‘บาทแข็ง ดอลลาร์อ่อน’ ทำไมพอร์ตติดลบ ทั้งที่หุ้นยังบวก

ไฮไลต์
- บาทแข็ง ดอลลาร์อ่อน กดพอร์ตต่างประเทศติดลบ ทั้งที่จริงๆ สินทรัพย์ยังบวกอยู่
- ค่าเงินมีผลต่อผลตอบแทนระยะสั้น แต่การลงทุนระยะยาวและ DCA ช่วยลดผลกระทบได้
- การป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน (Hedging) ไม่ใช่คำตอบเสมอไป เพราะมีต้นทุนสูงและเสี่ยงผิดทาง
- บาทแข็งคือโอกาสลงทุน แลกดอลลาร์ได้มากขึ้น ซื้อสินทรัพย์ต่างประเทศได้ในต้นทุนที่ต่ำกว่า
เงินบาทแข็งค่าที่สุดในรอบ 4 ปี ปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 31.75 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าขึ้น 7.41% นับตั้งแต่ต้นปี สาเหตุหลักมาจากที่นักลงทุนเชื่อว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะลดดอกเบี้ยอย่างน้อย 0.25% ในเดือนกันยายนนี้
บวกกับนโยบายภาษีที่ไม่แน่นอนของ Donald Trump ผู้นำสหรัฐฯ ทำให้ตลาดกังวลเรื่องความน่าเชื่อถือของดอลลาร์สหรัฐ ในฐานะสกุลเงินหลัก เกิดเป็นกระแส ‘De-dollarization’ หรือการลดบทบาทค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ
ขณะที่การพุ่งขึ้นของราคาทองคำโลก ก็ส่งผลกระทบโดยตรงต่อค่าเงินบาท เนื่องจากไทยเป็นหนึ่งในประเทศผู้บริโภคทองคำรายใหญ่ จึงมีการไหลเข้าของเงินทุนจากนักลงทุนเพื่อเก็งกำไรทองคำ
ทั้งหมดที่กล่าวมา ทำให้นักลงทุนจำนวนไม่น้อยที่ลงทุนในสินทรัพย์ต่างประเทศ ต้องเผชิญผลขาดทุนจากการลงทุน ซึ่งไม่ใช่การขาดทุนจากสินทรัพย์ แต่เป็น ‘ผลของค่าเงิน’ เพราะเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ กดผลตอบแทนให้ดูแย่ลงกว่าความเป็นจริง
ทำไมบาทแข็งทำพอร์ตติดลบ?
เมื่อนักลงทุนไทยต้องการลงทุนต่างประเทศ จะต้องนำเงินบาทไปแลกเปลี่ยน และถือพอร์ตลงทุนเป็นเงินสกุลประเทศนั้นๆ ทำให้เมื่อเงินบาทแข็งค่าขึ้น สกุลเงินต่างประเทศแลกกลับมาเป็นเงินบาทได้น้อยลง ทำให้มูลค่าพอร์ตโดยรวมลดลงโดยปริยาย แม้ว่าราคาหุ้นจะเท่าเดิม
ยกตัวอย่างเช่น การลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ ช่วงกลางปี 2567 อัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 35.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ นักลงทุนใช้เงิน 35,000 บาทแลกได้ 1,000 ดอลลาร์สหรัฐ และนำไปลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ
ต่อมาหุ้นเติบโตขึ้น 10% เงิน 1,000 ดอลลาร์สหรัฐ กลายเป็น 1,100 ดอลลาร์สหรัฐ ฟังดูเหมือนกำไรใช่ไหม? แต่หากขณะนั้นค่าเงินบาทแข็งขึ้นเป็น 31.70 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ เงิน 1,100 ดอลลาร์สหรัฐ เมื่อแปลงกลับมา จะได้เพียง 34,870 บาท ซึ่งน้อยกว่าต้นทุน 35,000 บาทเล็กน้อย แปลว่าพอร์ตจะติดลบ ทั้งที่หุ้นจริงๆ ยังบวกอยู่
เงินบาทแข็งค่า มีข้อดีข้อเสียอย่างไร
แล้วปัจจุบันที่เงินบาทแข็งค่า เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐนั้น มีข้อดีข้อเสียอย่างไร
ข้อดี: นักลงทุนที่ต้องการโอนเงินไปลงทุนต่างประเทศ สามารถแลกเงินดอลลาร์สหรัฐไปลงทุนได้มากขึ้น หรือก็คือเงินเท่าเดิมแต่ซื้อหุ้นได้มากขึ้น
ข้อเสีย: นักลงทุนที่ต้องการนำเงินลงทุนจากพอร์ตต่างประเทศกลับเข้ามาไทย จะแลกเป็นเงินไทยได้น้อยลง หรือมูลค่าพอร์ตโดยรวมลดลงจากค่าเงินนั่นเอง
กลยุทธ์ลดผลกระทบค่าเงิน
แม้ค่าเงินจะเป็นปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ แต่ก็มีหลายวิธีที่นักลงทุนสามารถใช้จัดการและลดผลกระทบได้
ลงทุนระยะยาว
เวลาคือเกราะป้องกันที่ดีที่สุด หากลงทุนเพียงไม่กี่เดือน ค่าเงินสามารถทำให้พอร์ตแกว่งแรงได้ทันที แต่หากถือยาว 5-10 ปีขึ้นไป ความผันผวนของค่าเงินจะถูกเฉลี่ยออกไปเรื่อยๆ สุดท้ายแล้วสิ่งที่มีน้ำหนักมากที่สุดคือการเติบโตของสินทรัพย์ ไม่ใช่ค่าเงิน
ทยอยลงทุนแบบ DCA
การลงทุนแบบ DCA (Dollar-cost Averaging) หรือการทยอยซื้อเป็นงวดๆ มีข้อดีคือช่วย ‘ถัวเฉลี่ย’ ทั้งราคาหุ้นและอัตราแลกเปลี่ยน วันนี้เงินบาทแข็ง เราแลกได้ดอลลาร์สหรัฐมากขึ้น ต้นทุนเฉลี่ยถูกลง วันหน้าเงินบาทอ่อน เราแลกได้ดอลลาร์สหรัฐน้อยลง แต่ก็ซื้อในราคาหุ้นที่อาจถูกลงเช่นกัน ทำให้ผลรวมออกมาเป็นกลาง
ป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน (Hedging)
อีกหนึ่งทางเลือกคือ Hedging หรือการป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน เช่น ใช้สัญญาซื้อขายล่วงหน้า แต่ต้องระวังเพราะ Hedging มีต้นทุนสูง และยังมีความเสี่ยง ‘ผิดทาง’ หากค่าเงินไม่เคลื่อนไปตามที่คาด
บาทแข็ง คือโอกาสลงทุน
แม้บาทแข็งจะทำให้พอร์ตดูติดลบ แต่ในอีกมุมหนึ่ง มันคือ ‘โอกาส’ ที่ไม่ควรมองข้าม เพราะบาทแข็งหมายความว่า นักลงทุนไทยสามารถแลกเงินไปลงทุนต่างประเทศได้มากขึ้น ยกตัวอย่างง่ายๆ
- ถ้าดอลลาร์สหรัฐละ 37.00 บาท เงิน 37,000 บาทแลกได้ 1,000 ดอลลาร์สหรัฐ
- ถ้าดอลลาร์สหรัฐละ 31.70 บาท เงิน 37,000 บาทแลกได้ถึง 1,167 ดอลลาร์สหรัฐ
แปลว่าเงินบาทที่แข็งขึ้นทำให้เราซื้อสินทรัพย์ต่างประเทศได้ในปริมาณที่มากขึ้นด้วยเงินบาทเท่าเดิม
ตัวอย่างที่เห็นชัด
สมมติคุณลงทุน DCA เดือนละ 30,000 บาทในกองทุนต่างประเทศ ช่วงบาทแข็ง (31.70 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ) คุณจะได้หน่วยลงทุนมากกว่า ช่วงบาทอ่อน (37.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ) เกือบ 17% ความต่างนี้จะยิ่งมีน้ำหนักมากขึ้นหากคุณลงทุนต่อเนื่องหลายปี

สรุปและข้อคิดสำหรับนักลงทุน
- ค่าเงินมีผลต่อพอร์ตจริง แต่เป็นเพียง ภาพระยะสั้น
- การลงทุนระยะยาวและการ DCA คือเกราะที่ดีที่สุดในการลดผลกระทบจากค่าเงิน
- บาทแข็งไม่ใช่วิกฤติ แต่คือ โอกาสในการลงทุนหรือเพิ่มทุน เพราะแลกดอลลาร์สหรัฐได้มากขึ้น
ค่าเงินยังคงมีความผันผวนขึ้นลง แม้จะไม่มีใครบอกได้ชัดว่าตอนนี้คือ ‘จังหวะดีที่สุด’ หรือไม่ แต่สำหรับผู้ที่มองการลงทุนในระยะยาว เรทค่าเงินในปัจจุบันก็ถือเป็นโอกาสที่ไม่ควรพลาดในการเริ่มต้นหรือขยายพอร์ตให้เติบโตต่อไป
หากคุณสนใจการลงทุน สามารถติดต่อเจ้าหน้าที่แนะนำการลงทุนของ Jitta Wealth ได้ฟรี ผ่าน Line: @JittaWealth หรือโทร 02-460-8888 เพื่อรับคำปรึกษาโดยไม่มีค่าใช้จ่าย