S&P 500 ความจริงที่นักลงทุนต้องรู้ ก่อนตัดสินใจลงทุน

ไฮไลต์
- S&P 500 ทำผลตอบแทนเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี 12.2% และย้อนหลัง 30 ปี 10.5% ต่อปี แต่ยังมีบางปีที่ติดลบหนัก เช่น วิกฤติซับไพร์มปี 2008 ที่ดัชนีร่วง -57%
- การกระจายตัวใน S&P 500 ปัจจุบันยังพึ่งพาหุ้น 7 นางฟ้า (Apple, Microsoft, Alphabet, Amazon, Nvidia, Meta และ Tesla) ที่มีสัดส่วนถึง 34% ของดัชนี
- มูลค่าตลาด (Valuation) เริ่มแพง ปัจจุบัน P/E ของ S&P 500 อยู่ที่ 30.67 เท่า สูงกว่าต้นปีที่ 28.16 เท่า
- Market Prediction ของ Jitta Wealth ชี้ว่า หุ้นคุณภาพดีระดับท็อป 50 ตัว มีสัดส่วนหุ้นแพงมากกว่าหุ้นถูก (27 ต่อ 23 ตัว)
- การลงทุนใน S&P 500 ยังน่าสนใจหากลงทุนระยะยาว แต่ควรเสริมด้วยการกระจายความเสี่ยงไปยังตลาดหุ้นอื่นและตราสารหนี้ เพื่อพอร์ตที่มั่นคงกว่า
S&P 500 เป็นชื่อที่นักลงทุน และกูรูด้านการเงินการลงทุนทั่วโลกแนะนำให้ลงทุน เพราะจากสถิติที่ผ่านมา หากลงทุนในดัชนี S&P 500 เป็นเวลา 10 ปี จะได้ผลตอบแทนเฉลี่ยสูงถึง 12.2% ต่อปี
หรือต่อให้ลงทุนระยะยาวเป็นเวลา 30 ปี ก็ยังได้ผลตอบแทนเฉลี่ยสูงถึง 10.5% ต่อปี ง่ายกว่าการไปนั่งคัดเลือกหุ้นรายตัว ซึ่งผลสุดท้ายอาจทำผลตอบแทนได้ไม่ดีเท่าดัชนีด้วยซ้ำ
แต่บนความสวยหรูนี้ ยังมีความจริงที่คุณควรจะต้องรู้ ก่อนตัดสินใจลงทุนใน S&P 500
ลงทุนใน S&P 500 ก็ขาดทุนได้
แม้ในภาพรวมระยะยาวดัชนี S&P 500 จะมีแนวโน้มเป็นขาขึ้นมาโดยตลอด แต่ในช่วงเวลาเหล่านั้นก็มีบางปีที่ขาดทุนเหมือนกัน เช่น ปี 2561 ขาดทุน -6.24% และปี 2565 ขาดทุน -19.44% หรือถ้าย้อนกลับไปช่วงวิกฤติซับไพร์มปี 2551 ที่ S&P 500 ขาดทุน -38.49% ในปีนั้นดัชนีเคยลงไปทำจุดต่ำสุดกว่า -57% เลยทีเดียว
และต่อให้จะเป็นปีที่ได้กำไร ก็มีช่วงที่ดัชนีผันผวนหนักอยู่เหมือนกัน ดังนั้น หากคุณลงทุนผิดจังหวะเวลา ก็อาจเสี่ยงขาดทุนได้เช่นกัน นอกจากนี้ การลงทุนใน S&P 500 ให้เห็นผลลัพธ์ที่ดี อาจต้องใช้เวลานานกว่า 10 ปี เพราะถ้าลงทุนเพียงไม่กี่ปีก็มีความเสี่ยงสูงที่จะเจอปีแย่ๆ ได้เหมือนกัน
ลงทุนตอนนี้อาจเสี่ยงเกินไป?
ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน (YTD) ดัชนี S&P 500 ให้ผลตอบแทนประมาณ 13% แม้จะไม่ได้เป็นตัวเลขที่หวือหวา แต่จากการปรับตัวขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้อัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E) ซึ่งเป็นตัวบอกความถูกแพงของตลาด ก็ปรับขึ้นสูงถึง 30.67 เท่า เพิ่มขึ้นจาก 28.16 เท่าในช่วงต้นปี
สอดคล้องกับ Market Prediction ของ Jitta Wealth อีกเครื่องมือบ่งชี้ความถูกแพงของตลาดหุ้น พบว่า จากการวิเคราะห์หุ้นคุณภาพดีระดับท็อป 50 ตัว มีหุ้นถูก 23 ตัว และหุ้นแพง 27 ตัว แสดงให้เห็นว่าปัจจุบัน มีสัดส่วนหุ้นแพงมากกว่าหุ้นถูกแล้ว (ข้อมูล ณ วันที่ 17 กันยายน 2568)
นอกจากนี้ ในมุมของการกระจายความเสี่ยง แม้การลงทุนใน 500 บริษัทชั้นนำในดัชนี S&P 500 ย่อมดีกว่าการลงทุนที่กระจุกอยู่ในหุ้นเพียงแค่ไม่กี่ตัวก็จริง แต่ปัจจุบันหุ้น 7 นางฟ้า หรือหุ้นเทคโนโลยีชั้นนำเพียงแค่ 7 ตัว ได้แก่ Apple, Microsoft, Alphabet, Amazon, Nvidia, Meta Platforms และ Tesla ก็คิดเป็นสัดส่วนกว่า 34% ของดัชนีแล้ว
เท่ากับว่า พอร์ตของคุณอาจขึ้นอยู่กับหุ้นเทคโนโลยีเพียงกลุ่มเดียว ซึ่งอาจเสี่ยงกว่าที่คุณคิด
สรุปแล้ว S&P 500 ยังลงทุนได้ไหม?
หากคุณเข้าใจความเสี่ยง S&P 500 ยังเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับการลงทุนระยะยาว แต่อย่างไรก็ตามการกระจายความเสี่ยงไปยังตลาดหุ้นอื่นๆ ที่น่าสนใจ หรือกระจายไปลงทุนในสินทรัพย์ที่ความเสี่ยงต่ำ และขึ้นลงสวนทางกับตลาดหุ้นอย่างตราสารหนี้ ก็จะช่วยให้คุณลงทุนได้อย่างสบายใจมากขึ้น
ลงทุนแบบกระจายความเสี่ยงกับ Jitta Wealth
คุณสามารถลงทุนใน S&P 500 ผ่านนโยบาย Thematic DIY โดยเลือกธีม ‘ตลาดหุ้นสหรัฐฯ’ ซึ่งลงทุนใน iShares Core S&P 500 ETF (IVV) ที่อ้างอิงดัชนีโดยตรง ร่วมกับธีมตลาดหุ้นชั้นนำต่างๆ อย่างญี่ปุ่น จีน เวียดนาม และอินเดีย เพื่อกระจายความเสี่ยงไปยังตลาดหุ้นอื่นๆ
หรือลงทุน Global ETF ที่กระจายความเสี่ยงครอบคลุมตลาดหุ้นทั่วโลก และตราสารหนี้คุณภาพผ่าน ETF ชั้นนำ
ไม่ว่าจะเป็น
- หุ้นทั้งตลาดสหรัฐฯ กว่า 3,000 บริษัท ครอบคลุมทุกอุตสาหกรรม
- หุ้นประเทศพัฒนาแล้วนอกสหรัฐฯ เช่น ญี่ปุ่น อังกฤษ เยอรมัน
- หุ้นประเทศกำลังพัฒนา เช่น จีน อินเดีย บราซิล ศักยภาพเติบโตสูง
- ตราสารหนี้สหรัฐฯ กระจายทั้งพันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้คุณภาพดี ช่วยลดความผันผวน
- หุ้นกู้เอกชนชั้นดีสหรัฐฯ ให้ผลตอบแทนสูงกว่าพันธบัตร แต่ยังอยู่ในความเสี่ยงที่ยอมรับได้
ซึ่งจัดพอร์ตมาให้แล้วตามหลักการระดับโลกอย่าง Modern Portfolio Theory ที่มุ่งสร้างผลตอบแทนสูงสุด บนความเสี่ยงที่คุณรับได้ พร้อมคอยปรับพอร์ตบาลานซ์สัดส่วนให้อัตโนมัติเมื่อหุ้น หรือตราสารหนี้ปรับตัวขึ้นลง
หากสนใจการลงทุน สามารถติดต่อเจ้าหน้าที่แนะนำการลงทุนของเราได้ที่ Line: @JittaWealth หรือ โทร 02-460-8888 ปรึกษาฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย