‘ชัตดาวน์สหรัฐฯ’ คืออะไร กระทบตลาดหุ้นแค่ไหน?

ไฮไลต์
- ชัตดาวน์สหรัฐฯ ไม่ใช่เรื่องใหม่ เกิดมาแล้วเกือบ 20 ครั้งในประวัติศาสตร์ ส่วนใหญ่จบด้วยข้อตกลงทางการเมือง
- ผลกระทบต่อเศรษฐกิจจริงเล็กน้อยมาก แม้ยืดเยื้อทั้งไตรมาส GDP ก็หดตัวแค่ 0.2-0.6% และมักถูกชดเชยเมื่อรัฐบาลจ่ายเงินย้อนหลัง
- ตลาดหุ้นสะท้อนความกังวลล่วงหน้า ราคามักร่วงก่อนเหตุการณ์ แต่ก็พร้อมฟื้นตัวทันทีเมื่อความไม่แน่นอนคลี่คลาย
- สิ่งที่สำคัญคือการกระจายความเสี่ยง และวินัย DCA ที่จะช่วยให้พอร์ตผ่านช่วงเวลาผันผวน ข่าวร้ายมากระทบแค่ไหนก็ไปต่อได้
วันที่ 1 ตุลาคม 2568 สหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะ Government Shutdown อีกครั้ง หลังสภาคองเกรสไม่สามารถบรรลุข้อตกลงเรื่องงบประมาณรายจ่ายประจำปีได้ทันเวลา
ภาพที่ออกมาคือหน่วยงานรัฐจำนวนมากต้องหยุดให้บริการชั่วคราว ข้าราชการหลายแสนคนถูกพักงานโดยไม่ได้ค่าจ้างทันที ขณะที่บริการจำเป็นต่อความมั่นคงและความปลอดภัยยังต้องเดินหน้าต่อไป
แม้ภาพข่าวและการเมืองจะร้อนแรง แต่หากมองลึกลงไปถึงตลาดการเงิน ผลกระทบระยะสั้นอาจมีให้เห็นในรูปแบบความผันผวนบ้าง
ทว่า หากย้อนดูสถิติและพฤติกรรมตลาดรอบก่อนๆ จะเห็นว่าผลกระทบในระยะยาวกลับ ‘เล็กกว่าที่คิด’
Government Shutdown คืออะไร
Government Shutdown คือภาวะที่รัฐบาลกลางสหรัฐฯ ไม่สามารถใช้งบประมาณดำเนินงานได้ตามปกติ เพราะกฎหมายงบประมาณไม่ผ่านการอนุมัติจากสภาคองเกรส
สาเหตุหลักคือความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างสองพรรคใหญ่ ‘Republican’ และ ‘Democrat’ ในการจัดลำดับความสำคัญของรายจ่าย
ตั้งแต่ปี 2519 เป็นต้นมา สหรัฐฯ เผชิญการชัตดาวน์มาแล้วเกือบ 20 ครั้ง รอบที่ยาวที่สุดกินเวลาถึง 34 วัน (ในช่วงปลายปี 2561) ภายใต้การบริหารของ Donald Trump
ปัญหานี้จึงไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับนักลงทุนและประชาชน แต่ทุกครั้งที่เกิด ย่อมสร้างแรงสั่นสะเทือนในเชิงจิตวิทยาตลาด แต่ในระยะยาวตลาดหุ้นมักจะ ‘มองข้าม’ ปัญหานี้ไป เพราะนักลงทุนส่วนใหญ่เข้าใจว่ามันเป็นเกมการเมืองชั่วคราว ไม่ใช่ปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจขั้นพื้นฐาน
อะไรหยุดทำงาน อะไรยังเดินหน้าต่อ
เมื่อเกิดการชัตดาวน์ หน่วยงานของรัฐจะถูกแบ่งเป็น ‘จำเป็น’ (Essential) และ ‘ไม่จำเป็น’ (Non-essential)
- หน่วยงานที่ยังต้องทำงานต่อ เช่น ทหาร ตำรวจ ศาลรัฐบาลกลาง ไปรษณีย์ ระบบขนส่งสำคัญ โครงการสินเชื่อบ้านสหรัฐฯ (FHA) ความมั่นคงปลอดภัยการบิน (TSA) ฯลฯ
- หน่วยงานที่หยุดทำงานได้ เช่น อุทยานแห่งชาติ พิพิธภัณฑ์ ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ศูนย์วิจัยและข้อมูลเศรษฐกิจ รวมถึงกรมสรรพากร (IRS) ที่ทำให้การคืนภาษีล่าช้า
ผลโดยตรงคือ ข้าราชการหลายแสนคนไม่ได้รับค่าจ้างชั่วคราว กระทบต่อการใช้จ่ายและการบริโภคในวงกว้าง
เศรษฐกิจสหรัฐฯ ถูกกระทบน้อยมาก
นักเศรษฐศาสตร์ประเมินว่า หากการชัตดาวน์ยาวนานระดับหนึ่งไตรมาส GDP สหรัฐฯ อาจหดตัวราว 0.2-0.6%
แต่หากกินเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์ ผลกระทบมักถูกชดเชยในเดือนถัดมาเมื่อรัฐบาลจ่ายเงินย้อนหลังให้พนักงาน ภาพนี้เรียกว่า Pent-up Demand การใช้จ่ายที่ถูกอั้นไว้และระเบิดออกหลังวิกฤติ
หากย้อนดูรอบปี 2561 ดัชนี S&P 500 ร่วงลงก่อนที่การชัตดาวน์จะเริ่มราว -7% แต่หลังคลี่คลายกลับบวกกว่า 10% ภายในเดือนเดียว
เหตุผลคือ ธุรกิจหลักไม่ได้หยุดจริง เศรษฐกิจยังขับเคลื่อน และเม็ดเงินภาครัฐถูกอัดกลับเข้าระบบทันทีเมื่อข้อตกลงใหม่ผ่าน
ระยะสั้นหุ้นผันผวน ระยะยาวไม่สะเทือน
นักลงทุนจำนวนมากมักกังวลว่า การชัตดาวน์จะทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ และทั่วโลกพังครืน แต่จากข้อมูลในอดีตกลับตรงกันข้าม
ตลาดมักสะท้อนความกังวลล่วงหน้า กล่าวคือ เกิดการขายทิ้ง (Sell-off) ก่อนเหตุเกิด และเมื่อความไม่แน่นอนจบลง ราคาก็ฟื้นตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
ทั้งนี้ เพราะการชัตดาวน์ของรัฐบาลนั้นแทบไม่ส่งผลอะไรกับกำไรของบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ ยกตัวอย่างเช่น Nvidia Google และ YouTube ธุรกิจเหล่านี้ก็ยังเดินต่อได้ เพราะรายได้หลักยังคงไหลเข้าตามปกติ
กลุ่มที่กำไรอาจจะชะลอลงบ้าง คือ ธุรกิจที่เกี่ยวกับการอุปโภคและบริโภค ซึ่งพึ่งพากำลังซื้อของพนักงานรัฐ แต่อย่างที่กล่าวไปข้างต้น คือ เดือนถัดไปมักเกิด Pent-up Demand พอคนกลับมาใช้จ่าย GDP ก็ไม่หดตัว
สิ่งที่น่ากลัวจริงๆ ไม่ใช่สหรัฐฯ ชัตดาวน์
ปัจจัยที่ต้องจับตาคือ ระดับราคาหุ้น ขณะที่เกิดเหตุ หากตลาดอยู่ใน ‘โซนถูก’ เหตุการณ์ชัตดาวน์มักจะเป็นโอกาสในการเข้าซื้อหุ้นในราคาถูก
แต่หากตลาดอยู่ ‘โซนแพง’ เหมือนอย่างเช่นตอนนี้ ความผันผวนอาจทวีคูณ เพราะนักลงทุนพร้อมขายทำกำไรทุกเมื่อ ถ้าเหตุการณ์ไม่เป็นไปตามคาด
อีกความเสี่ยงคือ การเมืองเชิงนโยบาย โดยเฉพาะหากผู้นำสหรัฐฯ ใช้การชัตดาวน์เป็นเครื่องต่อรองเพื่อผลักดันกฎหมายอื่น เช่น ภาษีใหม่ หรือมาตรการการค้าระหว่างประเทศ
ความไม่แน่นอนเหล่านี้ต่างหากที่อาจกดดันตลาดได้จริง
‘จงมั่นคงตามแผน’ (Stay the Course)
สิ่งที่ Jitta Wealth ย้ำเสมอคือ หลักการลงทุนระยะยาวไม่ควรถูกสั่นคลอนด้วยข่าวระยะสั้น เราต้อง ‘Stay the Course’ หรือ ‘จงมั่นคงตามแผน’
เพราะประวัติศาสตร์พิสูจน์แล้วว่า หลังจากเกิดวิกฤติ ตลาดจะกลับมาเติบโตต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น Nixon Shock วิกฤติซับไพรม์ หรือแม้แต่ Covid-19
แทนที่จะพยายามคาดเดาว่า ชัตดาวน์สหรัฐฯ จะยืดเยื้อกี่วัน ควรโฟกัสที่สิ่งที่เราควบคุมได้จริง ดังนี้
1. เดินหน้า DCA ต่อเนื่อง: การทยอยลงทุน (DCA) ตามรอบเวลา ลดความเสี่ยงจากการจับจังหวะผิด
2. กระจายความเสี่ยง จัดพอร์ตแบบ Core & Satellite:
• พอร์ตหลัก (Core) เน้นพึ่งพิงได้ ไม่หวือหวา เช่น Global ETF ที่กระจายการลงทุนไปทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นหุ้นสหรัฐฯ หุ้นประเทศพัฒนาแล้ว หุ้นตลาดเกิดใหม่ และตราสารหนี้คุณภาพดีในสหรัฐฯ
• พอร์ตเสริม (Satellite) คือส่วนเสริมที่สามารถโฟกัสธีมรายอุตสาหกรรม หรือประเทศที่กำลังโตแรงแบบเฉพาะเจาะลง เพื่อเพิ่มโอกาสทำกำไร แต่จำกัดสัดส่วนในกรณีที่ขาดทุนก็จะไม่กระทบพอร์ตโดยรวมมากนัก เช่น Thematic Jitta Ranking และ Jitta Ranking Alpha
ทั้งหมดนี้ทำให้นักลงทุน ‘ลงทุนต่อได้อย่างมั่นใจ’ โดยไม่ต้องวิตกกับข่าวชั่วคราว ไม่ว่าจะเป็นการชัตดาวน์สหรัฐฯ หรือข่าวการเมืองอื่นๆ ที่อาจเข้ามากระทบ
มีสติแม้เผชิญข่าวร้าย เดินหน้าสู่เป้าหมายระยะยาว
Government Shutdown เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า และทุกครั้งก็จบด้วยข้อตกลงทางการเมือง ระยะสั้นตลาดอาจผันผวน แต่ระยะยาว ตลาดยังขับเคลื่อนด้วยกำไรธุรกิจ และการเติบโตของเศรษฐกิจ
สิ่งที่แยกนักลงทุนที่สำเร็จออกจากคนทั่วไป ไม่ใช่การเดาข่าวได้แม่นที่สุด แต่คือการรักษาวินัย มีกลยุทธ์ที่ดี กระจายความเสี่ยง และเดินหน้าตามแผนอย่างมั่นคง
แม้ข่าวชัตดาวน์สหรัฐฯ จะเต็มไปด้วยดราม่า แต่สำหรับนักลงทุนระยะยาว สิ่งสำคัญที่สุดคือ ‘การลงทุนต่อเนื่องด้วยกลยุทธ์และ Mindset ที่ดี’ ที่ช่วยให้คุณผ่านทุกวิกฤติไปได้