ETF จีน vs ETF สหรัฐฯ เปรียบเทียบทุกมิติก่อนลงทุน

ไฮไลต์
- จีน (MCHI) ดาวรุ่งแห่งเอเชีย โอกาสโตแรง แต่เต็มไปด้วยความผันผวนและนโยบายรัฐที่เดายาก
- สหรัฐฯ (VTI) ลงทุนในตลาดที่มั่นคง ผลตอบแทนสม่ำเสมอ แต่ปัจจุบันอาจอยู่ในโซนที่แพงกว่า
- เลือก ‘จีน’ ถ้าเชื่อในอนาคตระยะยาว เลือก ‘สหรัฐฯ’ ถ้าต้องการเสถียรภาพ
- หรือเลือกทั้งสองตลาด… เพื่อไม่พลาดทั้ง ‘โอกาส’ และ ‘ความมั่นคง’
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การลงทุนผ่าน ETF หรือ Exchange Traded Fund ได้รับความนิยมมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มนักลงทุนรุ่นใหม่ที่มองหาทางเลือกการลงทุนที่ง่าย ต้นทุนต่ำ และสามารถกระจายความเสี่ยงไปยังหุ้นนับร้อยนับพันตัวได้ในคราวเดียว
แน่นอนว่า ETF ที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนมากที่สุด คงหนีไม่พ้น ETF ที่อ้างอิงกับตลาดหุ้นจีน และ ETF ที่อ้างอิงตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในฐานะประเทศมหาอำนาจที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ติดอันดับต้นๆ ของโลก เพราะไม่ว่าจะเลือกลงทุนประเทศไหน ก็ล้วนมีโอกาสเติบโตทั้งสิ้น
แต่หากเลือกได้ประเทศเดียว นักลงทุนควรเลือกอะไร ระหว่าง ‘จีน’ ดาวรุ่งพุ่งแรงที่สุดในเอเชีย ศักยภาพเติบโตสูง แต่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนทางการเมืองและนโยบาย หรือ ‘สหรัฐฯ’ ผู้นำเศรษฐกิจโลกที่มีตลาดทุนที่เข้มแข็งและโปร่งใส แต่อาจมีราคาสูงและไม่ได้โตหวือหวาเหมือนจีน
บทความนี้ มีคำตอบ
ทำความรู้จักกับ MCHI
ก่อนอื่น นักลงทุนต้องทำความรู้จักกับ ETF ที่เป็นตัวแทนตลาดหุ้นของทั้งสองประเทศเสียก่อน โดยบทความนี้ ขอหยิบยกเอา MCHI และ VTI มาเปรียบเทียบ เพราะ MCHI เป็นเหมือนกระจกสะท้อนจีน ส่วน VTI เป็นกระจกสะท้อนสหรัฐฯ การเปรียบเทียบในลักษณะนี้ จึงช่วยให้นักลงทุนเข้าใจความต่างของสองประเทศได้ชัดขึ้น
MCHI หรือชื่อเต็ม iShares MSCI China ETF เป็น ETF ที่บริหารโดย BlackRock ยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมการลงทุน โดยกองทุนนี้มีนโยบายติดตามดัชนี MSCI China Index ซึ่งรวมหุ้นชั้นนำของจีนไว้กว่า 550 บริษัท ครอบคลุมทั้งหุ้นขนาดใหญ่และขนาดกลาง ที่เปิดให้นักลงทุนต่างชาติเข้าลงทุนได้
ตัวย่างหุ้นหลักในพอร์ต ได้แก่ Tencent Alibaba Xiaomi PDD Holdings Inc. (เจ้าของ Pinduoduo และ Temu) BYD และ Trip.com ซึ่งสะท้อนภาพธุรกิจเทคโนโลยีและการบริโภคในจีนที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว
ผลตอบแทนของ MCHI เรียกได้ว่าโดดเด่น โดยผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน (YTD) ณ วันที่ 2 ตุลาคม 2568 อยู่ที่ 43.60% สะท้อนการฟื้นตัวของหุ้นจีนอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม หากมองย้อนหลังไป 5 ปี (ณ 31 สิงหาคม 2568) ผลตอบแทนเฉลี่ยจะอยู่ที่ -2.20% ต่อปี จากช่วงที่ผ่านมาซึ่งตลาดหุ้นจีนตกลงค่อนข้างเยอะ แสดงให้เห็นว่าแม้ปัจจุบันหุ้นจีนจะบวกเยอะ แต่ก็ยังมีโอกาสให้เติบโตได้อีก
ปัจจุบัน MCHI มีมูลค่าสินทรัพย์รวม (AUM) ประมาณ 8,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ค่าธรรมเนียมในการบริหาร (Expense Ratio) อยู่ที่ประมาณ 0.59% ต่อปี
ทำความรู้จักกับ VTI
VTI เป็น ETF ที่ออกโดย Vanguard บริษัทจัดการกองทุนที่ขึ้นชื่อเรื่องต้นทุนต่ำ และเป็นผู้นำด้านการลงทุนแบบ Passive
โดย VTI มีนโยบายลงทุนในหุ้นที่อยู่ในดัชนี CRSP US Total Market ครอบคลุมหุ้นสหรัฐฯ กว่า 3,500 บริษัท ตั้งแต่บริษัทยักษ์ใหญ่ในดัชนี S&P 500 ไปจนถึงหุ้นขนาดกลางและเล็ก ทำให้นักลงทุนเข้าถึงการเติบโตของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้แบบครบวงจร
รายชื่อหุ้นที่อยู่ในพอร์ตของ VTI ก็ล้วนเป็นบริษัทระดับโลก เช่น Apple Microsoft Nvidia Meta (Facebook) Alphabet (Google) Tesla และอีกมากมาย ที่ต่างเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลและนวัตกรรมโลกในยุคนี้
นอกจากนี้ VTI ยังโดดเด่นเรื่อง AUM ที่สูงถึง 547,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ติดอันดับ ETF ที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 3 ของโลก และมี Expense Ratio เพียง 0.03% ต่อปี ซึ่งต่ำกว่ากองทุนทั่วไปหลายเท่า ช่วยให้ผู้ลงทุนเก็บผลตอบแทนสุทธิได้มากขึ้นในระยะยาว
ด้านผลการดำเนินงาน VTI ให้ผลตอบแทน YTD ณ วันที่ 3 ตุลาคม 2568 ที่ 14.96% และย้อนหลัง 5 ปี (ณ วันที่ 30 กันยายน 2568) ที่ 15.66% ต่อปี ตัวเลขเหล่านี้ไม่ได้สะท้อนเพียงการเติบโตของบริษัทยักษ์ใหญ่เท่านั้น แต่ยังรวมถึงความต่อเนื่องและความหลากหลายของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังคงเป็นผู้นำโลก
เปรียบเทียบ MCHI vs VTI
เมื่อพิจารณา MCHI และ VTI จะเห็นว่าทั้งสองกองทุนสะท้อน ‘โอกาส’ และ ‘ความเสี่ยง’ ที่แตกต่างกัน
MCHI คือหน้าต่างสู่เศรษฐกิจจีน ที่แม้จะเต็มไปด้วยความท้าทาย แต่ก็ยังถือเป็น ‘ตลาดแห่งอนาคต’ จากฐานประชากรมหาศาล แรงขับเคลื่อนจากชนชั้นกลางที่ขยายตัว และการลงทุนด้านเทคโนโลยี-นวัตกรรมที่รัฐบาลผลักดันอย่างต่อเนื่อง
นักลงทุนที่เลือก MCHI มักเป็นผู้ที่มองหาโอกาสการเติบโตในระยะยาวและเชื่อว่าจีนจะกลับมาเป็นเสาหลักของเศรษฐกิจโลก อย่างไรก็ดี ความผันผวนจากนโยบายรัฐ การแทรกแซงภาคธุรกิจ และความโปร่งใสที่ยังถูกตั้งคำถาม ก็ทำให้ผลตอบแทนมีความไม่แน่นอนมากกว่า
VTI อีกด้านหนึ่งคือภาพแทนของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่มีความมั่นคง และมีโครงสร้างเศรษฐกิจที่พัฒนาแล้ว นักลงทุนทั่วโลกนิยมใช้เป็น ‘กองทุนแกนกลาง’ (Core Port) เพราะครอบคลุมหุ้นกว่า 3,500 บริษัท ทุกขนาดและทุกอุตสาหกรรม ทำให้กระจายความเสี่ยงได้กว้าง
ขณะที่ค่าธรรมเนียมต่ำช่วยสะสมผลตอบแทนระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพ จุดแข็งของ VTI อยู่ที่การเข้าถึงบริษัทนวัตกรรมระดับโลกที่ครองตลาดในปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม MCHI ไม่ได้ด้อยไปกว่า VTI เพียงแต่มุ่งเน้นคนละทิศทาง
- หากคุณเชื่อในการเติบโตในอนาคต และพร้อมรับความผันผวน MCHI คือโอกาสที่อาจสร้างผลตอบแทนก้าวกระโดด
- หากคุณมองหาเสถียรภาพและผลตอบแทนที่พิสูจน์มาแล้ว VTI อาจตอบโจทย์ได้ชัดกว่า

นักลงทุนควรเลือกแบบไหน
คำตอบของคำถามนี้ไม่มีผิดหรือถูกตายตัว ขึ้นอยู่กับเป้าหมายการลงทุน ระยะเวลา และระดับความเสี่ยงที่คุณยอมรับได้มากกว่า
หากคุณต้องการความมั่นคงและความสบายใจ การเลือก VTI อาจเป็นทางเลือกที่เหมาะสมกว่า เพราะสะท้อนตลาดสหรัฐฯ ที่มีความโปร่งใส ระบบกฎหมายชัดเจน และบริษัทชั้นนำระดับโลกมากมาย การลงทุนใน VTI จึงช่วยให้นักลงทุนวางใจได้มากขึ้นว่าสามารถถือครองระยะยาวได้โดยไม่ต้องกังวลกับความผันผวนมากนัก
ในทางกลับกัน หากคุณอยากกระจายความเสี่ยง และเปิดรับโอกาสจากตลาดที่ยังอยู่ในช่วงการเติบโต MCHI ก็น่าสนใจ เพราะสะท้อนศักยภาพของเศรษฐกิจจีน ซึ่งแม้จะเต็มไปด้วยความท้าทาย แต่ก็ยังเป็นหนึ่งในตลาดที่หลายคนเชื่อว่ามีอนาคต หากจัดสรรให้อยู่ใน ‘สัดส่วนที่เหมาะสม’ MCHI ก็สามารถเป็นส่วนเสริมให้พอร์ตลงทุนมีสีสันและโอกาสมากขึ้น
สำหรับนักลงทุนระยะยาวจริงๆ การถือทั้งสองกองทุนควบคู่กัน อาจเป็นคำตอบที่สมดุลที่สุด เพราะคุณจะได้ทั้งความมั่นคงจากฝั่งสหรัฐฯ และโอกาสการเติบโตจากฝั่งจีน การปรับสัดส่วนให้เหมาะสมกับสภาวะตลาดและเป้าหมายของคุณเอง ก็จะช่วยให้พอร์ตไม่เอียงไปด้านใดด้านหนึ่งจนเกินไป
Jitta Wealth ช่วยจัดพอร์ตให้คุณได้
แม้การเลือกกองทุนจะเป็นเรื่องสำคัญ แต่สิ่งที่ท้าทายไม่แพ้กันคือการ ‘จัดพอร์ต’ และ ‘ปรับสมดุล’ ให้เหมาะกับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา นักลงทุนรู้ว่าควรกระจายความเสี่ยง แต่ไม่แน่ใจว่าจะจัดสัดส่วนอย่างไร หรือจะปรับพอร์ตเมื่อไหร่
ตรงนี้เองที่ Jitta Wealth เข้ามามีบทบาท ด้วยระบบจัดพอร์ตการลงทุนอัตโนมัติที่ผสมผสานทั้งความมั่นคงและการเติบโตตามหลักการลงทุนระยะยาว นักลงทุนสามารถเข้าถึงกองทุนชั้นนำทั่วโลกอย่าง VTI และ MCHI ได้อย่างง่ายดาย โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการเลือกสัดส่วนหรือการติดตามสถานการณ์ตลาดตลอดเวลา
ถ้าคุณสนใจ VTI สามารถลงทุนได้ผ่าน Global ETF ของ Jitta Wealth ที่มีการจัดพอร์ตให้อัตโนมัติร่วมกับสินทรัพย์อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น ETF หุ้นประเทศพัฒนาแล้ว ETF หุ้นตลาดเกิดใหม่ ETF ตราสารหนี้คุณภาพดีของสหรัฐฯ เพื่อสร้างสมดุลระหว่างความมั่นคงและการเติบโต เหมาะจะเป็นพอร์ตหลัก เป็นแกนกลางการลงทุน (Core Port) ที่ค่อยๆ เติบโตอย่างมั่นคง
ส่วน MCHI ซึ่งโฟกัสไปที่ตลาดหุ้นจีน ก็สามารถลงทุนได้ง่ายๆ ผ่าน Thematic DIY โดยเลือกลงทุนใน ธีมตลาดหุ้นจีน (MCHI) ร่วมกับธีมลงทุนจีนที่น่าสนใจอีกหลายธีม ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีจีน พลังงานสะอาดจีน บริการสุขภาพจีน และตลาดหุ้นฮ่องกง เหมาะจะเป็นพอร์ตรอง (Satellite Port) คว้าโอกาสเติบโตไปกับหุ้นจีนที่กำลังพุ่งแรง
โดยไม่ต้องกลัวว่าพอร์ตโดยรวมจะผันผวนมากไป หากสถานการณ์ไม่เป็นอย่างที่คิด เพราะคุณมี Core Port รองรับไว้อยู่แล้ว
หากสนใจลงทุนสามารถติดต่อเจ้าหน้าที่แนะนำการลงทุนของเราได้ที่ Line: @JittaWealth หรือ โทร 02-460-8888 ปรึกษาฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย