Skip to content - ข้ามไปที่เนื้อหา
Blog

ดูเศรษฐกิจตอนนี้แย่หรือดี ด้วยดัชนีกึ่งสำเร็จรูป


Jitta Wealth

ไฮไลต์

  • เราสามารถประเมินภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันได้จากพฤติกรรมการบริโภคสินค้าในชีวิตประจำวัน ซึ่งเข้าใจไม่ซับซ้อน
  • ดัชนีมาม่า (Mama Index): คือการใช้ยอดขาย ‘มาม่า’ เป็นตัวชี้วัดเศรษฐกิจไทย เมื่อเศรษฐกิจแย่คนหันมากินของถูกและง่ายอย่างมาม่า ทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้น เมื่อเศรษฐกิจดีคนมีทางเลือกมากขึ้น ยอดขายมาม่าก็มีแนวโน้มโตช้าลงตาม 
  • ดัชนีลิปสติก (Lipstick Index): เศรษฐกิจแย่ ยอดขายลิปสติกเพิ่มขึ้น เพราะเป็นของฟุ่มเฟือยราคาถูกที่คนยังพอซื้อเพื่อปลอบใจตัวเองได้
  • ดัชนีกางเกงในชาย (Men’s Underwear Index): เศรษฐกิจแย่ ยอดขายลดลง เพราะเป็นของใช้จำเป็นที่ไม่มีใครเห็น ผู้ชายจึงยืดอายุการใช้งานออกไปก่อน
  • ดัชนีบิกแมค (Big Mac Index): ใช้วัดว่าค่าเงินของประเทศต่างๆ ถูกหรือแพงเกินไป โดยเปรียบเทียบราคาบิกแมคในประเทศกับราคาในสหรัฐฯ
  • ดัชนีอื่นๆ ยังมีดัชนีกระโปรง, แชมเปญ, และกล่องกระดาษแข็ง ที่ใช้สะท้อนภาวะเศรษฐกิจในมุมต่างๆ
  • ดัชนีเหล่านี้เป็น ‘สัญญาณเตือนภัย’ ที่ดี ช่วยให้เข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคและจับทิศทางเศรษฐกิจได้เร็ว หรือประเมินโอกาสในการลงทุนได้ แต่ไม่ใช่คำตอบสุดท้าย และควรใช้ควบคู่กับข้อมูลเศรษฐกิจที่เป็นทางการเพื่อให้ได้ภาพที่สมบูรณ์

เวลาเราได้ยินคำว่าเศรษฐกิจชะลอตัว ค่าเงินผันผวน หรือ GDP โตต่ำกว่าเป้า หลายคนอาจเริ่มมึนงง เพราะคำศัพท์เศรษฐกิจที่ว่ามาฟังดูไกลตัวและซับซ้อน ต้องแปลไทยเป็นไทยอีกที

แต่รู้หรือไม่ว่า…บางทีแค่ดู ‘ยอดขายมาม่า’ ก็พอจะคาดเดาได้ว่าเศรษฐกิจกำลังไปในทิศทางไหน

ยิ่งไปกว่านั้น โลกเรายังมีดัชนีแปลกๆ อีกมากมายที่ใช้สะท้อนภาวะเศรษฐกิจจากมุมมองในชีวิตประจำวัน บางอย่างฟังแล้วอาจนึกว่าเป็นแค่เรื่องเล่นๆ แต่จริงๆ แล้วมีหลักคิดที่น่าทึ่งซ่อนอยู่ 

บทความนี้ Jitta Wealth ได้รวบรวมตัวอย่างที่น่าสนใจมาให้ดูกัน เป็นข้อมูลง่ายๆ ที่ช่วยทำให้คุณเข้าใจเศรษฐกิจและมองเห็นโอกาสลงทุนจากสิ่งใกล้ตัว

ดัชนีมาม่า เศรษฐกิจไทยในซองเดียว

ดัชนีมาม่า (Mama Index) คือคำเปรียบเปรยที่คนไทยใช้กันมานาน โดยอิงจากพฤติกรรมการบริโภคบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในช่วงที่เศรษฐกิจฝืดเคือง

ทำไมมาม่าถึงเป็นสัญญาณเตือน?

ช่วงเศรษฐกิจแย่: เมื่อคนเริ่มรัดเข็มขัด รายได้น้อยลง หรือไม่มั่นใจในอนาคต การใช้จ่ายจะลดลง โดยเฉพาะมื้ออาหารนอกบ้าน คนจะหันมาซื้อของกินที่ถูก อิ่ม และง่าย ซึ่ง ‘มาม่า’ ตอบโจทย์ทุกข้อ

ช่วงเศรษฐกิจดี: ถ้าเศรษฐกิจฟื้น คนเริ่มใช้จ่ายคล่องมือขึ้น การกินมาม่าอาจลดลง หรือโตในอัตราที่น้อยลง เพราะคนมีทางเลือกมากขึ้น

แต่ปัจจุบันมุมมองเศรษฐกิจผ่านดัชนีมาม่านั้นมีข้อจำกัด เนื่องจากมีสินค้าพรีเมียมเพิ่มขึ้น เช่น มาม่า OK หรือ รสใหม่ๆ ที่ราคาแพงขึ้น อาจทำให้ยอดขายเพิ่ม เพราะความ ‘อยากลอง’ ไม่ใช่ความ ‘จำเป็น’

และเดี๋ยวนี้คนรายได้สูงก็กินมาม่า ไม่ใช่เพราะเงินไม่พอ แต่เพราะชอบ หรือเอามาแต่งเป็นเมนูแปลกใหม่ อีกทั้งยอดส่งออกสูง ทำให้ยอดขายรวมอาจไม่ใช่ภาพสะท้อนเศรษฐกิจไทยโดยตรง เพราะมาม่าถูกส่งขายทั่วโลก

ดังนั้น ถ้าจะมองภาพเศรษฐกิจไทยผ่านซองมาม่า ควรโฟกัสที่ยอดขายในประเทศ โดยเฉพาะรสคลาสสิก จะชี้ภาพได้ชัดเจนขึ้น

ภาพแสดงแนวโน้มเศรษฐกิจไทยจากยอดขายมาม่า ที่ตัวภาพแสดงให้เห็นว่าคนเลือกซื้อมาม่าเยอะ สะท้อนว่าเมื่อเศรษฐกิจชะลอตัว ผู้คนใช้จ่ายน้อยลง หันมากินของถูกและง่าย ยอดขายมาม่าจะพุ่งสูงขึ้น

ส่องเศรษฐกิจไทยจากดัชนีมาม่าล่าสุด

จากรายงานผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2568 ของ TFMAMA (ผู้ผลิตมาม่า) ระบุว่า “รายได้จากบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปและอาหารพร้อมทานในประเทศ เพิ่มขึ้น 10.58%” เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

การเติบโตในระดับสองหลัก (+10.58%) ถือเป็นตัวเลขที่สูง และเป็นไปได้ยากที่จะเกิดจากสินค้าพรีเมียมเพียงอย่างเดียว แสดงว่าปริมาณการขายของมาม่า โดยรวม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นรสคลาสสิกนั้น เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

สะท้อนว่าภาคครัวเรือนกำลังบริโภคมาม่า มากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งสอดคล้องกับทฤษฎีที่ว่า คนกำลังรัดเข็มขัดและหันมาพึ่งพาอาหารราคาประหยัดมากขึ้น

และเมื่อเปรียบเทียบยอดขายมาม่าในประเทศที่โตถึง +10.58% กับภาพรวมการบริโภคภาคเอกชนของไทยจากหน่วยงานเศรษฐกิจต่างๆ คาดการณ์ว่าจะโตในปี 2568 เพียง 2.7%-3.2%

แสดงให้เห็นว่ายอดขายมาม่าเพิ่มขึ้นในขณะที่ภาพรวมการบริโภคลดลง เป็นสัญญาณว่าผู้บริโภคเปลี่ยนมาซื้อของถูกมากขึ้น สะท้อนภาพกำลังซื้อที่เปราะบาง และภาวะเงินในกระเป๋าไม่พอใช้ของคนส่วนใหญ่ 

ในมุมการลงทุนเองก็แสดงให้เห็นว่าแม้เศรษฐกิจจะมีแนวโน้มชะลอตัวแต่บางอุตสาหกรรมยังสามารถลงทุนได้

ดัชนีนอกตำราอื่นๆ ที่คุณอาจไม่เคยรู้จัก

ประเทศไทยคุณอาจดูมาม่า แต่ในต่างประเทศก็มีดัชนีในลักษณะนี้เช่นกัน ซึ่งแต่ละดัชนีก็มีที่มาและหลักการที่น่าสนใจแตกต่างกันไป ยกตัวอย่างเช่น

ดัชนีบิกแมค (Big Mac Index)

เป็นแนวคิดที่ริเริ่มโดยนิตยสาร The Economist เพื่อใช้วัดและเปรียบเทียบค่าเงินของประเทศต่างๆ อย่างง่ายๆ 

ดัชนีนี้ตั้งอยู่บนทฤษฎีความเท่าเทียมกันของอำนาจซื้อ (Purchasing Power Parity – PPP) คือในระยะยาว อัตราแลกเปลี่ยนระหว่างสองสกุลเงินควรจะปรับตัวเข้าสู่จุดที่ทำให้ราคาสินค้าและบริการที่เหมือนกันทุกประการในสองประเทศนั้นมีค่าเท่ากัน

พูดง่ายๆ ก็คือ หากนำเงินบาทไปแลกเป็นดอลลาร์สหรัฐฯ เราควรจะซื้อของ (ในที่นี้คือบิกแมค) ได้ในปริมาณเท่าเดิม 

ดังนั้นหากราคาบิกแมคในประเทศใด (เมื่อแปลงเป็นดอลลาร์สหรัฐ) สูงกว่าราคาในสหรัฐฯ ก็อาจหมายความว่าค่าเงินของประเทศนั้นแข็งค่าเกินจริง 

ปัจจุบันราคาบิกแมคในสหรัฐฯ อยู่ที่ประมาณ 5.69 ดอลาร์สหรัฐ ส่วนของไทยราคาอยู่ที่ 149 บาท เมื่อดูค่าเงินปัจจุบันที่ 32.47 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ ค่าเงินบาทของไทย ยังอ่อนค่ากว่าที่ควรจะเป็นอยู่ 19.35% แม้ว่าค่าเงินบาทต่อดอลลาร์จะแข็งค่าขึ้นในช่วงที่ผ่านมา 

ดัชนีลิปสติก (Lipstick Index)

เป็นแนวคิดที่ถูกนำเสนอโดย Leonard Lauder ประธานบริษัท Estée Lauder ที่สังเกตว่าในช่วงเศรษฐกิจถดถอย ยอดขายลิปสติกจะเพิ่มสูงขึ้น สวนทางกับสินค้าฟุ่มเฟือยราคาแพงอื่นๆ

โดยในภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน ผู้หญิงจะชะลอการซื้อของชิ้นใหญ่อย่างกระเป๋าหรือเสื้อผ้าราคาแพง แต่ยังคงต้องการให้รางวัลตัวเองด้วยของฟุ่มเฟือยเล็กๆ น้อยๆ ที่มีราคาไม่สูงนัก ซึ่ง ‘ลิปสติก’ ถือเป็นหนึ่งในตัวเลือกนั้น

ปัจจุบันตลาดความงามทั่วโลกยังคงเติบโต แต่เป็นการเติบโตที่ ‘ชะลอตัวลง’ พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนจาก ซื้อทุกอย่าง (More-is-more) ไปสู่ การเลือกซื้ออย่างฉลาด (Selective Splurging)

สินค้าที่ขายดีไม่ใช่แค่ลิปสติกราคาถูก แต่รวมถึงผลิตภัณฑ์ดูแลผิว (Skincare) หรือเครื่องสำอางชิ้นเล็กๆ ที่ให้ความรู้สึก คุ้มค่า และเป็นของฟุ่มเฟือยที่พอจ่ายไหว (Affordable Indulgence) สะท้อนว่าผู้บริโภคมีความกังวลและระมัดระวังในการใช้จ่าย

ดัชนีกางเกงชั้นในชาย (Men’s Underwear Index)

เป็นอีกหนึ่งดัชนีที่แปลก แต่ได้รับความสนใจ เพราะคนที่คิดขึ้นมาคือนักเศรษฐศาสตร์ระดับโลกอย่าง Alan Greenspan อดีตประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) 

เนื่องจากกางเกงในชายเป็นของใช้ส่วนตัวที่คนนอกมองไม่เห็น ดังนั้น ในช่วงเศรษฐกิจฝืดเคือง ผู้ชายมักจะประหยัดเงินด้วยการยืดอายุการใช้งานกางเกงชั้นในตัวเก่าออกไปก่อน ทำให้ยอดขายลดลง และเมื่อเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว ยอดขายสินค้าประเภทนี้ก็จะกลับมาเพิ่มขึ้น

ปัจจุบันภาพรวมตลาดคาดการณ์ว่าตลาดชุดชั้นในชายจะเติบโตในระยะยาว จากเทรนด์ด้านแฟชันและสุขภาพ แต่ในระยะสั้น ซึ่งเป็นหัวใจของดัชนีนี้ เมื่อพิจารณาจากภาวะหนี้ครัวเรือนที่สูงและกำลังซื้อที่ซบเซาในหลายประเทศรวมถึงไทย แนวโน้มยอดขายน่าจะอยู่ในภาวะทรงตัวหรือลดลงเล็กน้อย

ภาพที่สะท้อนบ่งชี้ว่าผู้บริโภคชายกำลัง ‘ยืดอายุการใช้งาน’ ของเก่าออกไป ซึ่งเป็นสัญญาณของการรัดเข็มขัดที่แท้จริง

นอกจากทั้ง 3 ดัชนีที่เรายกตัวอย่างมา ยังมีดัชนีไม่เป็นทางการอื่นๆ ที่น่าสนใจอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น

ดัชนีความยาวกระโปรง (Hemline Index): ในช่วงที่เศรษฐกิจรุ่งเรือง ผู้หญิงจะนิยมใส่กระโปรงสั้นขึ้น และเมื่อเศรษฐกิจซบเซา กระโปรงจะยาวลง

ดัชนีแชมเปญ (Champagne Index): ยอดขายแชมเปญจะลดลงในช่วงเศรษฐกิจถดถอย เนื่องจากผู้คนลดการเฉลิมฉลองและการใช้จ่ายฟุ่มเฟือย

ดัชนีกล่องกระดาษแข็ง (Cardboard Box Index): ปริมาณการใช้กล่องกระดาษแข็งสะท้อนถึงปริมาณการผลิตและการขนส่งสินค้า ซึ่งจะลดลงเมื่อเศรษฐกิจชะลอตัว

อ้างอิง: Investopedia และ Vskills

ดูเศรษฐกิจด้วยมาม่า ดูตลาดหุ้นด้วยงานปาร์ตี้

ทฤษฎี Cocktail Party อันโด่งดังของ Peter Lynch ในหนังสือ ‘One Up On Wall Street’ ได้เสนอแนวคิดการดูอารมณ์ตลาดหุ้นจากหัวข้อการพูดคุยในงานปาร์ตี้ 

หากคุณเป็นผู้จัดการกองทุน หรือมีความรู้ด้านการลงทุน ถ้าเป็นในช่วงที่ตลาดหุ้นตกหรือซบเซา ผู้คนจะพูดคุยกันถึงประเด็นอื่น แทนที่จะเป็นเรื่องการลงทุน แต่พอตลาดดีขึ้นผู้คนก็จะให้ความสนใจการลงทุนมากขึ้น มีคนเข้ามาขอคำแนะนำ ยิ่งช่วงตลาดร้อนแรง ผู้คนจะไม่ใช่แค่เข้ามาขอคำแนะนำ แต่จะเป็นฝ่ายเข้ามาให้คำแนะนำแทน เป็นสัญญาณว่าตลาดหุ้นขึ้นถึงจุดพีกแล้ว

เมื่อ ‘ของเล็ก’ บอกเรื่องใหญ่

ดัชนีกึ่งสำเร็จรูปเหล่านี้ไม่ได้แม่นยำแบบหลักเศรษฐศาสตร์ที่มีตัวเลขชี้วัดตรงตัว แต่ช่วยให้เรา ‘รู้ทัน’ พฤติกรรมคน และจับสัญญาณเศรษฐกิจได้ก่อนที่ตัวเลขทางการจะออกเสียอีก

การสังเกตสิ่งรอบตัว เช่น ยอดขายบะหมี่ ลิปสติก หรือแม้แต่กางเกงชั้นในชาย อาจทำให้เราเข้าใจเศรษฐกิจมากกว่าการนั่งอ่านรายงานหนาๆ ก็ได้

และสิ่งเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณถึงโอกาสในการลงทุน เช่นดัชนีมาม่า หรือดัชนีลิปสติก ที่บอกว่าแม้ตอนนี้เศรษฐกิจจะเติบโตช้าผู้คนระวังในเรื่องการใช้จ่าย แต่บางอุตสาหกรรมยังคงได้รับประโยชน์และเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ดังนั้นเราควรระมัดระวังในแง่การใช้จ่าย

และในมุมการลงทุนอาจปรับกลยุทธ์กระจายความเสี่ยงในทรัพย์สินคุณภาพมากขึ้นกว่าการพยายามจับจังหวะทำกำไรในระยะสั้น

สิ่งสำคัญคือ ต้องรู้ว่า ดัชนีเหล่านี้คือ ‘สัญญาณ’ ไม่ใช่ ‘คำตอบสุดท้าย’ ใช้มันควบคู่กับข้อมูลจริง แล้วคุณจะได้มุมมองที่ทั้งสนุก เฉียบคม และเป็นประโยชน์กับคุณ