แนะนำ 5 ETF น่าลงทุน ตัวเลือกจัดพอร์ตแกร่ง ท้าชนทุกวิกฤติ

ไฮไลต์
- ETF คือสินทรัพย์ที่ช่วยกระจายความเสี่ยง ครอบคลุมหุ้นหรือสินทรัพย์จำนวนมากในกองเดียว
- 5 ETF สำคัญที่ช่วยสร้างพอร์ตให้แกร่ง
- VTI: ลงทุนหุ้นทั้งตลาดสหรัฐฯ กว่า 3,000 บริษัท ครอบคลุมทุกอุตสาหกรรม
- VEA: ลงทุนหุ้นประเทศพัฒนาแล้วนอกสหรัฐฯ เช่น ญี่ปุ่น อังกฤษ เยอรมัน
- VWO: ลงทุนหุ้นประเทศกำลังพัฒนา เช่น จีน อินเดีย บราซิล ศักยภาพเติบโตสูง
- AGG: ลงทุนตราสารหนี้สหรัฐฯ กระจายทั้งพันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้คุณภาพดี ช่วยลดความผันผวน
- VCIT: ลงทุนหุ้นกู้เอกชนชั้นดีสหรัฐฯ ให้ผลตอบแทนสูงกว่าพันธบัตร แต่ยังอยู่ในความเสี่ยงที่ยอมรับได้
- การจัดพอร์ตตามหลัก Modern Portfolio Theory ที่รวมหุ้นและตราสารหนี้ ทำให้ความผันผวนของพอร์ตโดยรวมลดลง แต่ยังรักษาผลตอบแทนคาดหวังที่น่าพอใจ
- Global ETF ของ Jitta Wealth ตัวอย่างพอร์ตที่จัดสัดส่วนให้ตามหลักการ พร้อมคอยดูแลพอร์ตอัตโนมัติ ช่วยให้พอร์ตเติบโตได้ทุกสภาวการณ์
โลกการลงทุนทุกวันนี้เต็มไปด้วยความผันผวน และเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นตลอดเวลา คำถามคือ… เราจะจัดพอร์ตลงทุนยังไง ให้พร้อมรับทุกวิกฤติ และสามารถสร้างโอกาสเติบโตได้ในระยะยาว?
ซึ่งถ้าพูดถึงการจัดพอร์ตลงทุน การกระจายความเสี่ยง สินทรัพย์ที่เป็นพระเอกอยู่ในตอนนี้ก็คือ ETF (Exchange-Traded Fund) ที่ ETF เดียวก็สามารถกระจายลงทุนในหุ้นมากมาย หรือแม้กระทั่งกระจายลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ อย่างตราสารหนี้
บทความนี้จึงขอนำเสนอ 5 ETF น่าลงทุน ที่เป็นเหมือน “ชิ้นส่วนสำคัญ” ของการสร้างพอร์ตการลงทุนที่แข็งแกร่ง ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าสามารถพาพอร์ตข้ามผ่านวิกฤติได้จริง

1. VTI – Vanguard Total Stock Market ETF
ถ้าอยากลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ แบบ ‘ครบจบในกองเดียว’ VTI คือคำตอบ
- จุดเด่น: กระจายความเสี่ยงในหุ้นสหรัฐฯ ได้ดีที่สุดในตัวเดียว เพราะลงทุนในหุ้นทุกขนาด ตั้งแต่บริษัทใหญ่ไปจนถึงบริษัทเล็ก (กว่า 3,000 บริษัท) เหมาะสำหรับเป็นพอร์ตการลงทุนหลักที่ต้องการเติบโตไปพร้อมกับเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก
- อ้างอิงดัชนี: CRSP US Total Market Index
2. VEA – Vanguard FTSE Developed Markets ETF
การลงทุนไม่ควรพึ่งพาสหรัฐฯ เพียงประเทศเดียว VEA คือ ETF ที่เปิดโอกาสให้นักลงทุนเข้าถึงบริษัทชั้นนำในประเทศพัฒนาแล้วทั่วโลก
- จุดเด่น: กระจายการลงทุนไปยังบริษัทชั้นนำทั่วโลก นอกเหนือจากสหรัฐฯ เช่น ญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร แคนาดา ฝรั่งเศษ และเยอรมัน เป็นต้น ช่วยลดความเสี่ยงจากการลงทุนในสหรัฐฯ เพียงประเทศเดียว และเปิดโอกาสให้พอร์ตเติบโตจากเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งในภูมิภาคอื่น
- อ้างอิงดัชนี: FTSE Developed All Cap Ex. US Index
3. VWO – Vanguard FTSE Emerging Markets ETF
ถ้าอยากเพิ่มศักยภาพการเติบโตให้พอร์ต VWO คือ ETF ที่ตอบโจทย์
- จุดเด่น: โอกาสเติบโตสูง จากการลงทุนในประเทศที่เศรษฐกิจกำลังขยายตัว และมีศักยภาพการเติบโตรวดเร็ว เช่น จีน อินเดีย ไต้หวัน และบราซิล เป็นต้น แม้จะมีความเสี่ยงสูงกว่ากลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว แต่ก็มีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าในระยะยาวเช่นกัน
- อ้างอิงดัชนี: FTSE Emerging Markets All Cap China A Inclusion Index
4. AGG – iShares Core U.S. Aggregate Bond ETF
หุ้นเพียงอย่างเดียวไม่พอสำหรับพอร์ตที่มั่นคง ต้องมี ‘กันชน’ อย่างตราสารหนี้มาช่วยลดความผันผวนด้วย AGG
- จุดเด่น: สร้างเสถียรภาพและความปลอดภัยให้พอร์ต เพราะลงทุนในตราสารหนี้หลากหลายประเภทที่มีความน่าเชื่อถือสูง ทั้งพันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้เอกชนของสหรัฐฯ เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลดความผันผวนของพอร์ตโดยรวม
- อ้างอิงดัชนี: BBG Barc U.S. Aggregate Index
5. VCIT – Vanguard Intermediate-Term Corporate Bond ETF
อยากได้ผลตอบแทนจากตราสารหนี้ที่สูงขึ้น แต่ยังไม่อยากรับความเสี่ยงมากเกินไป VCIT เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ
- จุดเด่น: สร้างผลตอบแทนจากดอกเบี้ยได้สูงกว่า AGG โดยเน้นลงทุนในหุ้นกู้ของบริษัทที่มีความมั่นคงทางการเงิน (Investment Grade) ในระยะเวลาการลงทุนปานกลาง (5-10 ปี) จึงเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการผลตอบแทนจากตราสารหนี้ที่สูงขึ้น โดยยังคงมีความเสี่ยงในระดับที่ยอมรับได้
- อ้างอิงดัชนี: อ้างอิงดัชนี Bloomberg US 5-10 Year Corp Index
สร้างพอร์ตให้แกร่ง ด้วยการจัดสัดส่วนที่เหมาะสม
นอกจากวัตถุดิบหลักอย่าง ETF ทั้ง 5 ที่เราแนะนำแล้ว เคล็ดลับที่จะทำให้พอร์ตแข็งแกร่งขึ้นได้ คือการจัดสัดส่วนให้เหมาะสมกับเป้าหมายและระดับความเสี่ยง เช่น
หากคุณต้องการกระจายลงทุนในหุ้นทั่วโลกเพียงอย่างเดียวก็อาจลงทุน ใน VTI VEA และ VWO แค่ 3 ETF แต่พอร์ตก็อาจเสี่ยงสูงจนคุณรับไม่ไหว
หรือหากคุณไม่อยากเสี่ยงเลยก็อาจเลือกลงทุนใน AGG และ VCIT แต่ผลตอบแทนที่ได้ก็จะค่อยๆ โตทีละนิด ซึ่งอาจไม่ทันใจ
ดังนั้นการเลือก ETF มาลงทุนร่วมกันในสัดส่วนที่พอดี ตามหลัก Modern Portfolio Theory โดยในพอร์ตจะประกอบไปด้วยสินทรัพย์ 2 ประเภท ที่ไม่ค่อยสัมพันธ์กัน อย่างหุ้น กับตราสารหนี้ ทำให้ความผันผวนของพอร์ตโดยรวมลดลง แต่ยังรักษาผลตอบแทนคาดหวังที่น่าพอใจ
Global ETF ตัวอย่างพอร์ตแกร่ง ที่จัดสัดส่วนมาให้แล้ว
แม้จะเจอสินทรัพย์ที่ดีแล้ว แต่การจัดพอร์ตลงทุนในสัดส่วนที่ดีที่สุดนั้นทำได้ยาก
Jitta Wealth จึงได้ทดลองนำกองทุน ETF ทั้ง 5 กอง มาจัดพอร์ตตามหลัก Modern Portfolio Theory ในสัดส่วนที่แตกต่างกันออกไป เพื่อดูระดับความผันผวน โดยใช้ข้อมูลย้อนหลัง 10 ปี
จนได้สัดส่วน ETF ที่ให้ประสิทธิภาพทำผลตอบแทนดี ในระดับความเสี่ยงที่เหมาะสมในระดับต่างๆ ออกมาเป็น นโยบาย Global ETF ทั้ง 3 แผน ได้แก่ แผนพอเพียง สมดุล และเติบโต ให้นักลงทุนสามารถเลือกลงทุนได้แบบไม่ต้องเหนื่อยจัดพอร์ตเอง
อีกทั้ง Global ETF ยังมีระบบช่วยปรับพอร์ตบาลานซ์สัดส่วนให้อัตโนมัติ เมื่อสัดส่วนระหว่าง หุ้น และ ตราสารหนี้ เปลี่ยนแปลงเกิน 5%
เช่น เมื่อหุ้นราคาขึ้น ระบบก็จะขาย และนำเงินไปซื้อตราสารหนี้ที่ความผันผวนต่ำกว่า เพื่อล็อกกำไรเอาไว้ และพอหุ้นราคาถูกลง ระบบก็จะขายตราสารหนี้ไปช้อนซื้อหุ้น ทำให้นอกจากพอร์ตจะกลับไปอยู่ในสัดส่วนที่ดีที่สุดแล้ว ยังช่วยเพิ่มโอกาสให้พอร์ตสามารถเติบโตได้ในทุกสถานการณ์ พิสูจน์แล้วว่าผ่านได้ทุกวิกฤติ
สนใจการลงทุนสามารถติดต่อเจ้าหน้าที่แนะนำการลงทุนของเราได้ที่ Line: @JittaWealth หรือ โทร 02-460-8888 ปรึกษาฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย