาก 7.2% จากตัวชี้วัดต่างๆ ของเวียดนามที่ชะลอตัวลงตลอด 4 เดือนที่ผ่านมา ภาคการส่งออกของเวียดนามลดลง 11.8%yoy และเงินเฟ้อไม่รวมอาหารและราคาน้ำมันลดลงสู่ระดับ 2.8% ซึ่งนับเป็นเดือนที่ 3 ที่มีการปรับตัวลง
การลงทุนจากต่างประเทศโดยตรง (Foreign Direct Investments) ลดลง 17.9%yoy และภาคการนำเข้าลดลงถึง 15.4%yoy ซึ่งโดยปกติแล้วเวียดนามนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศเป็นจำนวนมาก การลดลงของตัวเลขนี้อาจทำให้นักลงทุนมองว่าเป็นสัญญาณของการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ แม้ว่าการบริโภคในประเทศจะอยู่ในเกณฑ์ที่ดีก็ตาม
International Monetary Fund (IMF) ก็ได้ปรับลดการเติบโตของ GDP (GDP growth) ของเวียดนามลงจาก 6.2% เหลือ 5.8% World Bank เองปรับลดจาก 6.7% เป็น 6.3%
เวียดนามอาจได้รับผลกระทบจากสภาวะตลาดภายนอกเช่น วิกฤติธนาคารและนโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้นของประเทศในภูมิภาค นักลงทุนเองอาจจะต้องคอยดูในส่วนของการเติบโตในไตรมาสที่เหลือของเวียดนามต่อไป
ถือเป็นสัปดาห์ที่ประเทศไทยร้อนแรงมากที่สุดในประวัติศาสตร์
ตลาดหุ้นไทยเองก็ต้องเผชิญกับความไม่แน่นอน รวมไปถึงการตั้งคำถามถึงอนาคตที่ก็ไม่มีใครตอบได้ของการเมืองในช่วงนี้ด้วยเหมือนกัน ซึ่งเป็นปกติธรรมดาของแทบจะทุกครั้งในช่วงของการเลือกตั้ง
ตลาดหุ้นมีขึ้นมีลงเป็นเรื่องปกติ ความผันผวนเองก็เป็นสิ่งที่อยู่คู่กับตลาดหุ้นเสมอ และเป็นสิ่งที่ไม่มีใครควบคุมได้ ซึ่งอาจเกิดจากสาเหตุที่สมเหตุสมผล หรืออาจเกิดจากอารมณ์ส่วนใหญ่ของนักลงทุนในตลาด จนอาจจะดูไร้เหตุผลก็ได้ทั้งนั้น
แต่ถ้าคุณวางแผนการลงทุนของคุณอย่างมีสติ เข้มแข็งไม่หวั่นไหวไปกับอารมณ์ของตลาด จะเป็นจุดแข็งที่ทำให้คุณผ่านทุกสนามการลงทุน และประสบความสำเร็จได้
แล้วพบกันใหม่สัปดาห์หน้า
อ่าน Jitta Wealth Journal ย้อนหลัง
Jitta Wealth Journal – Fed ขึ้นดอกเบี้ยอีก รอบสุดท้ายหรือยัง?!
Jitta Wealth Journal – ญี่ปุ่นสุดปัง ค่าเงินเยนอ่อนแต่หุ้นพุ่ง!